ดูจิตกัน ตาแทบจะหลุด แต่ยังไปกันไม่ถึงไหน เพราะอะไร
เพราะไม่เห็น “การดับที่สืบเนื่อง”
การดับที่สืบเนื่อง ไม่ต้องรู้ว่า จิตคืออะไร
รู้เพียงเป็น “ผัสสะกระทบจิต”
มีอะไรกระทบอะไร
วิญญาน หรือ ตัวรู้ คือสภาวะเกิดของจิต
จิตจริงแท้คือสภาวะดับ เป็น ตทังคนิพพาน
หา “ตทังคนิพพาน”ให้เจอ แล้วทำให้มาก
การดำเนินสืบเนื่องเป็นสันตติ เป็นการเกิดของวิญญานหรือ “จิตสภาวะเกิด”
วิญญานเกิดเป็นขณะ การเกิดของวิญญาน ที่มีจิตไปเห็นเรียก อารมณ์ “อารมณ์เป็นผัสสะกระทบจิต”
หรือเรียกว่า ขณะนั้น จิตมีอารมณ์อะไร เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
วิญญานแต่ละขณะเกิดแล้วดับๆเป็นขณะๆ แต่ละขณะ “ดับแล้วนิ่ง ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง”
ดับแล้วนิ่ง ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง คือ“จิตสภาวะดับ”
วิญญาน กับ จิตสภาวะดับ จึงเป็นคนละอย่างกัน
สภาวะดับแต่ละอารมณ์ เรียก นิพพานชั่วขณะ ขณิกนิพพาน
สภาวะดับที่สืบเนื่อง เรียก มหานิพาน
จิตแท้จริงคือสภาวะดับ
เพราะไม่เห็น “การดับที่สืบเนื่อง”
การดับที่สืบเนื่อง ไม่ต้องรู้ว่า จิตคืออะไร
รู้เพียงเป็น “ผัสสะกระทบจิต”
มีอะไรกระทบอะไร
วิญญาน หรือ ตัวรู้ คือสภาวะเกิดของจิต
จิตจริงแท้คือสภาวะดับ เป็น ตทังคนิพพาน
หา “ตทังคนิพพาน”ให้เจอ แล้วทำให้มาก
การดำเนินสืบเนื่องเป็นสันตติ เป็นการเกิดของวิญญานหรือ “จิตสภาวะเกิด”
วิญญานเกิดเป็นขณะ การเกิดของวิญญาน ที่มีจิตไปเห็นเรียก อารมณ์ “อารมณ์เป็นผัสสะกระทบจิต”
หรือเรียกว่า ขณะนั้น จิตมีอารมณ์อะไร เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
วิญญานแต่ละขณะเกิดแล้วดับๆเป็นขณะๆ แต่ละขณะ “ดับแล้วนิ่ง ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง”
ดับแล้วนิ่ง ทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง คือ“จิตสภาวะดับ”
วิญญาน กับ จิตสภาวะดับ จึงเป็นคนละอย่างกัน
สภาวะดับแต่ละอารมณ์ เรียก นิพพานชั่วขณะ ขณิกนิพพาน
สภาวะดับที่สืบเนื่อง เรียก มหานิพาน