สวัสดีค่ะ เราอายุ 19 ปี
เราโตมาในครอบครัวที่คุณแม่ชอบเข้าวัดและปฏิบัติธรรม คุณแม่สอนเรามาตั้งแต่เด็ก ทั้งวิชาชีวิตและหลักธรรม
ไม่ได้สอนแค่ให้เป็นคนดีหรือถือศีล 5 เท่านั้น แต่ยังสอนการปฏิบัติจริง ๆ เช่น การนั่งสมาธิ พิจารณาร่างกาย ว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ควรหลงยึดติด
ตอนประถมเราเคยไปวัดกับแม่ เจอพระอาจารย์สายปฏิบัติที่แม่เคารพ ท่านสอนให้เรารู้เท่าทันกิเลส เปิดคลิปอสุภะให้พิจารณาความจริงว่าร่างกายไม่เที่ยง ทุกคนต้องจากไป สอนให้นั่งสมาธิและสังเกตจิตที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้เราจึงได้ซึมซับมา
มีช่วงหนึ่งที่เราทุกข์หนักมาก จนหนีไปนั่งในห้องพระ มองพระพุทธรูป แล้วนั่งสมาธิ ร้องไห้หนัก ๆ รู้สึกว่าทุกอย่างวุ่นวายไปหมด จิตใจไม่สงบเลย แม้จะพยายามปฏิบัติ แต่ความเจ็บปวดและคำถามในใจก็ยังมีว่า ชีวิตจะวนแบบนี้ไปตลอดไหม จะมีจุดสิ้นสุดของความทุกข์หรือเปล่า
เราเลยเป็นคนที่ชอบความสงบ เวลามีโอกาสได้ไปวัด รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด บรรยากาศเรียบง่ายทำให้มีความสุข ต่างจากในสังคมที่วุ่นวาย เราแอบนั่งถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า หรือจริง ๆ สังคมมันวุ่นวายเกินไป? แล้วเราควรจะทำตัวยังไงกับโลกแบบนี้?
ผลก็คือ เรารู้สึกไม่เหมือนคนรอบตัว เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องความรัก แฟน เรื่องลามก หรือเรื่องที่เรามองว่าไร้สาระ เรามักอยากหลีกหนี ไม่อยากเข้าไปอยู่ตรงนั้น เราชอบฟังธรรมะ ใกล้ชิดคุณแม่มาก ก็เลยฟังเพลงเก่า ๆ มากกว่าเพลงใหม่ ๆเหมือนคุณแม่ เวลาทานข้าวบางทีถ้าเห็นเนื้อสัตว์ในอาหารก็รู้สึกเหมือนเห็นซากศพจนแทบอาเจียน จึงมักทานผักผลไม้มากกว่า
เราเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว บางวันแทบไม่พูดจนเพื่อน ๆ ไม่กล้าเข้าหา ตอนนี้กำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัย แต่กังวลว่าจะใช้ชีวิตยังไง เพราะมัธยมยังพออยู่ได้โดยไม่สนใจใคร แต่มหา’ลัยต้องมีงานกลุ่ม ต้องเจอผู้คนมากขึ้น กลัวว่าจะลำบาก และกลัวว่าการอยู่ในสังคมจะทำให้เราต้องทิ้งการปฏิบัติหรือเปลี่ยนตัวเองไปมาก
จริง ๆ เราเคยคิดอยากบวช ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่ครอบครัวมีหนี้สิน เราไม่สามารถทิ้งครอบครัวไปใช้ชีวิตสงบ ๆ คนเดียวได้ อยากช่วยแบ่งเบาภาระ แต่แค่คิดว่าจะต้องเรียน ทำงาน เจอผู้คนมากมายก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
เลยอยากขอคำแนะนำจากพี่ ๆ ในพันทิปค่ะ
เราควรปรับตัวยังไงให้ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยได้ โดยไม่รู้สึกฝืนใจจนเกินไป?
ถ้าอยากช่วยครอบครัวแต่ก็อยากปฏิบัติธรรมต่อ จะจัดสมดุลชีวิตยังไงดี?
เวลาตั้งคำถามกับชีวิตแบบนี้ มีใครเคยรู้สึกเหมือนกันบ้างไหมคะ?
คนที่ชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรม ไม่อินกับเรื่องสังคมวัยรุ่น จะใช้ชีวิตในมหาลัยยังไงดี?
เราโตมาในครอบครัวที่คุณแม่ชอบเข้าวัดและปฏิบัติธรรม คุณแม่สอนเรามาตั้งแต่เด็ก ทั้งวิชาชีวิตและหลักธรรม
ไม่ได้สอนแค่ให้เป็นคนดีหรือถือศีล 5 เท่านั้น แต่ยังสอนการปฏิบัติจริง ๆ เช่น การนั่งสมาธิ พิจารณาร่างกาย ว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง ไม่ควรหลงยึดติด
ตอนประถมเราเคยไปวัดกับแม่ เจอพระอาจารย์สายปฏิบัติที่แม่เคารพ ท่านสอนให้เรารู้เท่าทันกิเลส เปิดคลิปอสุภะให้พิจารณาความจริงว่าร่างกายไม่เที่ยง ทุกคนต้องจากไป สอนให้นั่งสมาธิและสังเกตจิตที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้เราจึงได้ซึมซับมา
มีช่วงหนึ่งที่เราทุกข์หนักมาก จนหนีไปนั่งในห้องพระ มองพระพุทธรูป แล้วนั่งสมาธิ ร้องไห้หนัก ๆ รู้สึกว่าทุกอย่างวุ่นวายไปหมด จิตใจไม่สงบเลย แม้จะพยายามปฏิบัติ แต่ความเจ็บปวดและคำถามในใจก็ยังมีว่า ชีวิตจะวนแบบนี้ไปตลอดไหม จะมีจุดสิ้นสุดของความทุกข์หรือเปล่า
เราเลยเป็นคนที่ชอบความสงบ เวลามีโอกาสได้ไปวัด รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด บรรยากาศเรียบง่ายทำให้มีความสุข ต่างจากในสังคมที่วุ่นวาย เราแอบนั่งถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า หรือจริง ๆ สังคมมันวุ่นวายเกินไป? แล้วเราควรจะทำตัวยังไงกับโลกแบบนี้?
ผลก็คือ เรารู้สึกไม่เหมือนคนรอบตัว เวลาเพื่อนคุยกันเรื่องความรัก แฟน เรื่องลามก หรือเรื่องที่เรามองว่าไร้สาระ เรามักอยากหลีกหนี ไม่อยากเข้าไปอยู่ตรงนั้น เราชอบฟังธรรมะ ใกล้ชิดคุณแม่มาก ก็เลยฟังเพลงเก่า ๆ มากกว่าเพลงใหม่ ๆเหมือนคุณแม่ เวลาทานข้าวบางทีถ้าเห็นเนื้อสัตว์ในอาหารก็รู้สึกเหมือนเห็นซากศพจนแทบอาเจียน จึงมักทานผักผลไม้มากกว่า
เราเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว บางวันแทบไม่พูดจนเพื่อน ๆ ไม่กล้าเข้าหา ตอนนี้กำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัย แต่กังวลว่าจะใช้ชีวิตยังไง เพราะมัธยมยังพออยู่ได้โดยไม่สนใจใคร แต่มหา’ลัยต้องมีงานกลุ่ม ต้องเจอผู้คนมากขึ้น กลัวว่าจะลำบาก และกลัวว่าการอยู่ในสังคมจะทำให้เราต้องทิ้งการปฏิบัติหรือเปลี่ยนตัวเองไปมาก
จริง ๆ เราเคยคิดอยากบวช ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่ครอบครัวมีหนี้สิน เราไม่สามารถทิ้งครอบครัวไปใช้ชีวิตสงบ ๆ คนเดียวได้ อยากช่วยแบ่งเบาภาระ แต่แค่คิดว่าจะต้องเรียน ทำงาน เจอผู้คนมากมายก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
เลยอยากขอคำแนะนำจากพี่ ๆ ในพันทิปค่ะ
เราควรปรับตัวยังไงให้ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยได้ โดยไม่รู้สึกฝืนใจจนเกินไป?
ถ้าอยากช่วยครอบครัวแต่ก็อยากปฏิบัติธรรมต่อ จะจัดสมดุลชีวิตยังไงดี?
เวลาตั้งคำถามกับชีวิตแบบนี้ มีใครเคยรู้สึกเหมือนกันบ้างไหมคะ?