ขอ ย้ำ ณ ที่นี้ว่า เป็น ความเห็นส่วนตัว ครับ
ตั้งแต่ บุราณกาล ผู้ฅนทั่วไป ในสังคมบ้านเรา
ใช้ การพูดคุย เป็นหลัก
การ ละเล่น ขับร้อง จึงเน้น เสียง จังหวะจะโคน เป็นสำคัญ
และ ไม่ได้มี เกณฑ์ ชัด บ่งถึงว่า สั้นยาวมากน้อยเท่าใด
ต่างจาก โน้ตเพลงสากล ที่ชัดเจน มี เขบ็ต ระบุชัด
เขบ็ต
[ขะเบ็ด] น. เครื่องหมายกำหนดความสั้นยาวของตัวโน้ตและตัวหยุดชนิดหนึ่ง
ในระบบดนตรีสากล
การแบ่งสระ สั้นยาว ก็มีการ ปรับแก้ ดังที่เสนอ
เสียงและอักษรไทย
https://curadio.chula.ac.th/Images/Class-Onair/th/2010/th-2010-07-22.pdf
การยืดคำ – หดคำ ให้เป็น เสียงสั้นยาว
คุณสุธีร์ * กล่าวถึงว่า
“การยืดคำ – หดคำ ให้เป็นสระเสียงยาว – เสียงสั้นนั้น ก็ทำได้กับศัพท์จากภาษาบาลีสันสกฤตเท่านั้น
ใช้กับคำภาษาอื่นไม่ได้ คุณสุธีร์ยกตัวอย่างคำว่า “กังวล” ซึ่งชิต บุรทัต แยกศัพท์ข้ามวรรค
เป็น กัง - วละ“ (ไท้นฤกัง – วละอย่างไร)
กังวล เป็นคำเขมร (กังวล ก. ห่วงใย, มีใจพะวงอยู่. (ข) – พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
คำศัพท์ที่จะ ทีฆะ – ทำสระเสียงสั้นให้เป็นสระเสียงยาว หรือ
รัสสะ-ทำสระเสียงยาวให้เป็นสระเสียงสั้น
และ การแตก,กระจายคำออกเป็นพยางค์สั้นๆ เพื่อใช้เป็นคำ ลหุ คำนั้นๆ
ต้องเป็นคำที่มาจากภาษา บาลี – สันสกฤต เท่านั้น
เนื่องจากธรรมชาติของสองภาษานี้มีเสียงเป็น ลหุ เสียส่วนใหญ่
เมื่อนำมาเขียนฉันท์ก็สามารถย้อนกลับสู่รากเดิมได้ เจ้าของภาษาฟังเข้าใจ รู้เรื่อง
กังวล เป็นคำเขมร ล. ทำหน้าที่เป็นตัวสะกดได้อย่างเดียว
เปลี่ยนหน้าที่ไม่ได้ เพราะเมื่อเปลี่ยนแล้ว เจ้าของภาษาฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
ตะวันตก จะให้เป็น ตะวันตะกะ อย่างนี้ไม่ได้เพราะไม่ใช่คำบาลี – สันสกฤต
นิมนต์ เป็น นิมะนะตะ สงสัย เป็น สงสะยะ – สังสะยะ อย่างนี้ได้ เพราะเป็นคำบาลี
คำศัพท์ที่มาจาก บาลี – สันสกฤต แม้จะมีภูมิรู้ ตัด – แต่ง – แผลง – ต่อ, ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์แล้ว
ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าเมื่อได้รูปได้คำตามต้องการ ลองอ่านออกเสียงให้หูตัวเองฟัง ไพเราะไหม
ออกเสียงยากไหม แล้วจึงค่อยตัดสินใจจะเอาอย่างไร ถ้าฟังแล้วรู้สึกแปร่งหู ระคายหู ตลกขบขัน
ก็ไม่ควรนำมาใช้เขียนในบทกวีหรือแม้แต่งานเขียนทั่วไป”
* คุณสุธีร์ พุ่มกุมาร ที่ปรึกษาสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย
ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “คู่มือเรียนเขียนกลอน” ร่วมกับ
คุณยุทธ โตอติเทพย์ อดีตนายกสมาคมนักกลอนฯ
เสียงสั้น สระเสียงสั้น toshare
ตั้งแต่ บุราณกาล ผู้ฅนทั่วไป ในสังคมบ้านเรา
ใช้ การพูดคุย เป็นหลัก
การ ละเล่น ขับร้อง จึงเน้น เสียง จังหวะจะโคน เป็นสำคัญ
และ ไม่ได้มี เกณฑ์ ชัด บ่งถึงว่า สั้นยาวมากน้อยเท่าใด
ต่างจาก โน้ตเพลงสากล ที่ชัดเจน มี เขบ็ต ระบุชัด
“การยืดคำ – หดคำ ให้เป็นสระเสียงยาว – เสียงสั้นนั้น ก็ทำได้กับศัพท์จากภาษาบาลีสันสกฤตเท่านั้น
และ การแตก,กระจายคำออกเป็นพยางค์สั้นๆ เพื่อใช้เป็นคำ ลหุ คำนั้นๆ
เปลี่ยนหน้าที่ไม่ได้ เพราะเมื่อเปลี่ยนแล้ว เจ้าของภาษาฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าเมื่อได้รูปได้คำตามต้องการ ลองอ่านออกเสียงให้หูตัวเองฟัง ไพเราะไหม
ก็ไม่ควรนำมาใช้เขียนในบทกวีหรือแม้แต่งานเขียนทั่วไป”