1.) Les Bêtes (2024) Director By Michael Granberry
- ถึงชื่นชมอย่างสุดใจในแง่ของเนื้องานทั้งมวลที่ได้รับชมไปจนแลเห็นถึงความตั้งใจในการรังสรรค์ทุกสิ่งอย่างพิถีพิถันแต่บ่งตรงว่าระหว่างดูจนกระทั่งจบประติดประต่อ Story ไม่ถูกเลยว่าพูดถึงอะไร ? จะให้โฟกัสอะไรก่อนดี ? ในเมื่อสิ่งที่นำเสนอมาถูกนำทางด้วยงานสร้างที่โดดเด่นและลายเส้นเป็นเอกลักษณ์เหมือนเรื่อง Mary & Max (2009) ที่นึกถึงที่พอสังเกตุและสัมผัสถึงความนัยที่ซ่อนเร้นได้ง่ายมือสุด พอจับความไม่ถูกทำให้หนังที่มีความยาวเพียงแค่หยิบมือกลายเป็นหนังยาวสายป่านที่สร้างความทรมานใจจนเผลอถามกับตนเองขึ้นมาในใจว่าจะจบกี่โมง ? ไปได้ยังไงไม่รู้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องซะทีเดียวหลังจากดูจบแล้วปล่อยให้สมองทบทวนและประมวลผลจึงพบว่ามันเสียดสีระบบชนชั้นศักดินาเจ้าขุนมูลนายผ่าน Movement ของตัวละครไม่ว่าจะตัวกระต่ายหรือบรรดาราชวงศ์ขุนนางที่กรุกันมาเปิดขายของใน Situations ซ่องแตกแห่งเดียวด้วย Visuals โทนขาว-ดำสุดบรรเจิดที่งดงามและวิปลาสเกินจะเข้าถึงทั้งหมด
2.) A Waste of Life (2023) Director By Tore Frandsen
- เป็น Plot สามัญชนที่เข็มขัดสั้นว่าจะเล่าออกมาได้ลุ้นระทึกชนิดหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถึงช่วงที่พระเอกดันเกิดอุบัติเหตุขณะกำลังอาบน้ำจนในหัวนึกถึงเรื่อง Inception (2010) ของเซอร์ Nolan ลอยขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันในหัวก็เกิด 2 จิต 2 ใจพร้อมกันว่าจะเอาใจช่วยเผื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์พลิกผันอะไรสักอย่างขึ้นดี ? หรือ คาดการณ์ได้แล้วว่าเมื่อหวยลงมาเลขนี้ผลจะเป็นอย่างไร ? พอไล่ย้อนดูตั้งแต่แรกเห็นตัวพระเอกเดินสาละวนคุยโทรศัพท์กับเสียงปลายทางอยู่แต่ในห้องเพียงคนเดียวด้วยทรัพยากรที่มีเพียงแค่หยิบมือ ถ้าไม่นับแม่บ้านที่โผล่มาทำความสะอาดผ่านหน้ากล้องหรือเสียงปลายสายจากโทรศัพท์มือถือที่ดังเป็นครั้งคราวก็เป็นอันรู้เรื่องแล้วว่าหวยจะออกมาเลขอะไร ? ในเมื่อบรรยากาศของหนังมันส่งเสริมความเป็น Thriller ในแง่ของการสร้างอารมณ์กดดันในสถานที่เกือบปิดตุยที่ค่อย ๆ ไต่ระดับจากนิ่ง ๆ ไปสู่จุดปรอทแตกได้เป็นอย่างดีจนเริ่มตระหนักอีกมุมเลยว่าบางทีที่ ๆ เป็น Save Zone ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย ถ้าเกิดภัยมา
3.) Rachels Don’t Run (2021) Director By Joanny Causse
- มีความเป็น Her (2013) กับ The Guilty (2018) ที่ผสมกันแล้วปรุงใน Concept ของตนเองออกมาได้สมจริง ใกล้เคียง ไม่สิ ไม่ต่างจากสภาพที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ที่จะทำ Activity อะไรก็มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องรวมถึงการมาของ AI ที่เข้ามามีบทบาทในฐานะเครื่องมืออำนวยชีวิตให้สังคมขับเคลื่อนต่อไปได้สะดวก ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าการที่หนังเลือกเล่าผ่าน Activity ของนางเอกผู้ซึ่งทำงานเป็นพนักงานของบริษัทเพื่อนคุยยามดึกใส ๆ ตลอดทั้งเรื่องก็ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบเกิดความโดดเดี่ยวและความอ้างว้างที่กำลังเกาะกินใจคุณเธอ ขนาดว่าลุกขึ้นไปต้มมาม่ามากินเพื่อสร้างบรรยากาศกันเองก็ไม่อาจกลบกลิ่นที่ว่ามานี้ออกไปได้ แต่หนังก็ไม่ทำให้คนดูอย่างเราต้องรอนานเมื่อถึงช่วงที่เสียงปลายสายดังขึ้นปรากฎว่าเป็นเสียงชายหนุ่มที่คุณเธอแอบจากการถ้ำมอง Profile ในโลก Social มานาน ตัวหนังก็ค่อย ๆ เผยความในใจจากอาการประหม่าด้วยการสวมรอยเป็น AI รับหน้าก่อนจะปล่อย Joint ด้วยเสียงสด ๆ ที่แสดงถึงความจริงใจแล้วยังเกิดอาการใจฟูอย่างบอกไม่ถูกเมื่อหนังจบลงแบบนี้ แม้จะเล่นเตะขาปลั๊กไปดื้อ ๆ กลางฟ้าผ่า
4.) I Could Just Die, and That Would be Alright (2023) Director By A.K. Espada
- ดูจบไปหลายวันจนถึงตอนนี้ก็ยังบอกได้ไม่ถูกเลยว่าจะให้รู้สึกอย่างไรกันดี ? ในเมื่อตัวหนังมัน Run Way แบบ 2 แง่ 2 ง่ามอย่างที่เห็นด้วยตาเนื้อว่าจะให้รู้สึก แหวะ ในแง่ของความเป็น Body Horror ที่ทำออกมาได้เสียวเอาเรื่องหลังจากที่นางเอกถูกตัวอะไรไม่ทราบ เพราะเห็นไม่แน่ชัด หมับเข้าให้ขณะวิ่งจ๊อกกิ้งแถวบ้าน หรือ จะให้รู้สึก ขำ ในความ Bad Comedy ของอารมณ์ที่แทรกขณะที่นางเอกกลับเข้ามาในบ้านเห็นคุณสามีทำอาหารเช้าจึงได้ขอกินแทนที่จะกลืนลงไปอย่างอร่อยคุณเธอดันอ้วกออกมาจะ ๆ ต่อหน้าจนผมเห็นแล้วรู้สึกพะอืดอยากจะอ้วกตามกันดี ถึงฉาก เหวอะหวะ แต่ละทีที่มาไม่เยอะจะออกมาดีแต่การสับเปลี่ยนไปมาระหว่าง 2 โหมดที่ตีคู่กันอย่างหน้าตาระรื่นก็ยิ่งสร้างความสับสนต่อการประติดประต่อ Story ที่กำลังคาบเกี่ยวระหว่างความสัมพันธ์กับสามีหรือ Effect ที่นางเอกกำลังประสบกับคำสาปพันลึกในสภาวะที่ตีโครงอย่างจำกัดเข้าไปอีกแล้วพอหนังจบลงแบบนี้ก็เป็นอันรู้เรื่องทันทีว่าจะหยิบอย่างไหนง่ายมือกว่ามาใส่ใจ
5.) Poppy’s Saturn (2023) Director By Nicole Tegelaar
- ระหว่างชมแสงสีโทนม่วงในหัวก็ได้นึกถึงเรื่อง Neon Demon (2016) ลอยเข้ามาหลังดูจบว่าแค่เปลี่ยนจากวงการนางแบบมาเป็นวงการนักร้องที่ชูกลิ่นความ Mystery ผสม Horror กลิ่นคาวเลือดไม่ต่างกันแล้ว Set โลกของไนต์คลับในสเกล Minimal ให้มีความพิศวงลวงพรางพอที่จะพาเราล่องลอยและค่อย ๆ ด่ำดิ่งไปสู่เส้นแบ่งระหว่างโลกของความจริงกับโลกของความฝันที่ดูไปเริ่มจะแยกขรี้แยกเย่วไม่ออกตั้งแต่ที่นางเอกย่างกรายเข้ามาไนต์คลับเพื่อมาหาใครบางคนที่เธอคิดว่าสามารถแก้ไขปมที่วนอยู่ในใจด้วยเพราะโทนของมันส่งเสริมให้ Story ที่ปูพรมด้วยปมของนางเอกที่เป็นนักร้องกลางคืนมาอย่างเนิบนิ่งมีความสลับซับซ้อนในแง่ของ Details ที่ซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียวจนเกิดอาการมึนทั้งหัวและลูกตาเข้าไปอีกว่านอกจากงานภาพที่ Surreal และ จัดจ้านเกินหน้าเพื่อนแล้วจะให้โฟกัสอย่างไหนกันบ้าง ? ขณะเดียวกันก็งงกับตนเองว่าทำไมไม่รู้สึกวูบหลับกลางทางไปซะวะหรือเพราะได้เห็นหน้านางเอกลอยชายตลอดทั้งเรื่องช่วยไม่ให้เราตกลงไปในภวังค์สุดบิดเบี้ยวซะก่อนหรือตกลงไปแล้ววะถึงสัมผัสได้ทุกอณู
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.169 Fantastic Film 101 By CIFAN Chiang Mai International Fantastic Film Festival 2025
1.) Les Bêtes (2024) Director By Michael Granberry
- ถึงชื่นชมอย่างสุดใจในแง่ของเนื้องานทั้งมวลที่ได้รับชมไปจนแลเห็นถึงความตั้งใจในการรังสรรค์ทุกสิ่งอย่างพิถีพิถันแต่บ่งตรงว่าระหว่างดูจนกระทั่งจบประติดประต่อ Story ไม่ถูกเลยว่าพูดถึงอะไร ? จะให้โฟกัสอะไรก่อนดี ? ในเมื่อสิ่งที่นำเสนอมาถูกนำทางด้วยงานสร้างที่โดดเด่นและลายเส้นเป็นเอกลักษณ์เหมือนเรื่อง Mary & Max (2009) ที่นึกถึงที่พอสังเกตุและสัมผัสถึงความนัยที่ซ่อนเร้นได้ง่ายมือสุด พอจับความไม่ถูกทำให้หนังที่มีความยาวเพียงแค่หยิบมือกลายเป็นหนังยาวสายป่านที่สร้างความทรมานใจจนเผลอถามกับตนเองขึ้นมาในใจว่าจะจบกี่โมง ? ไปได้ยังไงไม่รู้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องซะทีเดียวหลังจากดูจบแล้วปล่อยให้สมองทบทวนและประมวลผลจึงพบว่ามันเสียดสีระบบชนชั้นศักดินาเจ้าขุนมูลนายผ่าน Movement ของตัวละครไม่ว่าจะตัวกระต่ายหรือบรรดาราชวงศ์ขุนนางที่กรุกันมาเปิดขายของใน Situations ซ่องแตกแห่งเดียวด้วย Visuals โทนขาว-ดำสุดบรรเจิดที่งดงามและวิปลาสเกินจะเข้าถึงทั้งหมด
2.) A Waste of Life (2023) Director By Tore Frandsen
- เป็น Plot สามัญชนที่เข็มขัดสั้นว่าจะเล่าออกมาได้ลุ้นระทึกชนิดหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อถึงช่วงที่พระเอกดันเกิดอุบัติเหตุขณะกำลังอาบน้ำจนในหัวนึกถึงเรื่อง Inception (2010) ของเซอร์ Nolan ลอยขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันในหัวก็เกิด 2 จิต 2 ใจพร้อมกันว่าจะเอาใจช่วยเผื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์พลิกผันอะไรสักอย่างขึ้นดี ? หรือ คาดการณ์ได้แล้วว่าเมื่อหวยลงมาเลขนี้ผลจะเป็นอย่างไร ? พอไล่ย้อนดูตั้งแต่แรกเห็นตัวพระเอกเดินสาละวนคุยโทรศัพท์กับเสียงปลายทางอยู่แต่ในห้องเพียงคนเดียวด้วยทรัพยากรที่มีเพียงแค่หยิบมือ ถ้าไม่นับแม่บ้านที่โผล่มาทำความสะอาดผ่านหน้ากล้องหรือเสียงปลายสายจากโทรศัพท์มือถือที่ดังเป็นครั้งคราวก็เป็นอันรู้เรื่องแล้วว่าหวยจะออกมาเลขอะไร ? ในเมื่อบรรยากาศของหนังมันส่งเสริมความเป็น Thriller ในแง่ของการสร้างอารมณ์กดดันในสถานที่เกือบปิดตุยที่ค่อย ๆ ไต่ระดับจากนิ่ง ๆ ไปสู่จุดปรอทแตกได้เป็นอย่างดีจนเริ่มตระหนักอีกมุมเลยว่าบางทีที่ ๆ เป็น Save Zone ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย ถ้าเกิดภัยมา
3.) Rachels Don’t Run (2021) Director By Joanny Causse
- มีความเป็น Her (2013) กับ The Guilty (2018) ที่ผสมกันแล้วปรุงใน Concept ของตนเองออกมาได้สมจริง ใกล้เคียง ไม่สิ ไม่ต่างจากสภาพที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ที่จะทำ Activity อะไรก็มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องรวมถึงการมาของ AI ที่เข้ามามีบทบาทในฐานะเครื่องมืออำนวยชีวิตให้สังคมขับเคลื่อนต่อไปได้สะดวก ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าการที่หนังเลือกเล่าผ่าน Activity ของนางเอกผู้ซึ่งทำงานเป็นพนักงานของบริษัทเพื่อนคุยยามดึกใส ๆ ตลอดทั้งเรื่องก็ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบเกิดความโดดเดี่ยวและความอ้างว้างที่กำลังเกาะกินใจคุณเธอ ขนาดว่าลุกขึ้นไปต้มมาม่ามากินเพื่อสร้างบรรยากาศกันเองก็ไม่อาจกลบกลิ่นที่ว่ามานี้ออกไปได้ แต่หนังก็ไม่ทำให้คนดูอย่างเราต้องรอนานเมื่อถึงช่วงที่เสียงปลายสายดังขึ้นปรากฎว่าเป็นเสียงชายหนุ่มที่คุณเธอแอบจากการถ้ำมอง Profile ในโลก Social มานาน ตัวหนังก็ค่อย ๆ เผยความในใจจากอาการประหม่าด้วยการสวมรอยเป็น AI รับหน้าก่อนจะปล่อย Joint ด้วยเสียงสด ๆ ที่แสดงถึงความจริงใจแล้วยังเกิดอาการใจฟูอย่างบอกไม่ถูกเมื่อหนังจบลงแบบนี้ แม้จะเล่นเตะขาปลั๊กไปดื้อ ๆ กลางฟ้าผ่า
4.) I Could Just Die, and That Would be Alright (2023) Director By A.K. Espada
- ดูจบไปหลายวันจนถึงตอนนี้ก็ยังบอกได้ไม่ถูกเลยว่าจะให้รู้สึกอย่างไรกันดี ? ในเมื่อตัวหนังมัน Run Way แบบ 2 แง่ 2 ง่ามอย่างที่เห็นด้วยตาเนื้อว่าจะให้รู้สึก แหวะ ในแง่ของความเป็น Body Horror ที่ทำออกมาได้เสียวเอาเรื่องหลังจากที่นางเอกถูกตัวอะไรไม่ทราบ เพราะเห็นไม่แน่ชัด หมับเข้าให้ขณะวิ่งจ๊อกกิ้งแถวบ้าน หรือ จะให้รู้สึก ขำ ในความ Bad Comedy ของอารมณ์ที่แทรกขณะที่นางเอกกลับเข้ามาในบ้านเห็นคุณสามีทำอาหารเช้าจึงได้ขอกินแทนที่จะกลืนลงไปอย่างอร่อยคุณเธอดันอ้วกออกมาจะ ๆ ต่อหน้าจนผมเห็นแล้วรู้สึกพะอืดอยากจะอ้วกตามกันดี ถึงฉาก เหวอะหวะ แต่ละทีที่มาไม่เยอะจะออกมาดีแต่การสับเปลี่ยนไปมาระหว่าง 2 โหมดที่ตีคู่กันอย่างหน้าตาระรื่นก็ยิ่งสร้างความสับสนต่อการประติดประต่อ Story ที่กำลังคาบเกี่ยวระหว่างความสัมพันธ์กับสามีหรือ Effect ที่นางเอกกำลังประสบกับคำสาปพันลึกในสภาวะที่ตีโครงอย่างจำกัดเข้าไปอีกแล้วพอหนังจบลงแบบนี้ก็เป็นอันรู้เรื่องทันทีว่าจะหยิบอย่างไหนง่ายมือกว่ามาใส่ใจ
5.) Poppy’s Saturn (2023) Director By Nicole Tegelaar
- ระหว่างชมแสงสีโทนม่วงในหัวก็ได้นึกถึงเรื่อง Neon Demon (2016) ลอยเข้ามาหลังดูจบว่าแค่เปลี่ยนจากวงการนางแบบมาเป็นวงการนักร้องที่ชูกลิ่นความ Mystery ผสม Horror กลิ่นคาวเลือดไม่ต่างกันแล้ว Set โลกของไนต์คลับในสเกล Minimal ให้มีความพิศวงลวงพรางพอที่จะพาเราล่องลอยและค่อย ๆ ด่ำดิ่งไปสู่เส้นแบ่งระหว่างโลกของความจริงกับโลกของความฝันที่ดูไปเริ่มจะแยกขรี้แยกเย่วไม่ออกตั้งแต่ที่นางเอกย่างกรายเข้ามาไนต์คลับเพื่อมาหาใครบางคนที่เธอคิดว่าสามารถแก้ไขปมที่วนอยู่ในใจด้วยเพราะโทนของมันส่งเสริมให้ Story ที่ปูพรมด้วยปมของนางเอกที่เป็นนักร้องกลางคืนมาอย่างเนิบนิ่งมีความสลับซับซ้อนในแง่ของ Details ที่ซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียวจนเกิดอาการมึนทั้งหัวและลูกตาเข้าไปอีกว่านอกจากงานภาพที่ Surreal และ จัดจ้านเกินหน้าเพื่อนแล้วจะให้โฟกัสอย่างไหนกันบ้าง ? ขณะเดียวกันก็งงกับตนเองว่าทำไมไม่รู้สึกวูบหลับกลางทางไปซะวะหรือเพราะได้เห็นหน้านางเอกลอยชายตลอดทั้งเรื่องช่วยไม่ให้เราตกลงไปในภวังค์สุดบิดเบี้ยวซะก่อนหรือตกลงไปแล้ววะถึงสัมผัสได้ทุกอณู
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้