ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง ใกล้ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ตลาดกำลังกังวลเศรษฐกิจถดถอยจริงหรือไม่?

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง และไม่ได้เป็นเพียงการย่อตัวระยะสั้นเท่านั้น โดยล่าสุด Brent ซื้อขายใกล้ระดับ 59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่แถว 55 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับราคาที่ตลาดไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ต้นปี 2021

เมื่อราคาน้ำมันหลุดลงมาใกล้จุดต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี คำถามที่กลับมาอีกครั้งคือ นี่คือสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอย หรือเป็นเพียงภาวะน้ำมันล้นตลาด?

ราคาน้ำมันอยู่ตรงไหน และเหตุใดระดับนี้จึงสำคัญ?
การร่วงลงของ Brent และ WTI ครั้งนี้ ไม่ใช่การพักฐานธรรมดา แต่เป็นการกลับเข้าสู่ระดับราคาพลังงานแบบ “ก่อนยุคเงินเฟ้อพลังงานปี 2022” ซึ่งเคยเปลี่ยนโครงสร้างตลาดน้ำมันทั่วโลก
ระดับราคานี้มีความสำคัญ เพราะ
- เป็นโซนที่กองทุนระยะยาวเคยใช้เป็นฐานราคาก่อนเกิดวิกฤตพลังงาน
- เริ่มกดดันกระแสเงินสดและแผนลงทุนของผู้ผลิตพลังงาน โดยเฉพาะประเทศที่มีต้นทุนสูง
- ส่งผลต่อมุมมองเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย เพราะราคาพลังงานมีผลต่อความคาดหวังเงินเฟ้อเร็วที่สุด

อะไรคือแรงกดดันหลักที่ฉุดราคาน้ำมันลง?
1) ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ลดลง ทำให้ Risk Premium หายไป
ตลาดเริ่มคาดหวังเชิงบวกต่อการเจรจาระหว่างรัสเซีย–ยูเครน แม้ยังไม่มีข้อตกลงจริง แต่เพียงแค่ความเสี่ยงด้านการหยุดชะงักของอุปทานลดลง ก็เพียงพอให้ราคาน้ำมันถูกกดลงล่วงหน้าแล้ว
2) ความกังวลอุปทานล้นตลาดในปี 2026
ฝั่งอุปทานคือปัจจัยกดดันที่สำคัญที่สุดในรอบนี้
- EIA มองว่าสต็อกน้ำมันโลกจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026
- IEA ประเมินว่าอาจเกิดอุปทานส่วนเกินเกือบ 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปีหน้า
ในสภาวะที่สต็อกสะสมและน้ำมันยังล้นตลาด การฟื้นตัวของราคาจึงเป็นเรื่องยาก
3) การผลิตน้ำมันสหรัฐยังทำสถิติสูงสุด
แม้ราคาจะอ่อนตัวลง แต่การผลิตน้ำมันของสหรัฐยังคงสูงเป็นประวัติการณ์ โดยล่าสุดแตะระดับ เกือบ 13.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน สะท้อนว่าน้ำมันยังไหลเข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง ในช่วงที่อุปสงค์ไม่ได้แข็งแรงพอจะรองรับ
4) OPEC+ เลือก “ประคองตลาด” มากกว่าดันราคา
OPEC+ ตัดสินใจคงนโยบายการผลิตในช่วงต้นปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มผู้ผลิตเองก็รับรู้ถึงความเสี่ยงอุปทานล้น และยังไม่มั่นใจว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวได้เร็วพอ
5) จีนยังนำเข้าน้ำมัน แต่เน้นสะสมสต็อก
จีนยังคงนำเข้าน้ำมันในระดับสูง แต่การนำเข้าเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำลังการกลั่น หมายความว่า การนำเข้าไม่ได้แปลว่าอุปสงค์ใช้งานจริงแข็งแรง การสะสมสต็อกช่วยพยุงตลาดระยะสั้น แต่ไม่สามารถดันราคาในระยะยาวได้

แล้วนี่คือสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่?
โดยหลักแล้ว ราคาน้ำมันจะเป็นสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอยได้ ก็ต่อเมื่อราคาลดลงจากการชะลอตัวของอุปสงค์ปลายทางอย่างชัดเจน แต่ในรอบนี้ หลักฐานส่วนใหญ่ชี้ว่าราคาน้ำมันถูกกดจากฝั่งอุปทานมากกว่าอุปสงค์ ดังนั้น สัญญาณ “เศรษฐกิจถดถอยโดยอัตโนมัติ” จากน้ำมันจึงยังไม่ชัดเจน

สัญญาณอะไรที่จะทำให้ความเสี่ยงถดถอยชัดเจนขึ้น?
นักลงทุนควรเริ่มกังวลมากขึ้น หากเห็นสัญญาณอื่น ๆ ยืนยันพร้อมกัน เช่น
- ดัชนี PMI และภาคการขนส่งทั่วโลกอ่อนตัวพร้อมกัน
- การปรับลดคาดการณ์กำไรของภาคธุรกิจในวงกว้าง
- ความตึงเครียดในตลาดเครดิตที่กระทบอุปสงค์จริง

มุมมองทางเทคนิค: แนวโน้มยังอ่อนแอ
ในเชิงเทคนิค Brent และ WTI ยังซื้อขายต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยสำคัญ ทำให้การรีบาวด์ถูกจำกัด
- WTI: แนวจิตวิทยาสำคัญอยู่ที่ 55 ดอลลาร์ หากหลุด อาจเห็นตลาดพูดถึง 50 ดอลลาร์มากขึ้น
- Brent: การหลุด 60 ดอลลาร์ เปิดทางสู่โซน 58–59 และอาจลงสู่ช่วงกลาง 50 ดอลลาร์ได้
สัญญาณการสร้างจุดต่ำสุดที่ยั่งยืน ไม่ใช่การเด้งแรงวันเดียว แต่คือการกลับขึ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน และทำ Higher Lows ต่อเนื่อง

สรุป: ตลาดกำลังบอกอะไรเรา?
ราคาน้ำมันที่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี เป็นสัญญาณที่ “มีความหมาย” แต่ ยังไม่ใช่คำตัดสินว่าเศรษฐกิจถดถอยมาถึงแล้ว ข้อมูลในปัจจุบันบ่งชี้ว่าตลาดกำลังเผชิญ ภาวะน้ำมันล้นตลาด มากกว่าวิกฤตอุปสงค์ อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันยังอ่อนตัวต่อเนื่อง พร้อมกับข้อมูลเศรษฐกิจโลกที่เริ่มแผ่วลง น้ำมันดิบอาจกลายเป็นสัญญาณเตือนที่ดังขึ้นได้ในระยะถัดไป

ปล. ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อการอ้างอิงเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่