BR bangkok readers บางกอกรีดเดอร์ส นิตยสารนำสมัยในยุค 70's ..... ตอนที่ ๒

ตอนที่ ๑ https://pantip.com/topic/43752877/


มีสินค้าหนึ่งที่ดังมากในยุคนั้น เป็นสบู่เหลวทำความสะอาด ซึ่งมีกลิ่นแปลกประหลาดเหมือนสารเคมีทำความสะอาดในสมัยนี้ ชื่อยี่ห้อคือเดอร์มาพอน ซึ่งยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆขายอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่เจ้าสบู่เหลวที่ว่านี่ไม่เห็นนานแล้ว กลิ่นของมันเป็นเอกลักษณ์มาก หากใครอาบน้ำด้วยสบู่นี้ กลิ่นจะติดตัวเหมือนสบู่นกแก้ว ติดไปทั้งวัน และมีโฆษณาแชมพูยี่ห้อ แคลรอลกลิ่นพฤกษา หรือ clairol herbal ซึ่งยังมีขายอยู่จนทุกวันนี้ นับว่าอยู่ยงคงกระพันมากๆ

โฆษณาเดอร์มาพอนชิ้นล่าง ด้านบนสุดมีอักษรเขียนไว้ว่า "สถานที่ บ้านตัวอย่าง หมู่บ้านเสรี" หมู่บ้านเสรีที่ว่านี้คือ หมู่บ้านเสรี 1 หัวหมาก หลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงเปิดสอนเป็นครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ บนสถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของงานแสดงสินค้านานาชาติแห่งเอเชีย (ASIA International Trade Fair) ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน - ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙ หลังจากงานแสดงสินค้าจบลง สถานที่นี้ก็ถูกปล่อยร้าง จนกระทั่งมาตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น หมู่บ้านเสรีเมื่อแรกสร้างมีชื่อเสียงมาก แต่ผู้คนติว่าอยู่ไกลเหลือเกิน รอบหมู่บ้านมีแต่ทุ่งนา และยังมีควายเดินกินหญ้าอยู่เลย แต่แบบบ้านซึ่งเป็นบ้านปูนสองชั้น ปลูกแบบสมัยใหม่สำหรับเมืองไทยในยุคนั้น ก็ทำให้คนที่พอจะมีทรัพย์มาซื้อไว้เป็นจำนวนมาก หมู่บ้านเสรีนี้ สร้างโดยบริษัทซีคอน ซึ่งปัจจุบันคือเจ้าของซีคอนสแควร์ โครงการนี้นับเป็นงานแรกๆของซีคอนที่สร้างชื่อเสียงในการก่อสร้างอย่างมาก



บีอาร์ ยังมีผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่โด่งดังมากก็คือสบู่ครีม ซึ่งโฆษณาว่า "สบู่ครีมแท้ แม้แต่ฟองก็เป็นครีม - จากยอดน้ำหอมของยุโรป GIVAUDAN" ซึ่งบริษัทน้ำหอมนี้ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ (Givaudan International SA (Corporate Headquarters) Chemin de la Parfumerie 5 1214 Vernier Switzerland) ราคาสบู่ BR นี้ก้อนละ ๑๒ บาท (๑๒ * ๒๒.๕ = ๒๗๐)



นอกจากจะมีนิตยสารแล้ว บีอาร์ยังมีสินค้าแฟชั่น น้ำหอม สบู่หอม ในยี่ห้อของตัวเองด้วย และมีแผนกตัดเสื้อผ้า มีเสื้อผ้าสำเร็จรูปขายด้วย ซึ่งก็เช่นเคย เป้าหมายเน้นที่ หนุ่มสังคม สาวสังคม ในยุคนั้น ลองดูในภาพแล้วลองคิดว่า ถ้านำมาสวมใส่เดินในย่านการค้ากรุงเทพในวันนี้ จะหล่อสักแค่ไหน


บีอาร์มีกระทั่งบัตรอวยพร ขายในราคาใบละ ๑๐ บาท (๑๐ * ๒๒.๕ = ๒๒๕) ซึ่งถือว่า แพงมาก ในยุคนั้น ส.ค.ส.ปีใหม่ใบละ ๑ บาท เด็กหนุ่มเด็กสาวก็จะซื้อให้เฉพาะคนรักคนสำคัญเท่านั้น และยังไม่ใช่ธณรมเนียมนิยมที่จะต้องแจกการ์ดอวยพรนี้ให้ใคร มันเป็นวัฒนธรรมที่ยังไม่แพร่หลายเหมือนในยุคถัดๆมา



โฆษณาที่น่าสนใจและบอกประวัติศาสตร์อีกชิ้นหนึ่ง คือโฆษณารายการโทรทัศน์ บีอาร์ซีนนีมา ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี ในพุทธศักราช ๒๕๑๖ นั้นสถานีโทรทัศน์ของไทยในกรุงเทพมีทั้งหมดสี่ช่อง คือ ช่อง 3 (สี) หนองแขม ช่อง 4 (ขาวดำ) บางขุนพรหม ช่อง 7 (ขาวดำ) สนามเป้า และ ช่อง 7 (สี) หมอชิต ในยุคเริ่มแรกของสถานีช่อง 7 สี ซึ่งเป็นสถานีเอกชนแห่งแรก มีผู้เข้าร่วมดำเนินรายการมากมาย บีอาร์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ก้าวเข้าสู่วงการโทรทัศน์กับเขาด้วย ซึ่งไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะคีย์แมนคนสำคัญของบีอาร์คือ พิชัย วาสนาส่ง ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ถือเป็นบุคลากรทางโทรทัศน์รุ่นแรกของเมืองไทย รายการบีอาร์ซีนนีมา จะฉายภาพยนต์ต่างประเทศ โดยมีบันทึกไว้ในคู่มือรายการโทรทัศน์ยุคนั้นว่า วันจันทร์ เวลา 22.00 น. ภาพยนต์ต่างประเทศเรื่องยาว แต่รายการนี้จะออกอากาศนานเท่าไรยังไม่ได้ค้นคว้าไว้



โฆษณาปากกาป๊ากเกอร์ ปากกามีระดับ ผู้ที่จะมีปากกานี้ใช้ก็จะต้องมีทรัพย์สักหน่อย เพราะดูจากราคาปากกาปลอกทองทั้งด้าม ๖๓๐ บาท (๖๓๐ * ๒๒.๕ = ๑๔,๑๗๕) เกือบเท่าเงินเดือนทั้งเดือนของข้าราชการชั้นตรี ด้ามที่ราคาถูกที่สุดเป็นปากกาลูกลื่นชนิดกด มีปฏิทินหมุนได้ที่ด้ามด้วย ราคา ๔๒ บาท (๔๒ * ๒๒.๕ = ๙๔๕) เด็กนักเรียนทั่วไปไม่มีปัญญาใช้ ต้องใช้ปากกาบิคด้ามละ ๑ บาท ปากกาหมึกซึมไพลอตด้ามละสิบกว่าบาท ซึ่งแค่นั้นพ่อแม่ก็บ่นแล้วว่าแพง






นาฬิกายี่ห้อไซโก้ ยี่ห้อดังในเมืองไทย ซึ่งมีหลากหลายรุ่น ราคาถูกสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยก็มี แต่ที่โฆษณาในนิตยสารบีอาร์ ก็คงต้องเลือกระดับดีขึ้นมาสักหน่อยพอให้หนุ่มสังคมและสาวสังคมสนใจ ราคาจึงอยู่ที่ประมาณเรือนละ ๗๐๐ - ๘๐๐ บาท (๘๐๐ * ๒๒.๕ = ๑๘,๐๐๐)




สุขภัณฑ์ ในยุคนั้นห้องสุขาหรือส้วมตามบ้านทั่วไปยังเป็นแบบโถนั่งยอง หรือที่เรียกกันว่าส้วมซึม โถนั่งราบหรือที่เรียกกันว่าชักโครกพึ่งจะเริ่มทำตลาด และได้รับความนิยมในหมู่สังคมชั้นสูงมาก่อน ชาวบ้านร้านตลาดมักพูดกันว่าแพง และใช้น้ำมาก เปลืองน้ำ ในยุคดังกล่าวการประปาในประเทศไทยยังไม่เจริญ ตรอกซอกซอยลึกๆชานเมืองน้ำประปายังเข้าไม่ถึง และส่วนใหญ่น้ำอ่อน น้ำไม่ไหล ต้องอดหลับอดนอนมารองน้ำกันในยามดึกเสมอๆ หลายหมู่บ้านยังคงใช้น้ำบาดาล โดยเฉพาะย่านชานเมืองเช่นหัวหมาก บางกะปิ ลาดพร้าว บางแค เรียกว่าทุกย่านชานเมืองนั่นแหละ แถบหัวหมากมีหมู่บ้านจัดสรรเกิดขึ้นมาก และมีโรงงานด้วย จึงมีการสูบน้ำบาดาลเป็นจำนวนมาก กล่าวกันว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พื้นดินกรุงเทพทรุดตัว และน้ำท่วมบ่อยครั้ง บางที่นั้นยังต้องซื้อน้ำใช้ โดยจะมีรถขายน้ำเป็นรถบรรทุกแท้งค์น้ำสังกะสีใบใหญ่ ขับมาส่งที่บ้าน โดยมาถึงก็จะสูบน้ำลงใส่ตุ่มของบ้านนั้นๆ ราคาขายคิดกันเป็นแทงค์ซึ่งบรรจุราวๆ ๑๐๐๐ ลิตร ในการซื้อน้ำใช้นี้ ผู้ซื้อก็ต้องระวัง ลงทุนถึงขนาดปีนขึ้นรถบรรทุกแล้วเปิดฝาแทงค์น้ำดูก่อนว่า บรรจุมาเต็มหรือไม่ หาไม่จะขาดทุนถ้าเขาใส่น้ำมาไม่เต็มแทงค์ ชีวิตคนกรุงในยุคนั้นใช่ว่าจะสบายเหมือนปัจจุบัน








สินค้ามากมายที่โฆษณาในนิยสารบีอาร์ บางอย่างนั้นดูล้าสมัยไปแล้วสำหรับวันนี้ บางอย่างอาจจะไม่มีขายแล้วเพราะหมดยุคหมดความนิยม บางยี่ห้อก็หายสาปสูญไปแล้ว

(จบตอนที่ ๒ ยังมีต่อ อีกเยอะเลย)

ตอนที่ ๓ https://pantip.com/topic/43754953/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่