
TITLE: Rebel Moon – Part Two: The Scargiver (2024) - สรุปความผิดหวัง หรือจุดเริ่มต้นแห่งความหวัง? มาดูกันครับ!
สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีรีวิวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Rebel Moon – Part Two: The Scargiver (2024) มาฝากกันครับ หลังจากภาคแรกที่ออกไปก็มีกระแสแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่สมกับที่ Zack Snyder สร้างมา วันนี้ผมได้ไปดูภาคต่อแล้ว ก็อยากจะมาแชร์ความรู้สึกแบบบ้านๆ ตามสไตล์คนดูทั่วไปนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของใครหลายๆ คนนะครับ
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผมเป็นแฟนหนังของ Zack Snyder อยู่พอสมควรครับ ตั้งแต่ 300, Watchmen, Man of Steel จนถึง Army of the Dead ยอมรับว่าสไตล์แกมันมีเอกลักษณ์จริงๆ ทั้งภาพที่สวยงาม อลังการ ฉากแอ็คชั่นดิบเถื่อน การใช้สโลว์โมชั่นที่ชวนให้รู้สึกฮึกเหิม และการเล่าเรื่องที่อาจจะไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป ทำให้ผมตั้งความหวังไว้กับ Rebel Moon สูงพอสมควรครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแกประกาศว่าจะทำเป็นมหากาพย์ 4 ภาค!
มาถึงภาคสอง "The Scargiver" นี้ ต้องบอกว่ามันสานต่อจากภาคแรกแบบติดๆ เลยครับ ใครที่ยังไม่ได้ดูภาคแรก ผมแนะนำว่าไปดูก่อนนะครับ ไม่งั้นจะงงแน่นอน เพราะหนังไม่ได้ปูเรื่องใหม่ แต่จะเน้นไปที่การแก้แค้น การรวมพล และการต่อสู้ครั้งใหญ่กับ Motherworld ที่เราได้เห็นวายร้ายหลักอย่าง Admiral Atticus Noble นำทัพกลับมาอีกครั้ง (ในรูปแบบที่เราอาจจะคาดไม่ถึงนิดหน่อย)
สิ่งที่ผมชอบในภาคนี้อย่างแรกเลยคือ "ความต่อเนื่อง" ครับ หนังมันไม่ได้เว้นช่องว่างให้เราต้องมานั่งเดาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวละครที่เราคุ้นเคยจากภาคแรกก็ยังอยู่ครบ และพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์จากการกระทำในภาคที่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดำเนินเรื่องในภาคนี้ดูจะกระชับขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควรครับ อาจจะเพราะไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวละครหรือปูโลกมากนัก ทำให้เราเข้าสู่โหมดแอ็คชั่นได้เร็วขึ้น
ฉากแอ็คชั่นใน Rebel Moon – Part Two: The Scargiver ยังคงเป็นจุดเด่นที่ผมยกนิ้วให้ครับ Zack Snyder ยังคงทำได้ดีในเรื่องนี้ การต่อสู้ในแต่ละครั้งมีความดุเดือด สมจริง และสร้างสรรค์ มีการใช้มุมกล้องที่น่าสนใจ ผสมผสานกับการใช้สโลว์โมชั่นที่ทำให้รู้สึกว่าทุกการโจมตี ทุกการหลบหลีก มีความหมายและทรงพลังมากๆ ครับ โดยเฉพาะฉากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ต้องบอกเลยว่า "อลังการ" จริงๆ ครับ เห็นแล้วต้องร้องว้าว!
ตัวละคร Kora ที่รับบทโดย Sofia Boutella ก็ยังคงเป็นแกนหลักของเรื่องครับ ในภาคนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของเธอมากขึ้น ได้เห็นความเจ็บปวด ความเสียสละ และความมุ่งมั่นในการปกป้องพวกพ้อง การที่เธอต้องเผชิญหน้ากับอดีตอันเจ็บปวดของตัวเอง ทำให้ตัวละครมีความลึกซึ้งมากขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควรครับ ส่วนตัวละครอื่นๆ อย่าง Gunnar, Tarak, Nemesis, Darrian ก็มีบทบาทที่ชัดเจนขึ้น และได้โชว์ศักยภาพของตัวเองออกมาครับ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า Rebel Moon – Part Two: The Scargiver ยังคงมี "จุดอ่อน" ที่ยังแก้ไขไม่ตกอยู่เหมือนเดิมครับ ปัญหาหลักที่ผมสัมผัสได้คือ "บทสนทนา" ครับ บางครั้งมันรู้สึกว่าดูแข็งๆ ไม่เป็นธรรมชาติ หรือบางทีก็ดูยาวเกินไปจนน่าเบื่อ ทำให้บางช่วงของหนังที่ควรจะเข้มข้น กลับรู้สึกว่าอืดลงไปนิดหน่อยครับ
อีกอย่างคือ "การเล่าเรื่อง" ครับ แม้ว่าภาคนี้จะดูตรงไปตรงมามากขึ้น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ผมรู้สึกว่ายังขาดความสมเหตุสมผล หรือการเชื่อมโยงที่ชัดเจนอยู่บ้างครับ บางครั้งการตัดสินใจของตัวละครก็ดูจะเร่งรีบไปหน่อย ทำให้เราอาจจะไม่ได้อินกับสถานการณ์เท่าที่ควรจะเป็น
สำหรับ "โลก" ของ Rebel Moon ผมยังคงรู้สึกว่ามันมีศักยภาพมากครับ การออกแบบโลก สัตว์ประหลาด ยานพาหนะต่างๆ ยังคงมีความน่าสนใจและมีสไตล์ แต่ในภาคนี้ผมรู้สึกว่ายังไม่ได้เห็นการขยายโลกให้ลึกซึ้งไปมากกว่านี้เท่าที่ควรครับ ยังคงเน้นไปที่การต่อสู้เป็นหลัก
โดยรวมแล้ว Rebel Moon – Part Two: The Scargiver เป็นหนังที่ "ดูสนุก" ครับ ถ้าคุณชอบสไตล์ของ Zack Snyder ชอบฉากแอ็คชั่นอลังการ ภาพสวยๆ คุณน่าจะชอบภาคนี้ครับ มันให้ความรู้สึกเหมือนดู "Star Wars" เวอร์ชันดิบเถื่อนและมืดมนกว่าเดิมครับ
แต่ถ้าคุณคาดหวังบทภาพยนตร์ที่ซับซ้อน ตัวละครที่มีมิติมากๆ หรือการเล่าเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ผมเกรงว่าคุณอาจจะผิดหวังเล็กน้อยครับ เพราะมันยังคงมีข้อจำกัดบางอย่างที่หนังยังก้าวข้ามไปไม่ได้
ผมให้คะแนนภาคนี้ประมาณ 7/10 ครับ เป็นหนังที่ดูเพลินๆ ไม่ต้องคิดมาก เน้นความบันเทิงทางสายตาและฉากแอ็คชั่นเป็นหลักครับ ผมยังคงรอคอยภาคต่อไปอย่างใจจดใจจ่อครับ อยากรู้ว่า Zack Snyder จะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เราอีกในภาคหน้า
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะชวนเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ได้ดูภาคนี้แล้ว มาแสดงความคิดเห็นกันนะครับ คุณชอบไม่ชอบตรงไหน หรือมีมุมมองอย่างไร มาแลกเปลี่ยนกันได้เต็มที่เลยครับ เรามาคุยกันแบบเพื่อนๆ ใน Pantip นี่แหละครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ สวัสดีครับ
Rebel Moon – Part Two: The Scargiver (2024) - สรุปความผิดหวัง หรือจุดเริ่มต้นแห่งความหวัง? มาดูกันครับ!
TITLE: Rebel Moon – Part Two: The Scargiver (2024) - สรุปความผิดหวัง หรือจุดเริ่มต้นแห่งความหวัง? มาดูกันครับ!
สวัสดีครับเพื่อนสมาชิกชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีรีวิวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่หลายคนรอคอยอย่าง Rebel Moon – Part Two: The Scargiver (2024) มาฝากกันครับ หลังจากภาคแรกที่ออกไปก็มีกระแสแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน บ้างก็ว่าดี บ้างก็ว่าไม่สมกับที่ Zack Snyder สร้างมา วันนี้ผมได้ไปดูภาคต่อแล้ว ก็อยากจะมาแชร์ความรู้สึกแบบบ้านๆ ตามสไตล์คนดูทั่วไปนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของใครหลายๆ คนนะครับ
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผมเป็นแฟนหนังของ Zack Snyder อยู่พอสมควรครับ ตั้งแต่ 300, Watchmen, Man of Steel จนถึง Army of the Dead ยอมรับว่าสไตล์แกมันมีเอกลักษณ์จริงๆ ทั้งภาพที่สวยงาม อลังการ ฉากแอ็คชั่นดิบเถื่อน การใช้สโลว์โมชั่นที่ชวนให้รู้สึกฮึกเหิม และการเล่าเรื่องที่อาจจะไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป ทำให้ผมตั้งความหวังไว้กับ Rebel Moon สูงพอสมควรครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแกประกาศว่าจะทำเป็นมหากาพย์ 4 ภาค!
มาถึงภาคสอง "The Scargiver" นี้ ต้องบอกว่ามันสานต่อจากภาคแรกแบบติดๆ เลยครับ ใครที่ยังไม่ได้ดูภาคแรก ผมแนะนำว่าไปดูก่อนนะครับ ไม่งั้นจะงงแน่นอน เพราะหนังไม่ได้ปูเรื่องใหม่ แต่จะเน้นไปที่การแก้แค้น การรวมพล และการต่อสู้ครั้งใหญ่กับ Motherworld ที่เราได้เห็นวายร้ายหลักอย่าง Admiral Atticus Noble นำทัพกลับมาอีกครั้ง (ในรูปแบบที่เราอาจจะคาดไม่ถึงนิดหน่อย)
สิ่งที่ผมชอบในภาคนี้อย่างแรกเลยคือ "ความต่อเนื่อง" ครับ หนังมันไม่ได้เว้นช่องว่างให้เราต้องมานั่งเดาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวละครที่เราคุ้นเคยจากภาคแรกก็ยังอยู่ครบ และพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์จากการกระทำในภาคที่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดำเนินเรื่องในภาคนี้ดูจะกระชับขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควรครับ อาจจะเพราะไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวละครหรือปูโลกมากนัก ทำให้เราเข้าสู่โหมดแอ็คชั่นได้เร็วขึ้น
ฉากแอ็คชั่นใน Rebel Moon – Part Two: The Scargiver ยังคงเป็นจุดเด่นที่ผมยกนิ้วให้ครับ Zack Snyder ยังคงทำได้ดีในเรื่องนี้ การต่อสู้ในแต่ละครั้งมีความดุเดือด สมจริง และสร้างสรรค์ มีการใช้มุมกล้องที่น่าสนใจ ผสมผสานกับการใช้สโลว์โมชั่นที่ทำให้รู้สึกว่าทุกการโจมตี ทุกการหลบหลีก มีความหมายและทรงพลังมากๆ ครับ โดยเฉพาะฉากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ต้องบอกเลยว่า "อลังการ" จริงๆ ครับ เห็นแล้วต้องร้องว้าว!
ตัวละคร Kora ที่รับบทโดย Sofia Boutella ก็ยังคงเป็นแกนหลักของเรื่องครับ ในภาคนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการของเธอมากขึ้น ได้เห็นความเจ็บปวด ความเสียสละ และความมุ่งมั่นในการปกป้องพวกพ้อง การที่เธอต้องเผชิญหน้ากับอดีตอันเจ็บปวดของตัวเอง ทำให้ตัวละครมีความลึกซึ้งมากขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควรครับ ส่วนตัวละครอื่นๆ อย่าง Gunnar, Tarak, Nemesis, Darrian ก็มีบทบาทที่ชัดเจนขึ้น และได้โชว์ศักยภาพของตัวเองออกมาครับ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า Rebel Moon – Part Two: The Scargiver ยังคงมี "จุดอ่อน" ที่ยังแก้ไขไม่ตกอยู่เหมือนเดิมครับ ปัญหาหลักที่ผมสัมผัสได้คือ "บทสนทนา" ครับ บางครั้งมันรู้สึกว่าดูแข็งๆ ไม่เป็นธรรมชาติ หรือบางทีก็ดูยาวเกินไปจนน่าเบื่อ ทำให้บางช่วงของหนังที่ควรจะเข้มข้น กลับรู้สึกว่าอืดลงไปนิดหน่อยครับ
อีกอย่างคือ "การเล่าเรื่อง" ครับ แม้ว่าภาคนี้จะดูตรงไปตรงมามากขึ้น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ผมรู้สึกว่ายังขาดความสมเหตุสมผล หรือการเชื่อมโยงที่ชัดเจนอยู่บ้างครับ บางครั้งการตัดสินใจของตัวละครก็ดูจะเร่งรีบไปหน่อย ทำให้เราอาจจะไม่ได้อินกับสถานการณ์เท่าที่ควรจะเป็น
สำหรับ "โลก" ของ Rebel Moon ผมยังคงรู้สึกว่ามันมีศักยภาพมากครับ การออกแบบโลก สัตว์ประหลาด ยานพาหนะต่างๆ ยังคงมีความน่าสนใจและมีสไตล์ แต่ในภาคนี้ผมรู้สึกว่ายังไม่ได้เห็นการขยายโลกให้ลึกซึ้งไปมากกว่านี้เท่าที่ควรครับ ยังคงเน้นไปที่การต่อสู้เป็นหลัก
โดยรวมแล้ว Rebel Moon – Part Two: The Scargiver เป็นหนังที่ "ดูสนุก" ครับ ถ้าคุณชอบสไตล์ของ Zack Snyder ชอบฉากแอ็คชั่นอลังการ ภาพสวยๆ คุณน่าจะชอบภาคนี้ครับ มันให้ความรู้สึกเหมือนดู "Star Wars" เวอร์ชันดิบเถื่อนและมืดมนกว่าเดิมครับ
แต่ถ้าคุณคาดหวังบทภาพยนตร์ที่ซับซ้อน ตัวละครที่มีมิติมากๆ หรือการเล่าเรื่องที่เหนือความคาดหมาย ผมเกรงว่าคุณอาจจะผิดหวังเล็กน้อยครับ เพราะมันยังคงมีข้อจำกัดบางอย่างที่หนังยังก้าวข้ามไปไม่ได้
ผมให้คะแนนภาคนี้ประมาณ 7/10 ครับ เป็นหนังที่ดูเพลินๆ ไม่ต้องคิดมาก เน้นความบันเทิงทางสายตาและฉากแอ็คชั่นเป็นหลักครับ ผมยังคงรอคอยภาคต่อไปอย่างใจจดใจจ่อครับ อยากรู้ว่า Zack Snyder จะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เราอีกในภาคหน้า
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะชวนเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ได้ดูภาคนี้แล้ว มาแสดงความคิดเห็นกันนะครับ คุณชอบไม่ชอบตรงไหน หรือมีมุมมองอย่างไร มาแลกเปลี่ยนกันได้เต็มที่เลยครับ เรามาคุยกันแบบเพื่อนๆ ใน Pantip นี่แหละครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ สวัสดีครับ