ปฏิเสธไม่ได้ว่า "The Raid" คือภาพยนตร์ที่สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับวงการหนังแอ็คชั่นทั่วโลก ด้วยสไตล์การต่อสู้ที่ดิบ เถื่อน สมจริง และฉากแอ็คชั่นที่ออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์จนแทบหยุดหายใจ วันนี้เราจะมาย้อนรอยความยอดเยี่ยมของภาพยนตร์สัญชาติอินโดนีเซียทั้งสองภาค ที่ได้จารึกชื่อตัวเองไว้ในหน้าประวัติศาสตร์หนังบู๊อย่างเต็มภาคภูมิ
The Raid: Redemption (2011) - ฉะ! ทะลุตึกนรก
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย เมื่อหน่วยตำรวจพิเศษนำโดยจ่าจาการ์ ได้รับภารกิจบุกทลายอพาร์ตเมนต์เก่าโทรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นรังของเจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ "ทามา" แต่ภารกิจที่ควรจะจบลงอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นฝันร้าย เมื่อพวกเขาถูกเปิดโปงและติดอยู่ในตึกที่เต็มไปด้วยสมุนนักฆ่าของทามา ทางรอดเดียวของ "รามา" (อิโก อูไวส์) ตำรวจหนุ่มฝีมือดีและสมาชิกในทีม คือการต่อสู้ฝ่าดงกระสุนและคมมีดขึ้นไปทีละชั้นเพื่อโค่นหัวหน้าใหญ่ให้ได้
"The Raid: Redemption" คือนิยามของคำว่า "ความมันส์แบบไม่ต้องหายใจ" ผู้กำกับ แกเร็ธ อีแวนส์ ได้สร้างสรรค์ผลงานที่เปรียบเสมือนรถไฟเหาะตีลังกาที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชั่นสุดระห่ำตลอด 101 นาที หนังใช้ประโยชน์จากโลเคชั่นตึกแคบๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม สร้างบรรยากาศที่กดดัน อึดอัด และสิ้นหวัง ราวกับกำลังชมภาพยนตร์แนวสยองขวัญเอาชีวิตรอด
สิ่งที่ทำให้ The Raid โดดเด่นและแตกต่างคือการนำเสนอศิลปะการต่อสู้ "ปันจักสีลัต" (Pencak Silat) ที่ดุดัน รวดเร็ว และเน้นความรุนแรงสมจริง ทุกการปะทะไม่ว่าจะเป็นมือเปล่า, มีด, หรือแม้กระทั่งเศษกระจก ล้วนออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ การกำกับคิวบู๊นั้นไร้ที่ติ กล้องติดตามทุกการเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง
แม้พล็อตเรื่องจะไม่ได้ซับซ้อน แต่หนังก็ชดเชยด้วยการสร้างสถานการณ์ที่บีบคั้นหัวใจและตัวละครที่น่าจดจำ โดยเฉพาะ "แมดด็อก" (ยายัน รูเฮียน) สมุนมือขวาของทามา ที่สร้างภาพจำในฐานะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและบ้าคลั่งจนกลายเป็นที่กล่าวขาน
จุดเด่น:
คิวบู๊และฉากแอ็คชั่นที่ดิบ, สมจริง และออกแบบมาอย่างเหนือชั้น
การใช้ศิลปะการต่อสู้ปันจักสีลัตที่น่าตื่นตาตื่นใจ
บรรยากาศที่กดดันและอึดอัดเหมือนอยู่ในกับดัก
การกำกับภาพและตัดต่อที่ยอดเยี่ยมในฉากต่อสู้
จุดด้อย:
เนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน
คะแนน: 9/10
(สุดยอดหนังแอ็คชั่นที่ปลุกอะดรีนาลีนให้พลุ่งพล่านตั้งแต่ต้นจนจบ)
The Raid 2: Berandal (2014) - ฉะ! ระห่ำเมือง
หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกเพียงไม่กี่ชั่วโมง รามาต้องเผชิญกับโลกที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขาถูกดึงตัวให้เข้าไปแทรกซึมในองค์กรอาชญากรรมยักษ์ใหญ่ของกรุงจาการ์ตา เพื่อเปิดโปงตำรวจคอรัปชั่นในกรมของเขาเอง รามาต้องทิ้งตัวตนและครอบครัวไว้เบื้องหลัง สวมรอยเป็นนักเลงเดนตายชื่อ "ยูดา" และไต่เต้าขึ้นไปในโลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยการหักหลัง ทรยศ และความตายที่รออยู่ทุกย่างก้าว
หากภาคแรกคือการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบในพื้นที่ปิด "The Raid 2" ก็คือการขยายสเกลสู่สงครามแก๊งสเตอร์เต็มรูปแบบ แกเร็ธ อีแวนส์ ได้ยกระดับทุกองค์ประกอบของหนังขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในแง่ของเนื้อเรื่องที่สลับซับซ้อนขึ้น มีความเป็นหนังดราม่า-อาชญากรรมมากขึ้น และที่สำคัญคือฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่และหลากหลายกว่าเดิมอย่างมหาศาล
ภาคนี้เราจะได้เห็นฉากแอ็คชั่นในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ตั้งแต่ฉากตะลุมบอนในลานโคลนของเรือนจำ, ฉากต่อสู้ในรถที่ไล่ล่าสุดระห่ำ ไปจนถึงการดวลเดี่ยวกับนักฆ่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (สาวค้อนคู่และมือเบสบอล) ซึ่งแต่ละฉากล้วนถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและยังคงความโหดดิบอันเป็นลายเซ็นของซีรีส์นี้ไว้ไม่เสื่อมคลาย อิโก อูไวส์ ในบทรามาได้แสดงทักษะการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นและแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม การที่หนังมีความยาวเกือบสองชั่วโมงครึ่งและมีตัวละครเพิ่มขึ้นมากมาย อาจทำให้ความกระชับและแรงกดดันแบบในภาคแรกลดลงไปบ้าง แต่ก็แลกมาด้วยมิติของเรื่องราวที่ลุ่มลึกและโลกที่กว้างใหญ่ขึ้น
จุดเด่น:
เนื้อเรื่องที่ซับซ้อนและมีความเป็นมหากาพย์หนังแก๊งสเตอร์
ฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่, หลากหลาย และสร้างสรรค์ยิ่งกว่าเดิม
การออกแบบตัวละครนักฆ่าที่น่าจดจำ
การพัฒนาของตัวละครรามาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
จุดด้อย:
ความยาวของหนังอาจทำให้บางช่วงรู้สึกเนือยไปบ้าง
ความกดดันแบบพื้นที่จำกัดที่เป็นเสน่ห์ของภาคแรกลดน้อยลง
คะแนน: 9.5/10
(ภาคต่อที่สมบูรณ์แบบ ยกระดับทุกอย่างขึ้นไปอีกขั้นจนกลายเป็นหนึ่งในหนังแอ็คชั่นที่ดีที่สุดตลอดกาล)
"The Raid" ทั้งสองภาคได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของภาพยนตร์อินโดนีเซียในเวทีโลก โดยภาคแรกมอบประสบการณ์แอ็คชั่นที่ดิบเถื่อนและบีบคั้น ในขณะที่ภาคสองขยายขอบเขตไปสู่หนังอาชญากรรมสุดยิ่งใหญ่ที่ยังคงอัดแน่นด้วยฉากต่อสู้ระดับมาสเตอร์พีซ แม้จะมีแนวทางที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองภาคก็ล้วนเป็นภาพยนตร์ที่แฟนหนังแอ็คชั่นตัวจริง "ต้องดู" และเป็นหมุดหมายสำคัญที่ยกระดับมาตรฐานของวงการหนังบู๊ไปตลอดกาล
รีวิวหนังเก่า THE RAID ภาค 1-2 : บู๊ระห่ำ โหด ดิบ เถื่อน ความมันส์ทะลุขีดจำกัด
The Raid: Redemption (2011) - ฉะ! ทะลุตึกนรก
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย เมื่อหน่วยตำรวจพิเศษนำโดยจ่าจาการ์ ได้รับภารกิจบุกทลายอพาร์ตเมนต์เก่าโทรมแห่งหนึ่งซึ่งเป็นรังของเจ้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ "ทามา" แต่ภารกิจที่ควรจะจบลงอย่างรวดเร็วกลับกลายเป็นฝันร้าย เมื่อพวกเขาถูกเปิดโปงและติดอยู่ในตึกที่เต็มไปด้วยสมุนนักฆ่าของทามา ทางรอดเดียวของ "รามา" (อิโก อูไวส์) ตำรวจหนุ่มฝีมือดีและสมาชิกในทีม คือการต่อสู้ฝ่าดงกระสุนและคมมีดขึ้นไปทีละชั้นเพื่อโค่นหัวหน้าใหญ่ให้ได้
"The Raid: Redemption" คือนิยามของคำว่า "ความมันส์แบบไม่ต้องหายใจ" ผู้กำกับ แกเร็ธ อีแวนส์ ได้สร้างสรรค์ผลงานที่เปรียบเสมือนรถไฟเหาะตีลังกาที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชั่นสุดระห่ำตลอด 101 นาที หนังใช้ประโยชน์จากโลเคชั่นตึกแคบๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม สร้างบรรยากาศที่กดดัน อึดอัด และสิ้นหวัง ราวกับกำลังชมภาพยนตร์แนวสยองขวัญเอาชีวิตรอด
สิ่งที่ทำให้ The Raid โดดเด่นและแตกต่างคือการนำเสนอศิลปะการต่อสู้ "ปันจักสีลัต" (Pencak Silat) ที่ดุดัน รวดเร็ว และเน้นความรุนแรงสมจริง ทุกการปะทะไม่ว่าจะเป็นมือเปล่า, มีด, หรือแม้กระทั่งเศษกระจก ล้วนออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ การกำกับคิวบู๊นั้นไร้ที่ติ กล้องติดตามทุกการเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง
แม้พล็อตเรื่องจะไม่ได้ซับซ้อน แต่หนังก็ชดเชยด้วยการสร้างสถานการณ์ที่บีบคั้นหัวใจและตัวละครที่น่าจดจำ โดยเฉพาะ "แมดด็อก" (ยายัน รูเฮียน) สมุนมือขวาของทามา ที่สร้างภาพจำในฐานะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและบ้าคลั่งจนกลายเป็นที่กล่าวขาน
จุดเด่น:
คิวบู๊และฉากแอ็คชั่นที่ดิบ, สมจริง และออกแบบมาอย่างเหนือชั้น
การใช้ศิลปะการต่อสู้ปันจักสีลัตที่น่าตื่นตาตื่นใจ
บรรยากาศที่กดดันและอึดอัดเหมือนอยู่ในกับดัก
การกำกับภาพและตัดต่อที่ยอดเยี่ยมในฉากต่อสู้
จุดด้อย:
เนื้อเรื่องที่ค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน
คะแนน: 9/10
(สุดยอดหนังแอ็คชั่นที่ปลุกอะดรีนาลีนให้พลุ่งพล่านตั้งแต่ต้นจนจบ)
The Raid 2: Berandal (2014) - ฉะ! ระห่ำเมือง
หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกเพียงไม่กี่ชั่วโมง รามาต้องเผชิญกับโลกที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขาถูกดึงตัวให้เข้าไปแทรกซึมในองค์กรอาชญากรรมยักษ์ใหญ่ของกรุงจาการ์ตา เพื่อเปิดโปงตำรวจคอรัปชั่นในกรมของเขาเอง รามาต้องทิ้งตัวตนและครอบครัวไว้เบื้องหลัง สวมรอยเป็นนักเลงเดนตายชื่อ "ยูดา" และไต่เต้าขึ้นไปในโลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยการหักหลัง ทรยศ และความตายที่รออยู่ทุกย่างก้าว
หากภาคแรกคือการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบในพื้นที่ปิด "The Raid 2" ก็คือการขยายสเกลสู่สงครามแก๊งสเตอร์เต็มรูปแบบ แกเร็ธ อีแวนส์ ได้ยกระดับทุกองค์ประกอบของหนังขึ้นไปอีกขั้น ทั้งในแง่ของเนื้อเรื่องที่สลับซับซ้อนขึ้น มีความเป็นหนังดราม่า-อาชญากรรมมากขึ้น และที่สำคัญคือฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่และหลากหลายกว่าเดิมอย่างมหาศาล
ภาคนี้เราจะได้เห็นฉากแอ็คชั่นในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ตั้งแต่ฉากตะลุมบอนในลานโคลนของเรือนจำ, ฉากต่อสู้ในรถที่ไล่ล่าสุดระห่ำ ไปจนถึงการดวลเดี่ยวกับนักฆ่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (สาวค้อนคู่และมือเบสบอล) ซึ่งแต่ละฉากล้วนถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและยังคงความโหดดิบอันเป็นลายเซ็นของซีรีส์นี้ไว้ไม่เสื่อมคลาย อิโก อูไวส์ ในบทรามาได้แสดงทักษะการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นและแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม การที่หนังมีความยาวเกือบสองชั่วโมงครึ่งและมีตัวละครเพิ่มขึ้นมากมาย อาจทำให้ความกระชับและแรงกดดันแบบในภาคแรกลดลงไปบ้าง แต่ก็แลกมาด้วยมิติของเรื่องราวที่ลุ่มลึกและโลกที่กว้างใหญ่ขึ้น
จุดเด่น:
เนื้อเรื่องที่ซับซ้อนและมีความเป็นมหากาพย์หนังแก๊งสเตอร์
ฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่, หลากหลาย และสร้างสรรค์ยิ่งกว่าเดิม
การออกแบบตัวละครนักฆ่าที่น่าจดจำ
การพัฒนาของตัวละครรามาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
จุดด้อย:
ความยาวของหนังอาจทำให้บางช่วงรู้สึกเนือยไปบ้าง
ความกดดันแบบพื้นที่จำกัดที่เป็นเสน่ห์ของภาคแรกลดน้อยลง
คะแนน: 9.5/10
(ภาคต่อที่สมบูรณ์แบบ ยกระดับทุกอย่างขึ้นไปอีกขั้นจนกลายเป็นหนึ่งในหนังแอ็คชั่นที่ดีที่สุดตลอดกาล)
"The Raid" ทั้งสองภาคได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของภาพยนตร์อินโดนีเซียในเวทีโลก โดยภาคแรกมอบประสบการณ์แอ็คชั่นที่ดิบเถื่อนและบีบคั้น ในขณะที่ภาคสองขยายขอบเขตไปสู่หนังอาชญากรรมสุดยิ่งใหญ่ที่ยังคงอัดแน่นด้วยฉากต่อสู้ระดับมาสเตอร์พีซ แม้จะมีแนวทางที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองภาคก็ล้วนเป็นภาพยนตร์ที่แฟนหนังแอ็คชั่นตัวจริง "ต้องดู" และเป็นหมุดหมายสำคัญที่ยกระดับมาตรฐานของวงการหนังบู๊ไปตลอดกาล