เมื่อคอมพิวเตอร์ค้างและ Task Manager แสดงว่า
Disk Usage หรือการใช้งานดิสก์อยู่ที่ 90-100% นั่นหมายถึงฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ของคุณกำลังทำงานหนักมากจนเป็นคอขวด ทำให้ระบบโดยรวมช้าลงจนถึงขั้นค้างได้เลยครับ
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหานี้ ได้แก่:
โปรแกรมที่ทำงานเบื้องหลัง: มีโปรแกรมจำนวนมากทำงานพร้อมกัน หรือโปรแกรมที่ใช้ทรัพยากรดิสก์สูง เช่น Antivirus ที่กำลังสแกน, Windows Update ที่กำลังดาวน์โหลดหรือติดตั้ง, หรือโปรแกรมอื่น ๆ ที่กำลังทำการอัปเดต
Malware หรือ Virus: มัลแวร์บางชนิดอาจทำให้เกิดกิจกรรมบนดิสก์อย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาต
ไฟล์ระบบเสียหาย: ไฟล์ระบบบางส่วนอาจเสียหาย ทำให้ Windows พยายามซ่อมแซมหรืออ่านไฟล์เหล่านั้นซ้ำ ๆ
การตั้งค่า Page File ไม่เหมาะสม: การตั้งค่าหน่วยความจำเสมือน (Virtual Memory) หรือ Page File ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบต้องเขียนข้อมูลลงบนดิสก์บ่อยเกินไป
ฮาร์ดดิสก์/SSD กำลังมีปัญหา: ในบางกรณี ปัญหานี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าฮาร์ดดิสก์หรือ SSD กำลังจะเสีย
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
ตรวจสอบโปรแกรมที่ใช้ดิสก์สูง:
เปิด
Task Manager (กด []Ctrl + Shift + Esc[/])
ไปที่แท็บ
Processes และคลิกที่หัวข้อ
Disk เพื่อเรียงลำดับจากมากไปน้อย
สังเกตว่ามีโปรแกรมใดที่ใช้ดิสก์ในปริมาณสูงผิดปกติ หากเป็นโปรแกรมที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ ให้ลองปิดโปรแกรมนั้น
ปิดการทำงานของ Antivirus ชั่วคราว:
บางครั้งโปรแกรม Antivirus อาจสแกนไฟล์ต่าง ๆ ทำให้ดิสก์ทำงานหนัก ลองปิดการทำงานของโปรแกรมชั่วคราวแล้วดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่
ปิดการทำงานของ Windows Search และ Superfetch/SysMain:
บางครั้ง
Windows Search และ
Superfetch (ใน Windows 10 ชื่อ
SysMain) อาจทำให้เกิดกิจกรรมบนดิสก์สูง
เปิด
Services (พิมพ์ []Services[/] ใน Start Menu)
ค้นหา
Windows Search และ
SysMain จากนั้นคลิกขวาแล้วเลือก
Stop เพื่อหยุดการทำงานชั่วคราว
เรียกใช้ Disk Cleanup:
พิมพ์ []Disk Cleanup[/] ใน Start Menu และเปิดโปรแกรม
เลือกไดรฟ์ที่คุณต้องการทำความสะอาด (ส่วนใหญ่จะเป็นไดรฟ์ C

เลือกไฟล์ที่คุณต้องการลบ เช่น Temporary Files, Recycle Bin เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างและลดภาระการทำงานของดิสก์
การใช้วิธี Defragmentation หรือการจัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้
ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน (HDD)
Defragment คืออะไร?
เมื่อคุณใช้งานคอมพิวเตอร์ไปนาน ๆ เช่น การบันทึก ลบ หรือแก้ไขไฟล์ต่าง ๆ ข้อมูลที่เคยเรียงกันเป็นระเบียบจะเริ่มกระจัดกระจายไปทั่วฮาร์ดดิสก์ ทำให้เมื่อคอมพิวเตอร์ต้องการอ่านไฟล์หนึ่งไฟล์ จะต้องเสียเวลาไปกับการตามหาชิ้นส่วนของไฟล์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดิสก์ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลช้าลง
Defragmentation คือกระบวนการที่จะรวบรวมชิ้นส่วนของไฟล์ที่กระจัดกระจายให้กลับมาอยู่ติดกันเป็นกลุ่มก้อน ทำให้หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องเคลื่อนที่ไปมาเพื่อตามหาชิ้นส่วนของข้อมูล ช่วยให้การอ่านและเขียนข้อมูลทำได้รวดเร็วขึ้น
ขั้นตอนการทำ Defragment บน Windows
สำหรับ Windows 10 และ Windows 11 มีเครื่องมือสำหรับ Defragment มาให้ในตัวอยู่แล้วครับ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้:
ไปที่ช่องค้นหา (Search) ที่แถบ Start Menu
พิมพ์คำว่า []defrag[/]
คลิกที่ []Defragment and Optimize Drives[/]
หน้าต่าง
Optimize Drives จะปรากฏขึ้นมา ซึ่งจะแสดงรายการไดรฟ์ทั้งหมดในเครื่องของคุณ
เลือกไดรฟ์ที่คุณต้องการจัดเรียงข้อมูล (ปกติจะเป็นไดรฟ์ C

คลิกปุ่ม
Analyze เพื่อให้ระบบตรวจสอบว่ามีการกระจัดกระจายของข้อมูลมากน้อยแค่ไหน
เมื่อวิเคราะห์เสร็จแล้ว หากระบบแนะนำให้ทำการจัดเรียง (แสดงค่า Fragmentation เป็นเปอร์เซ็นต์สูง) ให้คลิกที่ปุ่ม
Optimize
รอให้กระบวนการเสร็จสิ้น ซึ่งอาจใช้เวลานานพอสมควรขึ้นอยู่กับขนาดของดิสก์และปริมาณข้อมูล
ข้อควรระวังสำคัญ:
ห้าม Defragment SSD: หากคอมพิวเตอร์ของคุณใช้
SSD (Solid State Drive) ไม่ควรใช้วิธีนี้ เพราะ SSD ไม่ได้มีกลไกแบบจานหมุน การ Defragment จะไม่ช่วยให้เร็วขึ้น แต่กลับจะทำให้อายุการใช้งานของ SSD สั้นลงแทน เพราะเป็นการเขียนข้อมูลซ้ำ ๆ โดยไม่จำเป็น ระบบ Windows ที่ใหม่ ๆ จะรู้และจะไม่ได้ทำการ Defragment SSD โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ก็ควรระวังหากจะทำด้วยตัวเองครับ
ระหว่างที่ทำการ Defragment ควรปิดโปรแกรมอื่น ๆ ทั้งหมดเพื่อไม่ให้มีกิจกรรมบนดิสก์ และรอจนกว่ากระบวนการจะเสร็จสมบูรณ์ครับ
หากลองทำตามวิธีเบื้องต้นแล้วยังไม่หาย อาจต้องพิจารณาตรวจสอบว่าฮาร์ดดิสก์หรือ SSD มีปัญหาหรือไม่
เมื่อคอมพิวเตอร์ค้างและ Task Manager แสดงว่า Disk Usage หรือการใช้งานดิสก์อยู่ที่ 90-100%
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหานี้ ได้แก่:
โปรแกรมที่ทำงานเบื้องหลัง: มีโปรแกรมจำนวนมากทำงานพร้อมกัน หรือโปรแกรมที่ใช้ทรัพยากรดิสก์สูง เช่น Antivirus ที่กำลังสแกน, Windows Update ที่กำลังดาวน์โหลดหรือติดตั้ง, หรือโปรแกรมอื่น ๆ ที่กำลังทำการอัปเดต
Malware หรือ Virus: มัลแวร์บางชนิดอาจทำให้เกิดกิจกรรมบนดิสก์อย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาต
ไฟล์ระบบเสียหาย: ไฟล์ระบบบางส่วนอาจเสียหาย ทำให้ Windows พยายามซ่อมแซมหรืออ่านไฟล์เหล่านั้นซ้ำ ๆ
การตั้งค่า Page File ไม่เหมาะสม: การตั้งค่าหน่วยความจำเสมือน (Virtual Memory) หรือ Page File ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบต้องเขียนข้อมูลลงบนดิสก์บ่อยเกินไป
ฮาร์ดดิสก์/SSD กำลังมีปัญหา: ในบางกรณี ปัญหานี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าฮาร์ดดิสก์หรือ SSD กำลังจะเสีย
วิธีแก้ไขเบื้องต้น
ตรวจสอบโปรแกรมที่ใช้ดิสก์สูง:
เปิด Task Manager (กด []Ctrl + Shift + Esc[/])
ไปที่แท็บ Processes และคลิกที่หัวข้อ Disk เพื่อเรียงลำดับจากมากไปน้อย
สังเกตว่ามีโปรแกรมใดที่ใช้ดิสก์ในปริมาณสูงผิดปกติ หากเป็นโปรแกรมที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ ให้ลองปิดโปรแกรมนั้น
ปิดการทำงานของ Antivirus ชั่วคราว:
บางครั้งโปรแกรม Antivirus อาจสแกนไฟล์ต่าง ๆ ทำให้ดิสก์ทำงานหนัก ลองปิดการทำงานของโปรแกรมชั่วคราวแล้วดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่
ปิดการทำงานของ Windows Search และ Superfetch/SysMain:
บางครั้ง Windows Search และ Superfetch (ใน Windows 10 ชื่อ SysMain) อาจทำให้เกิดกิจกรรมบนดิสก์สูง
เปิด Services (พิมพ์ []Services[/] ใน Start Menu)
ค้นหา Windows Search และ SysMain จากนั้นคลิกขวาแล้วเลือก Stop เพื่อหยุดการทำงานชั่วคราว
เรียกใช้ Disk Cleanup:
พิมพ์ []Disk Cleanup[/] ใน Start Menu และเปิดโปรแกรม
เลือกไดรฟ์ที่คุณต้องการทำความสะอาด (ส่วนใหญ่จะเป็นไดรฟ์ C
เลือกไฟล์ที่คุณต้องการลบ เช่น Temporary Files, Recycle Bin เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างและลดภาระการทำงานของดิสก์
การใช้วิธี Defragmentation หรือการจัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน (HDD)
Defragment คืออะไร?
เมื่อคุณใช้งานคอมพิวเตอร์ไปนาน ๆ เช่น การบันทึก ลบ หรือแก้ไขไฟล์ต่าง ๆ ข้อมูลที่เคยเรียงกันเป็นระเบียบจะเริ่มกระจัดกระจายไปทั่วฮาร์ดดิสก์ ทำให้เมื่อคอมพิวเตอร์ต้องการอ่านไฟล์หนึ่งไฟล์ จะต้องเสียเวลาไปกับการตามหาชิ้นส่วนของไฟล์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดิสก์ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลช้าลง
Defragmentation คือกระบวนการที่จะรวบรวมชิ้นส่วนของไฟล์ที่กระจัดกระจายให้กลับมาอยู่ติดกันเป็นกลุ่มก้อน ทำให้หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องเคลื่อนที่ไปมาเพื่อตามหาชิ้นส่วนของข้อมูล ช่วยให้การอ่านและเขียนข้อมูลทำได้รวดเร็วขึ้น
ขั้นตอนการทำ Defragment บน Windows
สำหรับ Windows 10 และ Windows 11 มีเครื่องมือสำหรับ Defragment มาให้ในตัวอยู่แล้วครับ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้:
ไปที่ช่องค้นหา (Search) ที่แถบ Start Menu
พิมพ์คำว่า []defrag[/]
คลิกที่ []Defragment and Optimize Drives[/]
หน้าต่าง Optimize Drives จะปรากฏขึ้นมา ซึ่งจะแสดงรายการไดรฟ์ทั้งหมดในเครื่องของคุณ
เลือกไดรฟ์ที่คุณต้องการจัดเรียงข้อมูล (ปกติจะเป็นไดรฟ์ C
คลิกปุ่ม Analyze เพื่อให้ระบบตรวจสอบว่ามีการกระจัดกระจายของข้อมูลมากน้อยแค่ไหน
เมื่อวิเคราะห์เสร็จแล้ว หากระบบแนะนำให้ทำการจัดเรียง (แสดงค่า Fragmentation เป็นเปอร์เซ็นต์สูง) ให้คลิกที่ปุ่ม Optimize
รอให้กระบวนการเสร็จสิ้น ซึ่งอาจใช้เวลานานพอสมควรขึ้นอยู่กับขนาดของดิสก์และปริมาณข้อมูล
ข้อควรระวังสำคัญ:
ห้าม Defragment SSD: หากคอมพิวเตอร์ของคุณใช้ SSD (Solid State Drive) ไม่ควรใช้วิธีนี้ เพราะ SSD ไม่ได้มีกลไกแบบจานหมุน การ Defragment จะไม่ช่วยให้เร็วขึ้น แต่กลับจะทำให้อายุการใช้งานของ SSD สั้นลงแทน เพราะเป็นการเขียนข้อมูลซ้ำ ๆ โดยไม่จำเป็น ระบบ Windows ที่ใหม่ ๆ จะรู้และจะไม่ได้ทำการ Defragment SSD โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ก็ควรระวังหากจะทำด้วยตัวเองครับ
ระหว่างที่ทำการ Defragment ควรปิดโปรแกรมอื่น ๆ ทั้งหมดเพื่อไม่ให้มีกิจกรรมบนดิสก์ และรอจนกว่ากระบวนการจะเสร็จสมบูรณ์ครับ
หากลองทำตามวิธีเบื้องต้นแล้วยังไม่หาย อาจต้องพิจารณาตรวจสอบว่าฮาร์ดดิสก์หรือ SSD มีปัญหาหรือไม่