Healthy , Pre-DM , DM คืออะไร และมีค่าน้ำตาลต่างกันอย่างไร
ระดับน้ำตาลในเลือดของเราไม่ใช่ตัวเลขที่หยุดนิ่ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน เปรียบเสมือนคลื่นในทะเลที่มีขึ้นมีลง การทำความเข้าใจ "จังหวะ" การขึ้นลงของระดับน้ำตาลนี้ เป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจการเดินทางของระดับน้ำตาลในเลือดตลอด 24 ชั่วโมงของคนสุขภาพดี (Healthy) เทียบกับผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes) และผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetes) เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมระดับน้ำตาล
-----
ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร?
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจกลไกหลักของร่างกายกันก่อน "อินซูลิน" คือฮอร์โมนสำคัญที่ผลิตจากตับอ่อน ทำหน้าที่เหมือน "กุญแจ" ที่จะไขประตูเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อนำน้ำตาล (กลูโคส) จากกระแสเลือดเข้าไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อเรารับประทานอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะย่อยและดูดซึมกลูโคสเข้าสู่เลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ตับอ่อนก็จะหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อจัดการกับน้ำตาลนั้น ทำให้ระดับน้ำตาลกลับสู่ภาวะปกติ
-----
1. คนปกติ (Healthy) "กราฟน้ำตาลที่ราบรื่น"

สำหรับคนที่มีสุขภาพดี การทำงานของอินซูลินจะมีประสิทธิภาพสูง ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปอย่างราบรื่น
-- ตื่นนอน : หลังจากไม่ได้ทานอาหารมาทั้งคืน ระดับน้ำตาลจะอยู่ในระดับต่ำและคงที่ ไม่เกิน 100 mg/dl
-- ก่อนอาหาร : เป็นระดับพื้นฐานก่อนที่ร่างกายจะได้รับพลังงานจากมื้ออาหาร อยู่ที่ประมาณ 70-99 mg/dl
-- หลังมื้ออาหาร : ระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นหลังทานอาหาร แต่ไม่เกินเกณฑ์นี้ และจะค่อยๆ ลดลงสู่ระดับปกติภายใน 2-3 ชั่วโมง โดยไม่เกิน 140 mg/dl
-- ภาพรวม : การตอบสนองของอินซูลินที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ ทำให้กราฟระดับน้ำตาลตลอดวันมีความผันผวนน้อย
ค่า HbA1c (ค่าน้ำตาลสะสมเฉลี่ยใน 2-3 เดือน): < 5.7%
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนกับการขับรถบนถนนที่เรียบ การเร่งและเบาเครื่องยนต์ (การขึ้นลงของน้ำตาล) เป็นไปอย่างนุ่มนวลและควบคุมได้เสมอ
-----
2. ภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes): "สัญญาณเตือนบนกราฟที่เริ่มชัน"
ภาวะก่อนเบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายเริ่มมีปัญหาในการควบคุมระดับน้ำตาล หรือที่เรียกว่า "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน" (Insulin Resistance) เริ่มเกิดขึ้น ตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่อินซูลินทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม ทำให้ต้องผลิตมากขึ้นเพื่อควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ "เกือบจะปกติ"
-- ตื่นนอน : ระดับน้ำตาลตอนเช้าเริ่มสูงกว่าคนปกติ (Impaired Fasting Glucose) อยู่ในช่วง 100 - 125 mg/dl
-- ก่อนอาหาร : ระดับน้ำตาลพื้นฐานเริ่มขยับสูงขึ้น จะเริ่มพบสูงเกิน 100 mg/dl บ่อยๆและมีความผันผวนตามลักษณะของอาหารและระยะห่างระหว่างมื้อสูง
-- หลังอาหาร : ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นกว่าคนปกติและใช้เวลานานกว่าจะลดลง (Impaired Glucose Tolerance) โดยพบได้ตั้งแต่ระดับ 140-199 mg/dl
-- ภาพรวม : การตอบสนองต่ออินซูลินที่ช้าลง ทำให้ระดับน้ำตาลหลังอาหารค้างอยู่ในระดับสูงนานขึ้น
ค่า HbA1c: 5.7% - 6.4%
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนการขับรถขึ้นเนินที่เริ่มชันขึ้น ต้องเหยียบคันเร่ง (ผลิตอินซูลิน) มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าเดิม และเมื่อเจอทางโค้ง (หลังมื้ออาหาร) ก็อาจมีการแกว่งของรถมากขึ้น
-----
3. โรคเบาหวาน (Diabetes): "กราฟคลื่นสูงที่ควบคุมได้ยาก"
ในผู้ป่วยเบาหวาน กลไกการควบคุมน้ำตาลจะบกพร่องอย่างชัดเจน แบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลัก:
เบาหวานชนิดที่ 1 (DM type 1)
-- ในอดีตจะมีนิยามว่าตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย แต่จากความรู้ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น เบาหวานชนิดที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตับอ่อนหรือเบต้าเซลล์ของตนเอง (Autoantibodies) ซึ่งจะกล่าวในโอกาสถัดไป
เบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2)
-- มีภาวะดื้อต่ออินซูลินในระยะแรกและรุนแรงมากขึ้น ร่วมกับตับอ่อนเสียการทำงานในระยะยาวจนผลิตอินซูลินได้น้อยลง ซึ่งเป็นชนิดหลักที่พบประมาณ 85-90% ของเบาหวานทั้งหมด
สิ่งนี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความผันผวนสูงและมักจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติเป็นเวลานาน
-- ตื่นนอน : ระดับน้ำตาลตอนเช้าสูงชัดเจน มากกว่า 125 mg/dl
-- ก่อนอาหาร : ระดับน้ำตาลไม่คงที่และมีแนวโน้มไปทางสูง ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะและความรุนแรงของโรคเบาหวาน โดยทั่วไปเป้าหมายการควบคุมคือไม่เกิน 130 mg/dl หรือใกล้เคียงค่าปกติยิ่งดี
-- หลังอาหาร : ระดับน้ำตาลหลังอาหารมักจะสูงเกิน 200 mg/dl และมีความผันผวนตามปริมาณของแป้งและน้ำตาลในอาหารสูง เป้าหมายในการควบคุมมักจะพยายามไม่ให้เกิน 180 mg/dl
-- ภาพรวม : หากไม่ได้ทำการควบคุมอาหาร หรือรักษาจะมีค่าน้ำตาลสูงกว่าเกณฑ์ที่กล่าวมา และมีความผันผวนสูง
ค่า HbA1c: ≥ 6.5%
*เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดเป้าหมายที่เหมาะสม
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนการขับรถที่ระบบควบคุมความเร็วและเบรกบกพร่อง ทำให้รถอาจพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว (น้ำตาลพุ่งสูง) และชะลอความเร็วได้ยาก (น้ำตาลลดลงช้า) ทำให้การขับขี่ (การใช้ชีวิต) เต็มไปด้วยความเสี่ยง
-----
ทำไมการเข้าใจเรื่องนี้จึงสำคัญ?
การเห็นภาพความแตกต่างของระดับน้ำตาลในแต่ละภาวะ ช่วยให้เราตระหนักว่าภาวะก่อนเบาหวานคือ "โอกาสทอง" ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด เพื่อชะลอหรือป้องกันการเป็นโรคเบาหวานในอนาคต สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแล้ว การติดตามระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เข้าใจการตอบสนองของร่างกายต่ออาหาร ยา และการใช้ชีวิต เพื่อปรับการรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเป้าหมาย ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ที่อาจตามมาได้
การตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจคัดกรองเบาหวาน หรือการตรวจสอบค่าน้ำตาลด้วยตัวเองตามเกณฑ์ที่กล่าวไว้แล้ว เมื่อถึงวัยหรือมีความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจชีวิต และร่างกายของตัวเองและควบคุมมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
รวมบทความเกี่ยวกับภาวะเบาหวาน Basic to Advance
https://www.blockdit.com/series/68593c77a995476495439f4c
ติดตามความรู้ทางการแพทย์อื่นๆ ได้ที่
https://www.blockdit.com/pages/684ed2c21333de6e817eb069
หรือที่
https://www.facebook.com/share/19eM6n8qzF/?mibextid=wwXIfr
เวลาที่ไปครวจสุขภาพ หรือเจาะน้ำตาลด้วยตัวเองที่บ้าน จะได้พอทราบว่าตัวเราเองน่าจะอยู่ในกลุ่มใด 🧑⚕️
Healthy , Pre-DM , DM คืออะไร และมีค่าน้ำตาลต่างกันอย่างไร
ระดับน้ำตาลในเลือดของเราไม่ใช่ตัวเลขที่หยุดนิ่ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน เปรียบเสมือนคลื่นในทะเลที่มีขึ้นมีลง การทำความเข้าใจ "จังหวะ" การขึ้นลงของระดับน้ำตาลนี้ เป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจการเดินทางของระดับน้ำตาลในเลือดตลอด 24 ชั่วโมงของคนสุขภาพดี (Healthy) เทียบกับผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes) และผู้ป่วยเบาหวาน (Diabetes) เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมระดับน้ำตาล
-----
ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร?
ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจกลไกหลักของร่างกายกันก่อน "อินซูลิน" คือฮอร์โมนสำคัญที่ผลิตจากตับอ่อน ทำหน้าที่เหมือน "กุญแจ" ที่จะไขประตูเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อนำน้ำตาล (กลูโคส) จากกระแสเลือดเข้าไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อเรารับประทานอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะย่อยและดูดซึมกลูโคสเข้าสู่เลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ตับอ่อนก็จะหลั่งอินซูลินออกมาเพื่อจัดการกับน้ำตาลนั้น ทำให้ระดับน้ำตาลกลับสู่ภาวะปกติ
-----
1. คนปกติ (Healthy) "กราฟน้ำตาลที่ราบรื่น"
สำหรับคนที่มีสุขภาพดี การทำงานของอินซูลินจะมีประสิทธิภาพสูง ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปอย่างราบรื่น
-- ตื่นนอน : หลังจากไม่ได้ทานอาหารมาทั้งคืน ระดับน้ำตาลจะอยู่ในระดับต่ำและคงที่ ไม่เกิน 100 mg/dl
-- ก่อนอาหาร : เป็นระดับพื้นฐานก่อนที่ร่างกายจะได้รับพลังงานจากมื้ออาหาร อยู่ที่ประมาณ 70-99 mg/dl
-- หลังมื้ออาหาร : ระดับน้ำตาลจะสูงขึ้นหลังทานอาหาร แต่ไม่เกินเกณฑ์นี้ และจะค่อยๆ ลดลงสู่ระดับปกติภายใน 2-3 ชั่วโมง โดยไม่เกิน 140 mg/dl
-- ภาพรวม : การตอบสนองของอินซูลินที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ ทำให้กราฟระดับน้ำตาลตลอดวันมีความผันผวนน้อย
ค่า HbA1c (ค่าน้ำตาลสะสมเฉลี่ยใน 2-3 เดือน): < 5.7%
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนกับการขับรถบนถนนที่เรียบ การเร่งและเบาเครื่องยนต์ (การขึ้นลงของน้ำตาล) เป็นไปอย่างนุ่มนวลและควบคุมได้เสมอ
-----
2. ภาวะก่อนเบาหวาน (Pre-diabetes): "สัญญาณเตือนบนกราฟที่เริ่มชัน"
ภาวะก่อนเบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายเริ่มมีปัญหาในการควบคุมระดับน้ำตาล หรือที่เรียกว่า "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน" (Insulin Resistance) เริ่มเกิดขึ้น ตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่อินซูลินทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม ทำให้ต้องผลิตมากขึ้นเพื่อควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ "เกือบจะปกติ"
-- ตื่นนอน : ระดับน้ำตาลตอนเช้าเริ่มสูงกว่าคนปกติ (Impaired Fasting Glucose) อยู่ในช่วง 100 - 125 mg/dl
-- ก่อนอาหาร : ระดับน้ำตาลพื้นฐานเริ่มขยับสูงขึ้น จะเริ่มพบสูงเกิน 100 mg/dl บ่อยๆและมีความผันผวนตามลักษณะของอาหารและระยะห่างระหว่างมื้อสูง
-- หลังอาหาร : ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นกว่าคนปกติและใช้เวลานานกว่าจะลดลง (Impaired Glucose Tolerance) โดยพบได้ตั้งแต่ระดับ 140-199 mg/dl
-- ภาพรวม : การตอบสนองต่ออินซูลินที่ช้าลง ทำให้ระดับน้ำตาลหลังอาหารค้างอยู่ในระดับสูงนานขึ้น
ค่า HbA1c: 5.7% - 6.4%
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนการขับรถขึ้นเนินที่เริ่มชันขึ้น ต้องเหยียบคันเร่ง (ผลิตอินซูลิน) มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าเดิม และเมื่อเจอทางโค้ง (หลังมื้ออาหาร) ก็อาจมีการแกว่งของรถมากขึ้น
-----
3. โรคเบาหวาน (Diabetes): "กราฟคลื่นสูงที่ควบคุมได้ยาก"
ในผู้ป่วยเบาหวาน กลไกการควบคุมน้ำตาลจะบกพร่องอย่างชัดเจน แบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลัก:
เบาหวานชนิดที่ 1 (DM type 1)
-- ในอดีตจะมีนิยามว่าตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย แต่จากความรู้ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น เบาหวานชนิดที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตับอ่อนหรือเบต้าเซลล์ของตนเอง (Autoantibodies) ซึ่งจะกล่าวในโอกาสถัดไป
เบาหวานชนิดที่ 2 (DM type 2)
-- มีภาวะดื้อต่ออินซูลินในระยะแรกและรุนแรงมากขึ้น ร่วมกับตับอ่อนเสียการทำงานในระยะยาวจนผลิตอินซูลินได้น้อยลง ซึ่งเป็นชนิดหลักที่พบประมาณ 85-90% ของเบาหวานทั้งหมด
สิ่งนี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความผันผวนสูงและมักจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติเป็นเวลานาน
-- ตื่นนอน : ระดับน้ำตาลตอนเช้าสูงชัดเจน มากกว่า 125 mg/dl
-- ก่อนอาหาร : ระดับน้ำตาลไม่คงที่และมีแนวโน้มไปทางสูง ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะและความรุนแรงของโรคเบาหวาน โดยทั่วไปเป้าหมายการควบคุมคือไม่เกิน 130 mg/dl หรือใกล้เคียงค่าปกติยิ่งดี
-- หลังอาหาร : ระดับน้ำตาลหลังอาหารมักจะสูงเกิน 200 mg/dl และมีความผันผวนตามปริมาณของแป้งและน้ำตาลในอาหารสูง เป้าหมายในการควบคุมมักจะพยายามไม่ให้เกิน 180 mg/dl
-- ภาพรวม : หากไม่ได้ทำการควบคุมอาหาร หรือรักษาจะมีค่าน้ำตาลสูงกว่าเกณฑ์ที่กล่าวมา และมีความผันผวนสูง
ค่า HbA1c: ≥ 6.5%
*เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดเป้าหมายที่เหมาะสม
เปรียบเทียบง่ายๆ: เหมือนการขับรถที่ระบบควบคุมความเร็วและเบรกบกพร่อง ทำให้รถอาจพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว (น้ำตาลพุ่งสูง) และชะลอความเร็วได้ยาก (น้ำตาลลดลงช้า) ทำให้การขับขี่ (การใช้ชีวิต) เต็มไปด้วยความเสี่ยง
-----
ทำไมการเข้าใจเรื่องนี้จึงสำคัญ?
การเห็นภาพความแตกต่างของระดับน้ำตาลในแต่ละภาวะ ช่วยให้เราตระหนักว่าภาวะก่อนเบาหวานคือ "โอกาสทอง" ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด เพื่อชะลอหรือป้องกันการเป็นโรคเบาหวานในอนาคต สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแล้ว การติดตามระดับน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เข้าใจการตอบสนองของร่างกายต่ออาหาร ยา และการใช้ชีวิต เพื่อปรับการรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเป้าหมาย ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ที่อาจตามมาได้
การตรวจสุขภาพประจำปีและตรวจคัดกรองเบาหวาน หรือการตรวจสอบค่าน้ำตาลด้วยตัวเองตามเกณฑ์ที่กล่าวไว้แล้ว เมื่อถึงวัยหรือมีความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้คุณสามารถเข้าใจชีวิต และร่างกายของตัวเองและควบคุมมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
รวมบทความเกี่ยวกับภาวะเบาหวาน Basic to Advance
https://www.blockdit.com/series/68593c77a995476495439f4c
ติดตามความรู้ทางการแพทย์อื่นๆ ได้ที่
https://www.blockdit.com/pages/684ed2c21333de6e817eb069
หรือที่
https://www.facebook.com/share/19eM6n8qzF/?mibextid=wwXIfr
เวลาที่ไปครวจสุขภาพ หรือเจาะน้ำตาลด้วยตัวเองที่บ้าน จะได้พอทราบว่าตัวเราเองน่าจะอยู่ในกลุ่มใด 🧑⚕️