จากเบอร์ 1 ตำนานเจ้าแห่งเทคโนโลยี.. ญี่ปุ่นหายไปไหน จากเวทีโลก ? /โดย ลงทุนแมน

- Sony
- Panasonic
- Mitsubishi
- Hitachi
- Toshiba

ในอดีตแบรนด์ญี่ปุ่นเหล่านี้ เคยเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างสูง โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพ จึงทำให้ยอดขายของสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่น ครองตลาดโลกมานาน
https://www.facebook.com/share/p/1CZ6cTMQZM/?mibextid=wwXIfr


แต่ในวันนี้ อิทธิพลของแบรนด์ญี่ปุ่น ที่เคยครองบัลลังก์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไปทั่วโลกนั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยสินค้าจาก 2 คู่แข่งอย่างจีนและเกาหลีใต้

จากข้อมูลของ Forbes ในปี 2024 ที่ผ่านมา Samsung ของเกาหลีใต้ ครองแชมป์ผู้นำในด้านยอดขาย ของบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ในเอเชีย โดยทำรายได้มากถึง 6.6 ล้านล้านบาท

ตามมาด้วย Foxconn (ไต้หวัน), Sony (ญี่ปุ่น), Tencent (จีน) และ Hitachi (ญี่ปุ่น)

โดย Sony ที่ถือเป็นเบอร์ 1 ของญี่ปุ่น ทำรายได้ 2.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 44% ของ Samsung เท่านั้น

แล้วแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่น หายไปจากเทคโนโลยีโลกแล้วจริงหรือไม่ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ในอดีต Japanese Quality คือเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ และมีคุณภาพดี ทำให้สินค้าต่าง ๆ ของญี่ปุ่น มักเป็น Top of Mind ของคนทั่วโลก ว่าญี่ปุ่นคือ “ผู้นำ” ในวงการนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป Japanese Quality ก็ได้เริ่มถูกท้าทายจากแบรนด์เกาหลีใต้ ที่นำโดย Samsung และ LG ไปจนถึงแบรนด์จีนจำนวนมาก

จนวันนี้ แม้แต่ในย่าน Akihabara ของกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นแดนสวรรค์สำหรับคนที่ชื่นชอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มายาวนาน พบว่ามีสินค้าแบรนด์เกาหลีใต้และจีน วางอยู่บนชั้นวางอยู่ไม่น้อย

อย่างชั้นวางโทรทัศน์บนห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีโทรทัศน์แบรนด์ญี่ปุ่นวางอยู่เพียง 2 แบรนด์คือ Sony และ Panasonic ขณะที่มีคู่แข่งต่างชาติอย่าง LG (เกาหลีใต้) และ TCL (จีน) วางขาย

ส่วนโซนขายแท็บเล็ต ส่วนใหญ่ตกเป็นของ Xiaomi แบรนด์ดังจากจีน

ขณะที่สมาร์ตโฟน แม้จะยังมี Sony Xperia วางอยู่ แต่ก็มี Zenfone จากค่าย Asus ของไต้หวัน และ Huawei ของจีนที่เข้ามาแย่งพื้นที่

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของคนญี่ปุ่นเองก็เปลี่ยนไป และมีการเปิดใจให้กับแบรนด์ต่างชาติมากขึ้น

และหากเราถอยออกมามองภาพที่ใหญ่ขึ้นจะเห็นว่า นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น เริ่มสูญเสียบทบาทผู้นำในตลาดโลก

แล้วอะไรทำให้ญี่ปุ่น เริ่มเสียบัลลังก์ให้กับคู่แข่งต่างชาติ ?

คุณยศพนธ์ สุธารัตนชัยพร นักลงทุนเน้นคุณค่า ได้ให้ความเห็นว่า ญี่ปุ่นนั้นตกขบวน เพราะการปรับตัวที่ล่าช้ากว่าคู่แข่ง

ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือที่สมัยก่อน มักชูจุดขายเฉพาะเรื่อง Hardware ที่เน้นความทนทาน ใช้งานได้นาน

แต่ต่อมา สมาร์ตโฟนในตลาด มักเน้นจุดขายเรื่อง Software ที่เน้น User Friendly และมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย มีแอปพลิเคชันจำนวนมาก ผ่านระบบปฏิบัติการที่นำโดย iOS จาก Apple และ Android จาก Google

ด้วยจุดขาย รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การมีตัวเลือกมากขึ้น ทำให้แม้แต่ชาวญี่ปุ่นเอง ก็ปันใจไปใช้งาน สมาร์ตโฟนจากต่างชาติมากขึ้น

โดยญี่ปุ่นถือเป็นประเทศ ที่มีสัดส่วนผู้ใช้งาน iPhone สูงที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ที่ 59.2% มากกว่าประเทศบ้านเกิดของ iPhone อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ 51.1%

อีกประเด็นหนึ่งคือ ความอนุรักษนิยม (Conservative) ของคนญี่ปุ่น

โดยคุณเศรษฐวุฒิ อังคีรสคุปต์ กระเษียรอภิบาล นักลงทุนเน้นคุณค่า ได้ให้ความเห็นว่า บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมาก ติดกับดักความอนุรักษนิยมของตัวเอง

ทำให้การทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะอาจเป็นการทำลายธุรกิจเดิมของตัวเอง แต่จะเน้นการต่อยอดจากธุรกิจเดิมมากกว่า

อีกทั้งยังมีแนวคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามระบบ ซึ่งมักมีความยืดหยุ่นต่ำ ทำให้ไม่สามารถปรับตัวตามโลกได้ทัน จนส่งผลให้ภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในเวทีโลก เริ่มจางลง

อย่างไรก็ตาม แม้การแข่งขันที่รุนแรง จะทำให้บทบาทของญี่ปุ่นเปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่
นั่นก็คือ “ความละเอียดพิถีพิถัน”

รู้หรือไม่ว่า ญี่ปุ่นเคยเป็นผู้เล่นรายใหญ่ ที่เคยครองส่วนแบ่งในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ มากที่สุดในโลก

แม้ในวันนี้จะเสียส่วนแบ่งให้กับคู่แข่งจากต่างชาติไปจนเกือบหมด

แต่ในเบื้องหลัง บริษัทญี่ปุ่นยังมีความสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรม โดยเฉพาะในสินค้าหรือกระบวนการ ที่ต้องอาศัยความละเอียดขั้นสูง หรือเอกลักษณ์เฉพาะ

ตัวอย่างเช่น แผ่นเวเฟอร์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิตชิป ที่ประเด็นเรื่องคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญ ก็ยังต้องอาศัยบริษัทญี่ปุ่น

ตัวอย่างเช่น Tokyo Electron ที่ครองส่วนแบ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตเวเฟอร์อยู่มากถึง 56%

Shin-Etsu Silicones และ SUMCO ก็ถือเป็นผู้นำในกระบวนการผลิตแผ่นเวเฟอร์คุณภาพสูง

Kyocera และ Murata Electronics ที่แม้เป็นผู้ผลิตอะไหล่เล็ก ๆ แต่ผลิตภัณฑ์จากทั้ง 2 บริษัทนี้ก็มีความเป็นเอกลักษณ์ที่ค่อนข้างสูง ยากที่คู่แข่งจะเลียนแบบได้

จะเห็นว่า แม้ในวันนี้ญี่ปุ่นจะไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แล้ว

แต่หากไปดูเบื้องหลัง จะพบว่าห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของการผลิตชิปนั้น ญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญ และยังคงรักษาบทบาทของความเป็นผู้นำได้อย่างเหนียวแน่น

โดยมีการคาดการณ์ว่าในหลายปีข้างหน้านี้ ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่น จะมีอัตราการเติบโตของรายได้อยู่ที่ 10.65% ต่อปี สูงกว่าตลาดโลกซึ่งอยู่ที่ 8.7% ต่อปี

และด้วยอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ คาดว่าใน 4 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของญี่ปุ่น จะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8% ของมูลค่าตลาดโลก

ที่น่าสนใจคือ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเองก็ได้เดินเกมรุก เพื่อทวงบัลลังก์เซมิคอนดักเตอร์ ผ่านโครงการระดับชาติอย่าง Rapidus ที่เกิดจากการร่วมมือกัน ระหว่างภาครัฐและบริษัทเอกชนชั้นนำ 8 ราย

ซึ่งมีเป้าหมาย เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิประดับสูงเองภายในประเทศ

ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า แม้ในตอนนี้ ญี่ปุ่นจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนในอดีต แต่จุดแข็งสำคัญอย่าง “คุณภาพ” และ “ความพิถีพิถัน” ก็ยังคงทำให้ญี่ปุ่น เป็นผู้เล่นที่ขาดไม่ได้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

ทำให้แม้ในฉากหน้า เราอาจเห็นสินค้าเทคโนโลยีแบรนด์ญี่ปุ่น เปิดตัวหรือวางขายน้อยลง

แต่หากเจาะเข้าไปภายในสินค้าไฮเทค ที่วางขายกันโดยคู่แข่งชาติอื่น ๆ

สินค้าเหล่านั้น ก็ยังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ในการเคลื่อนไปข้างหน้า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่ดี..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่