Sliver จะไปถึง 60 ดอลลาร์ในปี 2025 หรือไม่?

นอกจากทองคำที่ร้อนแรง ยังมีสินทรัพย์ Sliver ที่นักลงทุนหลายๆ คนยังไม้ได้ให้ความสนใจ ซึ่งช่วงนี้ต้องบอกว่าสินทรัพย์โลหะมีค่า ถือเป็นสินทรัพย์ที่ควรมีไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง  ในช่วงความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย

เรามาดูกันว่าภายในปี 2025 Sliver จะไปแตะที่ระดับ 60 ดอลลาร์ได้หรือไม่?

ปัจจัยที่สนับสนุนให้ Sliver ขยับไปถึง 60 ดอลลาร์

1. อุปทานตึงตัว (Tight Supply)
Silver ไม่ได้ถูกขุดขึ้นมาโดยตรงเหมือนทองคำ ประมาณ 70–80% ของ Sliver ทั่วโลก มาจาก “ผลพลอยได้” ของการทำเหมืองโลหะอื่น เช่น
เหมืองทองแดง (Copper) เหมืองสังกะสี (Zinc) เหมืองตะกั่ว (Lead) ดังนั้นปริมาณ “Sliver” ที่เข้าสู่ตลาดในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับการผลิตของโลหะหลักเหล่านั้น มากกว่าการผลิต Sliver โดยตรง

ถ้าอุตสาหกรรมโลหะเหล่านี้ชะลอตัว เช่น เศรษฐกิจโลกชะลอ การลงทุนในเหมืองลดลง หรือเกิดปัญหาด้านโลจิสติกส์/ขนส่ง → ปริมาณ Sliver ที่ถูกขุดได้ก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่า “อุปทานของ Sliver ในตลาดจริง (Physical Supply)” จะ ตึงตัว ขณะเดียวกัน ความต้องการใช้ Sliver จากภาคอุตสาหกรรมยังคงเพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่าง “อุปสงค์-อุปทาน” จึงขยายกว้างขึ้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไมในปี 2024–2025 สถาบันอย่าง Silver Institute คาดว่าตลาด Sliver จะอยู่ในภาวะ ขาดดุล (Supply Deficit) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

2. ความต้องการเชิงอุตสาหกรรม (Industrial Demand)
ต่างจากทองคำที่ใช้เก็บมูลค่าเป็นหลัก “ Sliver ” เป็นโลหะที่มี คุณสมบัติทางอุตสาหกรรมโดดเด่น มาก ได้แก่ การนำไฟฟ้าที่ดีที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหมด
การสะท้อนแสงสูง มีความคงทนและทนความร้อนได้ดี ทำให้ Sliver ถูกใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Panels) – Sliver เป็นส่วนสำคัญในแผงโซลาร์เซลล์แบบฟิล์มบางและแบบซิลิคอน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) – ใช้ในวงจรไฟฟ้า เซนเซอร์ และแบตเตอรี่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และชิปเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ (Sliver มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย)

ในปี 2025 ความต้องการจากภาค พลังงานสะอาด และ EV ยังคงเร่งตัวต่อเนื่อง
Silver Institute คาดว่า “การใช้ Sliver ในอุตสาหกรรม” จะเติบโตมากกว่า 4–5% ต่อปี

3. ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Demand)
ในช่วงที่เศรษฐกิจหรือการเมืองมีความไม่แน่นอน นักลงทุนทั่วโลกจะมองหาสินทรัพย์ที่ “เก็บมูลค่า” ได้ดี และ “ไม่ขึ้นกับระบบการเงิน”  เรียกว่า สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
ทองคำคือสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับหนึ่ง แต่ Sliver ก็ได้รับ “อานิสงส์” ตาม เพราะมีคุณสมบัติคล้ายกัน คือ เป็นโลหะที่มีมูลค่าในตัวเอง ไม่มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ สามารถซื้อขายได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่น: ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ภาวะเงินเฟ้อสูง สงคราม / ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (เช่น ตะวันออกกลาง, ยูเครน, ไต้หวัน) ความไม่แน่นอนด้านหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ในสถานการณ์เหล่านี้ นักลงทุนสถาบันและรายย่อยมักเพิ่มสัดส่วนการถือ ทองคำและ Sliver เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งจะหนุนให้ “ราคา Sliver ” พุ่งขึ้นตาม

4. นโยบายการเงิน / อัตราดอกเบี้ย / เงินเฟ้อ / ค่าเงินดอลลาร์
ปัจจัยนี้เป็น “ตัวแปรสำคัญที่สุด” ในรอบวัฏจักรราคาโลหะมีค่า

เมื่อเฟด “ลดดอกเบี้ย” ผลตอบแทนพันธบัตรและเงินฝากลดลง นักลงทุนหันมาถือสินทรัพย์ที่ไม่ให้ดอกเบี้ยแต่มีมูลค่าแทน เช่น ทอง– Sliver
ดอลลาร์มักอ่อนค่า ทำให้โลหะมีค่าดูน่าสนใจมากขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้ “ราคา Sliver ปรับขึ้น”

เมื่อเฟด “ขึ้นดอกเบี้ย” เงินฝากและพันธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น นักลงทุนลดการถือครองโลหะมีค่า ราคาถูกกดดันลง

เงินเฟ้อ (Inflation)
เงินเฟ้อสูง มูลค่าเงินสดลด → นักลงทุนหาสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ เช่น Sliver
เงินเฟ้อต่ำ / ถูกควบคุม แรงซื้อโลหะลดลง

ค่าเงินดอลลาร์ (USD Index)
ดอลลาร์แข็ง โลหะมีค่าราคาแพงขึ้นในสกุลอื่น ความต้องการลดลง
ดอลลาร์อ่อน โลหะมีค่าดูน่าสนใจทั่วโลก ราคาขึ้น

โดยทั่วไป Silver มี “ความสัมพันธ์สวนทางกับดอลลาร์”
กล่าวคือ เมื่อดอลลาร์อ่อน — ราคาสินทรัพย์โลหะมีค่ามักพุ่งขึ้น

สรุป (มุมมองแบบ “น่าจะเป็น”)
ผมคิดว่าสินทรัพย์อาจขึ้นไปเเตะระดับ 60 ดอลลาร์ แต่ระยะเวลานั้นไม่อาจฟันธงได้แน่ชัด ผมอยากให้นักลงทุนมองการลงทุนระยะยาว DCA ไปเรื่อยๆ ไม่มีขาดทุนแน่นอน (ความคิดเห็นส่วนตัว *การลงทุนมีความเสี่ยงควรศึกษาให้ดีก่อนการลงทุน)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่