คำถามที่ดูเหมือนจะเป็นมุกตลก(หรือความคิดที่ดูสิ้นหวัง) คือ “ถ้าวันนึงไม่มีอะไรกิน เราสามารถกินดินได้ไหม?” แต่เมื่อมองลึกลงไป นี่กลับเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในหลายสังคมทั่วโลก
.
การกินดิน นั้นมีจริง ๆ และยังมีชื่อเรียกอีกด้วยว่า geophagy สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความผิดปกติทางจิตใจ แต่ยังเป็นพฤติกรรมที่ผูกพันกับความเชื่อ วัฒนธรรม และความยากจนข้นแค้นมาหลายศตวรรษ
Geophagy (จีโอฟาจีย์) หมายถึงพฤติกรรมการกินดินหรือดินเหนียว ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของ pica (เป็นโรคทางจิตเวช) กลุ่มความผิดปกติที่บุคคลมีความอยากกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร เช่น กระดาษ เส้นผม ผงซักฟอก หรือหิน แต่สิ่งที่ทำให้ geophagy ต่างจากการกินสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ คือมันมีการปรากฏอย่างกว้างขวางทั้งในคนและสัตว์ และบางสังคมก็มองว่าเป็นพฤติกรรม "ปกติ" มากกว่าความผิดปกติ แน่นอนว่า Geophagy เป็น subtype ของ pica ที่เฉพาะเจาะจงกับการกินดิน ดินเหนียว หรือดินผง
.
ส่วนกลไกของอาการอยากกินดินนั้นก็มีหลายเหตุปัจจัย อย่างเช่น การขาดธาตุเหล็กก็เป็นหนึ่งในนั้น หลายงานวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่าง geophagy และภาวะโลหิตจาง การกินดินไม่ได้ช่วยเพิ่มธาตุเหล็กโดยตรง แต่เป็น “อาการร่วม” ของภาวะขาดเหล็ก (เหมือนคนอยากกินน้ำแข็งใน pagophagia)
.
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของการกินดิน
เหลือเชื่อที่จะบอกว่าแท้จริงมนุษย์เรากินดินมานานนับพันปี หลักฐานทางมานุษยวิทยาพบว่าในหลายชุมชนทั่วโลก การกินดินเป็นพฤติกรรมที่สืบต่อกันมา เช่น ในแอฟริกา หญิงตั้งครรภ์ในแทนซาเนียและกานามักกินดินเหนียวเพื่อบรรเทาอาการแพ้ท้องหรือเพิ่มแร่ธาตุ ในอินโดนีเซียยังมี “ampo” ซึ่งเป็นขนมที่ทำจากดินเหนียวเผาซึ่งเป็นสินค้าที่ขายตามตลาดชนบท ในไทยเองก็มีชนเผ่าอาข่าในจังหวัดเชียงราย ที่มีวัฒนธรรมกินดินที่สืบทอดกันมา
.
ขณะที่ในอดีตของสหรัฐอเมริกา บันทึกในรัฐมิสซิสซิปปีช่วงศตวรรษที่ 19–20 ระบุว่าเด็กผิวดำในบางพื้นที่กว่า 25% เคยกินดินเนื่องจากความยากจนและการเข้าถึงอาหารจำกัด สิ่งเหล่านี้ชี้ว่าการกินดินไม่ได้เป็นเพียงอาการผิดปกติ แต่ยังฝังรากในบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจีกด้วย
.
เมื่อความอดอยากมาเยือน สิ่งที่เราเรียกว่า “อาหาร” อาจไม่ใช่สิ่งที่เรากินตามปกติ นักมานุษยวิทยาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า famine foods เช่น พืชที่ปกติที่เราไม่กิน แต่เราก็เอามากินเพื่อความอยู่รอด ในกรณีสุดโต่ง ดินก็ถูกนับเป็น famine food เช่นกัน
.
มีบันทึกจำนวนมากที่เล่าถึงพฤติกรรมการกินดินของเด็กผิวดำในชุมชนยากจน ปรากฏการณ์นี้เชื่อมโยงกับสภาพเศรษฐกิจและการเหยียดเชื้อชาติที่กดทับผู้คนในยุคนั้น
.
งานเขียนทางประวัติศาสตร์บันทึกว่า เด็กผิวดำในเขตชนบทของมิสซิสซิปปีจำนวนมากถูกเลี้ยงดูในครอบครัวที่มีอาหารจำกัด บางครอบครัวแทบไม่มีเงินพอซื้อเนื้อสัตว์หรืออาหารสด การกินดินเหนียวหรือดินแดง จึงกลายเป็นพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไป ในบางชุมชนมีรายงานว่าเด็ก ๆ ถึง หนึ่งในสี่ของประชากร มีประสบการณ์กินดินอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต
.
เหตุผลที่พวกเขากินดินมีหลายชั้น หนึ่งคือความหิวล้วน ๆ เมื่อไม่มีข้าวปลาอาหารเหลือในบ้าน เด็กบางคนใช้ดินแทน “ตัวถ่วงท้อง” เพื่อหยุดเสียงร้องจากความหิว
.
อีกเหตุผลหนึ่งคือความเชื่อที่ส่งต่อกันว่า ดินเหนียวมีแร่ธาตุและช่วยบรรเทาอาการท้องอืดหรือโรคท้องร่วง แต่สำหรับครอบครัวยากจนแล้ว เหตุผลทางโภชนาการอาจเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อคลายความรู้สึกผิดเท่านั้น เพราะความจริงคือพวกเขาถูกผลักให้กินดินเพราะไม่มีทางเลือกอื่นการกินดินในที่นี้จึงเป็นเหมือน “สะพาน” เชื่อมระหว่างชีวิตกับความตาย ถึงแม้สะพานนั้นจะเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ร่างกายต้องจ่าย
.
เราไม่ควรกินดิน
แม้ว่าดินเหนียวบางชนิดสามารถดูดซับสารพิษและลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารได้ แต่งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่าผลเสียมีความชัดเจนกว่า เพราะดินที่บริโภคอาจปนเปื้อน โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคดเมียม และสารหนู ซึ่งเป็นพิษต่อระบบประสาทและไต นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจาก พยาธิและจุลชีพในดิน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคพยาธิลำไส้อีกด้วย
.
ดังนั้น หากมีคนถามว่า "ถ้าไม่มีอะไรกิน เรากินดินได้ไหม?" คำตอบตามหลักการแพทย์และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่คือ "ไม่ควรกิน" แม้ว่าการกินดินจะเป็นพฤติกรรมที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์ ซึ่งมักเชื่อมโยงกับความเชื่อ การขาดสารอาหาร หรือความอดอยาก แต่ความเสี่ยงต่อสุขภาพนั้นมีมากกว่าประโยชน์ที่อาจได้รับอย่างมหาศาล
.
กลับมามองที่ตัวเรา
การกินดินอาจไม่ใช่เรื่องของความแปลก หากแต่เป็นสิ่งที่สะท้อนจากความหิวโหย เมื่อเรานั่งลงต่อหน้าจานข้าวในแต่ละวัน บางทีสิ่งที่ควรเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความอิ่ม แต่คือความตระหนักว่า อาหารที่อยู่ตรงหน้าเราเป็นสิ่งล้ำค่าและไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายดาย เรื่องของการ “กินดิน” อาจทำให้เราเข้าใจว่า สำหรับบางคน อาหารไม่ได้หมายถึงรสชาติหรือความหรูหรา หากหมายถึงการอยู่รอด
เช่นนั้นแล้ว มื้อถัดไปที่เราได้กินอาหารจริง ๆ ลองช้าลงสักนิด เคี้ยวอย่างรู้คุณค่า และระลึกไว้เสมอว่า ทุกคำที่เรากิน คือสิ่งที่ใครบางคนในโลกยังจินตนาการไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ
.
ที่มา : Wongnai
เราสามารถ "กินดิน" ได้ไหม ถ้าวันนึง ไม่มีอะไรกินจริงๆ