วิกฤติโดนัท Krispy Kreme มีจุดขายทั่วโลกกว่า 18,000 ที่ ตอนนี้มูลค่าบริษัทน้อยกว่า MK สุกี้ | MONEY LAB
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เกิดปรากฏการณ์ที่คนไทยจำนวนมาก ยืนรอต่อแถวเป็นชั่วโมง เพื่อซื้อโดนัท 1 ชิ้น จนคิวยาวล้นออกมานอกห้าง
ร้านโดนัทที่สร้างปรากฏการณ์นี้ จนเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์หลายฉบับคือร้าน Krispy Kreme
ซึ่งเกิดจากการนำแฟรนไชส์ร้านโดนัทชื่อดังในสหรัฐฯ เข้ามาขาย โดยคุณอุษณีย์ มหากิจศิริ ภายใต้บริษัท เคดีเอ็น จำกัด
ถึงแม้บริษัทเจ้าของแฟรนไชส์ Krispy Kreme ในไทยจะไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น ทว่าช่วงที่ผ่านมาก็ยังมีกำไรและรายได้ที่เติบโต
แต่ตัดภาพไปที่บริษัทแม่ Krispy Kreme ในสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น Nasdaq ด้วยชื่อย่อว่า “DNUT” ซึ่งมีสาขาและช่องทางการขาย รวมกันเกินกว่า 18,000 แห่งทั่วโลก กำลังมีมูลค่าเพียง 17,000 ล้านบาทเท่านั้น
หรือก็คือตอนนี้ Krispy Kreme มีมูลค่าบริษัทน้อยกว่า MK สุกี้ ซึ่งมีแค่เกือบ ๆ 700 แห่ง แต่มีมูลค่าบริษัท 25,000 ล้านบาท แล้วเสียอีก
เนื่องจากราคาหุ้นของ Krispy Kreme ปรับตัวลดลงไปมากกว่า -74% แล้วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมานี้
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ Krispy Kreme บริษัทแม่ และเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอะไรกับ Krispy Kreme ในไทยหรือไม่ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Krispy Kreme ก่อตั้งโดยคุณ Vernon Rudolph ในปี 1937 หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนมือเจ้าของไปหลายราย
โดยในปี 2016 บริษัท JAB Holding ของตระกูล Reimann ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยของเยอรมนี ทุ่มเงินกว่า 43,000 ล้านบาท เข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท Krispy Kreme ออกไปเป็นบริษัทนอกตลาดหุ้น
จากนั้นในปี 2021 Krispy Kreme ก็กลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง
โดยบริษัทได้รับเงินจากการขายหุ้น IPO ไปทั้งสิ้น 14,600 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้บางส่วนถูกนำไปชำระหนี้เงินกู้ยืมระยะยาว และซื้อหุ้นคืนจากผู้บริหารระดับสูงบางราย
หลังจากที่ Krispy Kreme กลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง บริษัทก็เดินหน้าขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเติบโตของรายได้
- ปี 2019 บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วโลก 6,080 แห่ง สร้างรายได้รวม 30,517 ล้านบาท
- ปี 2022 บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วโลก 11,837 แห่ง สร้างรายได้รวม 48,635 ล้านบาท
- ปี 2024 บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วโลก 17,557 แห่ง สร้างรายได้รวม 52,961 ล้านบาท
ซึ่งช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าของ Krispy Kreme จะแบ่งออกเป็น 5 ช่องทางด้วยกัน คือ
1. Hot Light Theater Shops หรือร้านสาขาขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องผลิตโดนัทภายในร้าน ไว้สำหรับขายภายในร้าน และส่งโดนัทไปขายยังช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ ด้วยในตัว
ตัวอย่างสาขาแบบนี้ในไทย ก็เช่น สาขาสยามพารากอน ชั้น G
โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2025 บริษัทมีสาขาแบบนี้อยู่ทั้งหมด 399 แห่ง
2. Fresh Shops เป็นร้านสาขาที่มีขนาดเล็กลงมา เป็นสาขาที่ไม่มีเครื่องผลิตโดนัท มีทั้งหมด 1,703 แห่ง
3. DFD Doors หรือ Delivered Fresh Daily เป็นตู้โดนัทที่ตั้งขายตามร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารฟาสต์ฟูด และร้านค้าปลีกอื่น ๆ
ตัวอย่างเช่น McDonald’s ที่มีตู้โดนัทของ Krispy Kreme วางขายอยู่ทั้งหมด 2,400 แห่ง
ปัจจุบันตู้โดนัทแบบ DFD Doors ของ Krispy Kreme มีทั้งหมด 15,964 แห่ง
4. Carts and Food Truck เป็นยานพาหนะเคลื่อนที่สำหรับขายโดนัทตามจุดที่บริษัทมีอุปสรรคในการไปตั้งร้านสาขา เช่น สนามบิน และสถานีรถไฟ ปัจจุบันบริษัทมีสาขาเคลื่อนที่แบบนี้อยู่ 47 แห่ง
5. การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งแพลตฟอร์มของบริษัทเอง และแพลตฟอร์มขนส่งอาหาร
บริษัทสร้างการเติบโตผ่านการขยายช่องทางจัดจำหน่ายได้ก็จริง แต่ปัญหาก็คือบริษัทประสบปัญหาในการควบคุมค่าใช้จ่าย และบริหารสภาพคล่องได้ไม่ดีนัก
- ปี 2019 รายได้ 30,517 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 1,208 ล้านบาท
- ปี 2022 รายได้ 48,635 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 921 ล้านบาท
- ปี 2024 รายได้ 52,961 ล้านบาท ขาดทุนจากการดำเนินงาน 277 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าบริษัทสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ได้ดีมาโดยตลอด แต่กำไรจากการดำเนินงานกลับลดลงสวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
จากการที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรง, ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร, ค่าตอบแทนแบบหุ้นสำหรับพนักงาน และค่าเสื่อมราคา
เมื่อค่าใช้จ่ายแซงหน้าการเพิ่มขึ้นของรายได้แบบนี้ ก็ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ไม่เพียงพอต่องบลงทุนขยายช่องทางจัดจำหน่าย
ส่งผลให้กระแสเงินสดอิสระของบริษัทติดลบหลายปี
- ปี 2019 กระแสเงินสดอิสระ -192 ล้านบาท
- ปี 2022 กระแสเงินสดอิสระ +894 ล้านบาท
- ปี 2024 กระแสเงินสดอิสระ -2,384 ล้านบาท
เมื่อบริษัทไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้เพียงพอกับงบที่ต้องลงทุนในแต่ละปี ทำให้บริษัทจำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาเสริมสภาพคล่อง เพื่อนำเงินไปลงทุนขยายสาขาต่อ
การใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารมาลงทุนเปรียบเสมือนดาบสองคม หากบริษัทสามารถชำระหนี้ได้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่เมื่อใดก็ตามที่บริษัทชำระหนี้ไม่ไหว แต่ยังขยันกู้เงินอยู่เรื่อย ๆ ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นตัวถ่วงให้บริษัทมีกำไรน้อยลง
สิ่งนี้คือสถานการณ์ที่ Krispy Kreme กำลังเผชิญอยู่
- ปี 2020 หนี้เงินกู้ยืมรวม 26,295 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 1,103 ล้านบาท
- ปี 2022 หนี้เงินกู้ยืมรวม 24,770 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 1,084 ล้านบาท
- ปี 2024 หนี้เงินกู้ยืมรวม 28,643 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 1,910 ล้านบาท
โดยในแต่ละปี Krispy Kreme มีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ต้องชำระ มากกว่ากำไรจากการดำเนินงานที่บริษัททำได้เสียอีก ปัญหาสภาพคล่องของบริษัทจึงแย่ลงไปเรื่อย ๆ
กลายเป็นวงจรหนี้สินที่ Krispy Kreme กำลังติดหล่มอยู่ เพราะจากเดิมที่บริษัทกู้เงินมา เพราะสร้างกระแสเงินสดได้ไม่เพียงพอกับเงินที่ต้องลงทุน
พอลงทุนไปแล้ว มีรายได้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่ในเมื่อบริษัทคุมค่าใช้จ่ายไม่อยู่ บริหารสภาพคล่องได้ไม่ดี หนี้สินที่เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้บริษัทต้องแบกรับดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้นไปอีก
พอมีดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้น ก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่องของบริษัทให้หนักขึ้น พอบริษัทมีปัญหาสภาพคล่อง บริษัทก็ต้องกู้เงินมาลงทุนมากขึ้นไปอีก
เป็นแบบนี้วนเวียนไปมาอยู่เรื่อย ๆ..
เมื่อบริษัทกู้ยืมเงินต่อไปไม่ไหว ทางเลือกที่บริษัททำคือ การทยอยขายบริษัทย่อย นั่นคือ Insomnia Cookies ออกไปในไตรมาส 3 ปี 2024 ที่ผ่านมา
บริษัทได้เงินมาชำระหนี้ทั้งสิ้น 5,481 ล้านบาท แต่ด้วยปัญหาการบริหารสภาพคล่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็ทำให้หนี้เงินกู้ยืมของบริษัทกลับมาเพิ่มขึ้นเหมือนเดิม
ทางบริษัทจึงต้องมองหาวิธีในการบริหารค่าใช้จ่ายให้ลดลง นั่นคือการยกเลิกความร่วมมือกับ McDonald’s ในการขยายช่องทางจัดจำหน่ายแบบ DFD Doors ทั้ง 2,400 แห่ง เพราะเป็นโครงการที่ขาดทุน
แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงก้าวแรกที่ Krispy Kreme ต้องถอยหลังจากการขยายธุรกิจอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดี
เพราะหลังจากนี้บริษัทมีแผนการที่จะปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร แต่จะหันมาให้ความสำคัญกับการขายแฟรนไชส์ในต่างประเทศมากขึ้น เพราะเป็นวิธีการขยายธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ แต่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น
ซึ่งเมื่อดูจากผลประกอบการในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัท เคดีเอ็น จำกัด ผู้จัดจำหน่าย Krispy Kreme ในไทย เพิ่งมีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท แถมกำไรยังเติบโต 14%
เรื่องนี้ก็คงไม่ได้ส่งผลอะไรกับ Krispy Kreme ในไทยเท่าไรนัก
กรณีของ Krispy Kreme จึงเป็นกรณีศึกษาชั้นดีให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนว่า การขยายกิจการ ที่เน้นสร้างการเติบโตของรายได้เพียงอย่างเดียว โดยละเลยการควบคุมต้นทุน และบริหารสภาพคล่องให้ดี
อาจไม่ใช่วิธีการทำธุรกิจที่ยั่งยืน เพราะทำให้เราติดหล่มในวงจรหนี้ และล้มละลายได้ในที่สุด
ซึ่งในกรณีของ Krispy Kreme ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า บริษัทจะหลุดออกจากวงจรหนี้ได้หรือไม่
แล้วเมื่อไรอนาคตของบริษัทแห่งนี้ จะกลับมาหอมหวานเหมือนโดนัทที่หลายคนเคยต่อคิวทานได้อีกครั้ง..
หมายเหตุ : ข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 10 กันยายน 2025
#ลงทุน
#หุ้นนอก
#คริสปี้ครีม
วิกิดโดน้ดkrispykream
วิกฤติโดนัท Krispy Kreme มีจุดขายทั่วโลกกว่า 18,000 ที่ ตอนนี้มูลค่าบริษัทน้อยกว่า MK สุกี้ | MONEY LAB
เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เกิดปรากฏการณ์ที่คนไทยจำนวนมาก ยืนรอต่อแถวเป็นชั่วโมง เพื่อซื้อโดนัท 1 ชิ้น จนคิวยาวล้นออกมานอกห้าง
ร้านโดนัทที่สร้างปรากฏการณ์นี้ จนเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์หลายฉบับคือร้าน Krispy Kreme
ซึ่งเกิดจากการนำแฟรนไชส์ร้านโดนัทชื่อดังในสหรัฐฯ เข้ามาขาย โดยคุณอุษณีย์ มหากิจศิริ ภายใต้บริษัท เคดีเอ็น จำกัด
ถึงแม้บริษัทเจ้าของแฟรนไชส์ Krispy Kreme ในไทยจะไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น ทว่าช่วงที่ผ่านมาก็ยังมีกำไรและรายได้ที่เติบโต
แต่ตัดภาพไปที่บริษัทแม่ Krispy Kreme ในสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น Nasdaq ด้วยชื่อย่อว่า “DNUT” ซึ่งมีสาขาและช่องทางการขาย รวมกันเกินกว่า 18,000 แห่งทั่วโลก กำลังมีมูลค่าเพียง 17,000 ล้านบาทเท่านั้น
หรือก็คือตอนนี้ Krispy Kreme มีมูลค่าบริษัทน้อยกว่า MK สุกี้ ซึ่งมีแค่เกือบ ๆ 700 แห่ง แต่มีมูลค่าบริษัท 25,000 ล้านบาท แล้วเสียอีก
เนื่องจากราคาหุ้นของ Krispy Kreme ปรับตัวลดลงไปมากกว่า -74% แล้วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมานี้
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ Krispy Kreme บริษัทแม่ และเรื่องนี้จะส่งผลกระทบอะไรกับ Krispy Kreme ในไทยหรือไม่ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Krispy Kreme ก่อตั้งโดยคุณ Vernon Rudolph ในปี 1937 หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนมือเจ้าของไปหลายราย
โดยในปี 2016 บริษัท JAB Holding ของตระกูล Reimann ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยของเยอรมนี ทุ่มเงินกว่า 43,000 ล้านบาท เข้ามาซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท Krispy Kreme ออกไปเป็นบริษัทนอกตลาดหุ้น
จากนั้นในปี 2021 Krispy Kreme ก็กลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง
โดยบริษัทได้รับเงินจากการขายหุ้น IPO ไปทั้งสิ้น 14,600 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้บางส่วนถูกนำไปชำระหนี้เงินกู้ยืมระยะยาว และซื้อหุ้นคืนจากผู้บริหารระดับสูงบางราย
หลังจากที่ Krispy Kreme กลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่ง บริษัทก็เดินหน้าขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเติบโตของรายได้
- ปี 2019 บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วโลก 6,080 แห่ง สร้างรายได้รวม 30,517 ล้านบาท
- ปี 2022 บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วโลก 11,837 แห่ง สร้างรายได้รวม 48,635 ล้านบาท
- ปี 2024 บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายทั่วโลก 17,557 แห่ง สร้างรายได้รวม 52,961 ล้านบาท
ซึ่งช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าของ Krispy Kreme จะแบ่งออกเป็น 5 ช่องทางด้วยกัน คือ
1. Hot Light Theater Shops หรือร้านสาขาขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องผลิตโดนัทภายในร้าน ไว้สำหรับขายภายในร้าน และส่งโดนัทไปขายยังช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ ด้วยในตัว
ตัวอย่างสาขาแบบนี้ในไทย ก็เช่น สาขาสยามพารากอน ชั้น G
โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2025 บริษัทมีสาขาแบบนี้อยู่ทั้งหมด 399 แห่ง
2. Fresh Shops เป็นร้านสาขาที่มีขนาดเล็กลงมา เป็นสาขาที่ไม่มีเครื่องผลิตโดนัท มีทั้งหมด 1,703 แห่ง
3. DFD Doors หรือ Delivered Fresh Daily เป็นตู้โดนัทที่ตั้งขายตามร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารฟาสต์ฟูด และร้านค้าปลีกอื่น ๆ
ตัวอย่างเช่น McDonald’s ที่มีตู้โดนัทของ Krispy Kreme วางขายอยู่ทั้งหมด 2,400 แห่ง
ปัจจุบันตู้โดนัทแบบ DFD Doors ของ Krispy Kreme มีทั้งหมด 15,964 แห่ง
4. Carts and Food Truck เป็นยานพาหนะเคลื่อนที่สำหรับขายโดนัทตามจุดที่บริษัทมีอุปสรรคในการไปตั้งร้านสาขา เช่น สนามบิน และสถานีรถไฟ ปัจจุบันบริษัทมีสาขาเคลื่อนที่แบบนี้อยู่ 47 แห่ง
5. การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งแพลตฟอร์มของบริษัทเอง และแพลตฟอร์มขนส่งอาหาร
บริษัทสร้างการเติบโตผ่านการขยายช่องทางจัดจำหน่ายได้ก็จริง แต่ปัญหาก็คือบริษัทประสบปัญหาในการควบคุมค่าใช้จ่าย และบริหารสภาพคล่องได้ไม่ดีนัก
- ปี 2019 รายได้ 30,517 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 1,208 ล้านบาท
- ปี 2022 รายได้ 48,635 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 921 ล้านบาท
- ปี 2024 รายได้ 52,961 ล้านบาท ขาดทุนจากการดำเนินงาน 277 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่าบริษัทสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ได้ดีมาโดยตลอด แต่กำไรจากการดำเนินงานกลับลดลงสวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
จากการที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรง, ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร, ค่าตอบแทนแบบหุ้นสำหรับพนักงาน และค่าเสื่อมราคา
เมื่อค่าใช้จ่ายแซงหน้าการเพิ่มขึ้นของรายได้แบบนี้ ก็ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ไม่เพียงพอต่องบลงทุนขยายช่องทางจัดจำหน่าย
ส่งผลให้กระแสเงินสดอิสระของบริษัทติดลบหลายปี
- ปี 2019 กระแสเงินสดอิสระ -192 ล้านบาท
- ปี 2022 กระแสเงินสดอิสระ +894 ล้านบาท
- ปี 2024 กระแสเงินสดอิสระ -2,384 ล้านบาท
เมื่อบริษัทไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดให้เพียงพอกับงบที่ต้องลงทุนในแต่ละปี ทำให้บริษัทจำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาเสริมสภาพคล่อง เพื่อนำเงินไปลงทุนขยายสาขาต่อ
การใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารมาลงทุนเปรียบเสมือนดาบสองคม หากบริษัทสามารถชำระหนี้ได้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่เมื่อใดก็ตามที่บริษัทชำระหนี้ไม่ไหว แต่ยังขยันกู้เงินอยู่เรื่อย ๆ ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นตัวถ่วงให้บริษัทมีกำไรน้อยลง
สิ่งนี้คือสถานการณ์ที่ Krispy Kreme กำลังเผชิญอยู่
- ปี 2020 หนี้เงินกู้ยืมรวม 26,295 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 1,103 ล้านบาท
- ปี 2022 หนี้เงินกู้ยืมรวม 24,770 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 1,084 ล้านบาท
- ปี 2024 หนี้เงินกู้ยืมรวม 28,643 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 1,910 ล้านบาท
โดยในแต่ละปี Krispy Kreme มีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ต้องชำระ มากกว่ากำไรจากการดำเนินงานที่บริษัททำได้เสียอีก ปัญหาสภาพคล่องของบริษัทจึงแย่ลงไปเรื่อย ๆ
กลายเป็นวงจรหนี้สินที่ Krispy Kreme กำลังติดหล่มอยู่ เพราะจากเดิมที่บริษัทกู้เงินมา เพราะสร้างกระแสเงินสดได้ไม่เพียงพอกับเงินที่ต้องลงทุน
พอลงทุนไปแล้ว มีรายได้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่ในเมื่อบริษัทคุมค่าใช้จ่ายไม่อยู่ บริหารสภาพคล่องได้ไม่ดี หนี้สินที่เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้บริษัทต้องแบกรับดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้นไปอีก
พอมีดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้น ก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาสภาพคล่องของบริษัทให้หนักขึ้น พอบริษัทมีปัญหาสภาพคล่อง บริษัทก็ต้องกู้เงินมาลงทุนมากขึ้นไปอีก
เป็นแบบนี้วนเวียนไปมาอยู่เรื่อย ๆ..
เมื่อบริษัทกู้ยืมเงินต่อไปไม่ไหว ทางเลือกที่บริษัททำคือ การทยอยขายบริษัทย่อย นั่นคือ Insomnia Cookies ออกไปในไตรมาส 3 ปี 2024 ที่ผ่านมา
บริษัทได้เงินมาชำระหนี้ทั้งสิ้น 5,481 ล้านบาท แต่ด้วยปัญหาการบริหารสภาพคล่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็ทำให้หนี้เงินกู้ยืมของบริษัทกลับมาเพิ่มขึ้นเหมือนเดิม
ทางบริษัทจึงต้องมองหาวิธีในการบริหารค่าใช้จ่ายให้ลดลง นั่นคือการยกเลิกความร่วมมือกับ McDonald’s ในการขยายช่องทางจัดจำหน่ายแบบ DFD Doors ทั้ง 2,400 แห่ง เพราะเป็นโครงการที่ขาดทุน
แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงก้าวแรกที่ Krispy Kreme ต้องถอยหลังจากการขยายธุรกิจอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่ควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดี
เพราะหลังจากนี้บริษัทมีแผนการที่จะปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร แต่จะหันมาให้ความสำคัญกับการขายแฟรนไชส์ในต่างประเทศมากขึ้น เพราะเป็นวิธีการขยายธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ แต่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น
ซึ่งเมื่อดูจากผลประกอบการในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัท เคดีเอ็น จำกัด ผู้จัดจำหน่าย Krispy Kreme ในไทย เพิ่งมีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท แถมกำไรยังเติบโต 14%
เรื่องนี้ก็คงไม่ได้ส่งผลอะไรกับ Krispy Kreme ในไทยเท่าไรนัก
กรณีของ Krispy Kreme จึงเป็นกรณีศึกษาชั้นดีให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนว่า การขยายกิจการ ที่เน้นสร้างการเติบโตของรายได้เพียงอย่างเดียว โดยละเลยการควบคุมต้นทุน และบริหารสภาพคล่องให้ดี
อาจไม่ใช่วิธีการทำธุรกิจที่ยั่งยืน เพราะทำให้เราติดหล่มในวงจรหนี้ และล้มละลายได้ในที่สุด
ซึ่งในกรณีของ Krispy Kreme ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า บริษัทจะหลุดออกจากวงจรหนี้ได้หรือไม่
แล้วเมื่อไรอนาคตของบริษัทแห่งนี้ จะกลับมาหอมหวานเหมือนโดนัทที่หลายคนเคยต่อคิวทานได้อีกครั้ง..
หมายเหตุ : ข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 10 กันยายน 2025
#ลงทุน
#หุ้นนอก
#คริสปี้ครีม