🌙🌼Killers of the Flower Moon (2023) - เงื่อนงำแห่งความตาย ภัยร้ายของความโลภ💀⛽

⚠️คำเตือน⚠️
กระทู้นี้มีการวิเคราะห์เนื้อหาของหนังและมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญอย่างละเอียดของเรื่อง
สามารถรับชมได้ในขณะที่นี้ที่ Apple TV+


ภาพยนตร์ Killers of the Flower Moon (2023) ผลงานกำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี ดัดแปลงจากหนังสือสารคดีเชิงสืบสวนของนักข่าวชื่อดัง เดวิด แกรม ที่ตีพิมพ์ในปี 2017 ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นจริงในหมู่ชาวพื้นเมืองเผ่าโอเสจ (Osage Nation) รัฐโอคลาโฮมา สหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษ 1920 คดีดังกล่าวเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในชื่อ “Reign of Terror” หรือ “รัชสมัยแห่งความหวาดกลัว” อันเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกของเผ่าโอเสจถูกฆ่าอย่างเป็นระบบเพื่อช่วงชิงทรัพย์สินและสิทธิ์ในรายได้จากบ่อน้ำมันบนผืนดินของพวกเขาเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงผลงานศิลปะเชิงชีวประวัติ แต่เป็นการขุดรื้อความทรงจำของอเมริกาเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ ความโลภ และความรุนแรงที่ถูกซุกซ่อนภายใต้หน้ากากของความเจริญทางเศรษฐกิจ


เรื่องราวเริ่มต้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐบังคับให้ชนเผ่าโอเสจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากในพื้นที่ที่แห้งแล้งของรัฐโอคลาโฮมา ทว่าโชคชะตากลับพลิกผันเมื่อพวกเขาค้นพบน้ำมันปริมาณมหาศาลใต้พื้นดิน ทำให้ชาวโอเสจกลายเป็น “กลุ่มคนที่มั่งคั่งที่สุดในโลกต่อหัวประชากร” ในช่วงเวลานั้น รัฐบาลกลับตรากฎหมายให้ชาวพื้นเมืองที่ถูกตัดสินว่า “ขาดความสามารถในการจัดการทรัพย์สินของตนเอง” ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของ “ผู้พิทักษ์ผิวขาว” หรือ white guardian เพื่อบริหารทรัพย์สินแทน ระบบนี้เปิดทางให้เกิดการทุจริต การฉ้อโกง และการฆาตกรรมโดยมีแรงจูงใจทางผลประโยชน์


ในภาพยนตร์ เราได้รู้จัก “เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต” ทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่กลับมาหาลุงของเขา “วิลเลียม คิง เฮล” ชายผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น เฮลแสร้งทำตัวเป็นผู้สนับสนุนชาวโอเสจ แต่เบื้องหลังกลับวางแผนใช้ระบบผู้พิทักษ์เพื่อช่วงชิงทรัพย์สินของพวกเขา เขาชักชวนหลานชายให้แต่งงานกับ “มอลลี ไคล์” หญิงชาวโอเสจผู้มั่งคั่ง โดยหวังว่าสิทธิ์ในน้ำมันของครอบครัวมอลลีจะตกเป็นของเออร์เนสต์และในที่สุดจะอยู่ในกำมือของเขาเอง เมื่อแต่งงานกันแล้ว สมาชิกในครอบครัวของมอลลีเริ่มตายไปทีละคนด้วยวิธีการอันน่าสงสัย ทั้งการถูกยิง การวางยาพิษ และการระเบิดบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกลับเพิกเฉยต่อการสืบสวน เนื่องจากหลายคนมีส่วนได้ส่วนเสียกับกลุ่มผู้มีอำนาจ


ความตายของชาวโอเสจดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดรัฐบาลกลางต้องส่งทีมสืบสวนจาก “Bureau of Investigation” (ซึ่งต่อมาเป็น FBI) นำโดยเจ้าหน้าที่ทอม ไวต์ เข้ามาคลี่คลายคดี ทีมสอบสวนพบหลักฐานมากมายที่ชี้ว่าผู้บงการคือเฮล และเออร์เนสต์คือผู้ร่วมมือ เออร์เนสต์ถูกจับกุมและสารภาพบางส่วน หลังจากถูกกดดันอย่างหนัก ในที่สุดเขายอมรับว่าได้สมรู้ร่วมคิดในการวางแผนฆ่าญาติของภรรยาและยังวางยาพิษมอลลีเองเพื่อให้เธออ่อนแอและไม่ตั้งข้อสงสัยต่อตน ช่วงเวลาที่มอลลีถามเออร์เนสต์ว่าเขาเคยใส่ยาพิษในยาที่เธอกินหรือไม่ แต่เออร์เนสต์ไม่ตอบ คือฉากแห่งความเงียบที่กลายเป็นคำสารภาพอันทรมานที่สุดในเรื่อง ภาพยนตร์จบลงด้วยการเล่าผ่านรายการวิทยุในยุค 1930 ที่นำคดีนี้มานำเสนอในรูปแบบละครบันเทิง เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือของผู้ฟังสะท้อนการประชดประชันต่อความจริงที่ว่าสังคมอเมริกันมักเปลี่ยนโศกนาฏกรรมของชนพื้นเมืองให้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิง มากกว่าจะจดจำในฐานะบาดแผลทางประวัติศาสตร์


เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริง “Reign of Terror” เกิดขึ้นระหว่างปี 1921 ถึง 1926 มีการสังหารสมาชิกเผ่าโอเสจอย่างน้อย 24 คน (และอาจมากกว่า 60 คนตามข้อมูลบางแหล่ง) ด้วยแรงจูงใจเพื่อช่วงชิงสิทธิ์ในบ่อน้ำมัน คดีนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ FBI ภายใต้การบริหารของเจ. เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะหน่วยงานสอบสวนระดับประเทศ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า วิลเลียม เฮล และเออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ตมีตัวตนจริง ถูกตัดสินจำคุกในปี 1926 ก่อนที่เออร์เนสต์จะได้รับทัณฑ์บนในปี 1937 ส่วนมอลลี ไคล์ เสียชีวิตในปีเดียวกันนั้นด้วยวัยเพียง 50 ปี คดีโอเสจเผยให้เห็นการทำงานเชิงโครงสร้างของระบบการเหยียดเชื้อชาติและอำนาจรัฐที่ยอมให้การฆาตกรรมชนพื้นเมืองเกิดขึ้นภายใต้ความเงียบ


ในเชิงสังคม ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนของ “ทุนนิยมที่กลืนกินจิตวิญญาณ” ความมั่งคั่งจากน้ำมันซึ่งควรนำมาซึ่งความรุ่งเรือง กลับกลายเป็นต้นเหตุของความรุนแรงและการสูญเสีย สกอร์เซซีแสดงให้เห็นว่าอเมริกาที่ภายนอกดูเหมือนดินแดนแห่งโอกาส แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นบนการกดขี่และการยึดครองอย่างเป็นระบบ ภาพของโอเสจที่ร่ำรวยแต่ไร้อำนาจสะท้อนสิ่งที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า “อาณานิคมภายใน” (internal colonialism) ซึ่งชนพื้นเมืองถูกครอบงำโดยสถาบันกฎหมายและเศรษฐกิจของคนผิวขาว แม้จะมีทรัพย์สินแต่กลับไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจชะตากรรมของตนเอง


ในเชิงภาพยนตร์ สกอร์เซซีเลือกเล่าเรื่องอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา เพราะต้องการให้ผู้ชมค่อย ๆ ซึมซับความรุนแรงที่แผ่วเบาแต่แผ่ซ่านในชีวิตประจำวัน โทนภาพที่อบอวลด้วยสีน้ำตาลและทองแดงสะท้อนทั้งความร้อนแรงของทะเลทรายและความมืดของจิตใจมนุษย์ ขณะเดียวกันการแสดงของ Lily Gladstone ในบทมอลลีคือหัวใจของเรื่อง เธอสื่อความเจ็บปวด ความเข้มแข็ง และศักดิ์ศรีของหญิงชนพื้นเมืองได้อย่างทรงพลังโดยแทบไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ส่วนลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก็แสดงให้เห็นชายหนุ่มผู้ตกอยู่ในวังวนระหว่างความรักแท้กับความโลภอย่างน่าเวทนา


สิ่งที่ทำให้ Killers of the Flower Moon มีพลังมากกว่าเพียงหนังอิงประวัติศาสตร์ทั่วไป คือการที่มันตั้งคำถามต่อ “การจดจำและการลืม” ของสังคมอเมริกัน ฉากสุดท้ายที่เล่าเรื่องผ่านรายการวิทยุเป็นการวิพากษ์ตรงไปตรงมาว่า ประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกดขี่มักถูกตีความและนำเสนอโดยผู้มีอำนาจ การเปลี่ยนเหตุการณ์จริงให้เป็นความบันเทิงคือการลบล้างความรุนแรงทางสัญลักษณ์ และทำให้สังคมลืมไปว่าชีวิตจริงของผู้คนเคยถูกทำลายไปอย่างไร


ท้ายที่สุด Killers of the Flower Moon ไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์สืบสวนหรือดราม่าอาชญากรรม แต่คือบทเรียนทางประวัติศาสตร์และศีลธรรมที่สะท้อนให้เห็นว่า ความรุนแรงไม่ได้เกิดจากคนชั่วเพียงไม่กี่คน หากแต่มาจาก “ระบบที่เอื้อให้ความชั่วกลายเป็นเรื่องปกติ” มันเตือนให้เราตระหนักว่า หากมนุษย์ยังคงปล่อยให้ความโลภและอำนาจครอบงำโดยไม่ตั้งคำถาม ประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่ก็จะหวนกลับมาอีกครั้งบนผืนดินในชื่อใหม่เท่านั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่