บรัดเลและสมิทแบ่งต้นฉบับกันตีพิมพ์ : ความเข้าใจที่ผิดพลาด
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวางพระมติไว้ว่า เหตุที่หมอบรัดเลพิมพ์แต่หนังสือร้อยแก้ว และสมิทพิมพ์แต่บทกลอนนั้น
เป็นเพราะสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ไกล่เกลี่ย
ทรงอธิบายว่าเมื่อต้นรัชกาลที่ห้า โรงพิมพ์หลวงต้องรับพิมพ์งานราชการเพิ่ม จึงงดพิมพ์เรื่องจีน "คงพิมพ์หนังสือเรื่องต่าง ๆ ขายแต่
โรงพิมพ์หมอบรัดเลกับโรงพิมพ์หมอสมิธ ต่างไปขอต้นฉะบับที่สมเด็จเจ้าพระยาฯ ท่านจึงไกล่เกลี่ยให้หมอบรัดเลเอาแต่หนังสือ
จำพวกความร้อยแก้ว เช่นเรื่องพงศาวดารจีนไปพิมพ์ ส่วนหมอสมิธให้พิมพ์หนังสือจำพวกบทกลอน ต่างคนต่างพิมพ์มาเช่นนั้น
หลายปี"
https://vajirayana.org/ตำนานหนังสือสามก๊ก/๔-ว่าด้วยพิมพ์หนังสือสามก๊กภาษาไทย
คำอธิบายนี้ ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลสอดรับกัน น่าเชื่อถือ จึงเชื่อกันมาจนถึงบัดนี้
ทั้งที่มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหลายประการ บางข้อดูเหมือนชี้ไปในทางตรงกันขัามด้วยซ้ำ
ถ้าจะมีการแบ่งต้นฉบับจริง ก็หมายความว่าในปี ๒๔๑๔-๕ เมื่อโรงพิมพ์หลวงหยุดพิมพ์พงศาวดารจีนแล้ว หมอบรัดเลกับครูสมิท
จึงพากันไปพบสมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หาข้อยุติเรื่องต้นฉบับการพิมพ์ การที่ผู้สำเร็จราชการฯ
ต้องลงมาตัดสินปัญหายิบย่อยระดับนี้ คงจะเชื่อยากสักหน่อย แต่หากจะไม่เชื่อแล้ว ต้องทำอย่างไร
ข้อพิจารณาต่อไปนี้ น่าจะช่วยให้ไม่เชื่อได้ กระมัง?
---------------------
๑
ผู้สร้างความนิยม
พระนิพนธ์ข้างต้นชวนให้เข้าใจว่า โรงพิมพ์หลวงมีบทบาทสำคัญในการพิมพ์พงศาวดารจีน เมื่อหยุดพิมพ์จึงเป็นโอกาสให้โรงพิมพ์
อื่นๆ เข้ามารับช่วงต่อ แต่ข้อเท็จจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แท้จริงแล้วโรงพิมพ์หลวงต่างหากเป็นผู้เดินตามความนิยม"อ่าน"เรื่องจีนที่
หมอบรัดเลสร้างขึ้น แต่ทำตามเพียง ๔ ปีก็หยุด ส่วนโรงพิมพ์หมอบรัดเลยังคงใช้เวลากว่า ๒๖ ปี (๒๔๐๖-๒๔๓๒) พิมพ์พงศาวดาร
จีนถึง ๑๙ จาก ๒๙ เรื่องที่พิมพ์ในรัชกาลที่ห้า
ช่วงสั้นๆ ที่โรงพิมพ์หลวงพิมพ์พงศาวดารจีนอยู่นั้น หมอบรัดเลก็กำลังจัดพิมพ์สามก๊กให้ครบชุด (มี ๔ เล่ม) แล้วเริ่มพิมพ์เลียดก๊ก
(๒๔๑๓) ต่อด้วยไซ่ฮั่น (๒๔๑๕) หนังสือเหล่านี้เปลี่ยนสังคมไทยช่วงปลายรัชกาลที่สี่มาสู่ต้นรัชกาลที่ห้า จากวัฒนธรรมการฟัง
และดู มาเป็นวัฒนธรรมการอ่าน ทั้งโรงพิมพ์หลวงและโรงพิมพ์บางคอแหลมของครูสมิท ต่างได้อานิสงส์ความเปลี่ยนแปลงนี้ ร่วม
กันสร้างอุตสาหกรรมการพิมพ์ขึ้นมาอย่างจริงจัง โดยมีแนวทางทำงานเป็นของตนเอง
เรื่องนี้เกิดก่อนปี ๒๔๑๔-๕ ที่เชื่อกันว่ามีการแบ่งต้นฉบับ หลายปี
๒
ระยะเวลาในการพิมพ์
ความเข้าใจผิดยังอาจมาจากการที่ทรงไม่เข้าใจกระบวนการพิมพ์ เมื่อทรงแสดงเพียงปีแรกจำหน่ายของหนังสือแต่ละเรื่องไว้ ทำให้
เมื่อเรียงปีกันแล้ว กลายเป็นความเข้าใจดังนี้
พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๔ โรงพิมพ์หลวงพิมพ์ หงอโต๋ ซวยงัก น่ำซ้อง และเม่งเฉียว
พ.ศ. ๒๔๑๓ โรงพิมพ์หมอบรัดเลพิมพ์ เลียดก๊ก
จึงเข้าใจไปได้ว่า ในช่วงเดียวกันนั้นโรงพิมพ์หลวงสามารถพิมพ์เรื่องจีนได้ถึง ๔ เรื่อง แต่หมอบรัดเลพิมพ์เพียง ๑ เรื่องเท่านั้น
จำนวนเปรียบเทียบเช่นนี้ ย่อมทำให้เข้าใจบทบาทของโรงพิมพ์แต่ละแห่ง ผิดไปอย่างช่วยไม่ได้
อันที่จริง การพิมพ์ในยุคนั้นใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จสักเล่ม มีข้อมูลว่ากฎหมายนายโหมดเล่มเดียว ใช้เวลาทำถึง ๓ ปี
https://www.silpa-mag.com/history/article_18383
ส่วนอักขราภิธานศรับท์ เริ่มทำตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๐๔ กว่าจะพิมพ์สำเร็จเป็นเล่มก็นานถึงพ.ศ.๒๔๑๖ ใช้เวลา ๑๒ ปี
http://legacy.orst.go.th/?knowledges=อักขราภิธานศรับท์-ของ-หม
สามก๊กหนึ่งชุดมี ๔ เล่มจึงไม่ได้เสร็จพร้อมกัน ท่านชี้แจงว่า "แต่เดิมข้าพเจ้าคิดว่า การที่จะทำหนังสือสามก๊กนี้, ให้สำเร็จได้ใน
ปีหนึ่ง... การทำสามก๊กจึงช้าไปกว่าจะได้เล่มหนึ่ง, หาเหมือนกับสัญญาไม่. ...ตั้งแต่นี้ข้าพเจ้าจะเร่งทำเล่มสองต่อไป, ถ้าสำเร็จ
ลงเมื่อใด, ข้าพเจ้าจึ่งจะเป่าประกาศต่อภายหลัง เชิญมาซื้อเถิด"
https://fliphtml5.com/wcezx/cqvm/01สามก๊กฉบับหมอบรัดเล/
ท่านอ้างเหตุการออก "บางกอกรีคอเดอ" ในปี ๒๔๐๗ ทำให้ล่าช้า จึงทราบว่าคงเริ่มการพิมพ์ก่อนหน้านั้นแล้ว ใช้เวลากว่า ๒ ปี จึง
สำเร็จหนึ่งเล่ม ครบ ๔ เล่มคงต้องใช้เวลา ๔-๕ ปีเป็นอย่างน้อย ประมาณการเวลาจึงเป็นดังนี้
พ.ศ.๒๔๐๖ หมอบรัดเลเริ่มกระบวนการจัดพิมพ์สามก๊ก
พ.ศ.๒๔๐๗ มีงานพิมพ์บางกอกรีคอเดอและอื่นๆ แทรกเข้ามา
พ.ศ.๒๔๐๘ สามก๊กเล่มที่ ๑ พิมพ์สำเร็จ
พ.ศ.๒๔๐๙ พิมพ์สามก๊กเล่ม ๒
พ.ศ.๒๔๑๐ พิมพ์สามก๊กเล่ม ๓
พ.ศ.๒๔๑๑ พิมพ์สามก๊กเล่ม ๔
ปีเดียวกันนี้โรงพิมพ์หลวงเพิ่งเริ่มพิมพ์หงอโต๋ เป็นพงศาวดารจีนเรื่องแรกที่จัดพิมพ์
พ.ศ.๒๔๑๒ เริ่มการพิมพ์เลียดก๊ก
โรงพิมพ์หลวงพิมพ์ซวยงัก
พ.ศ.๒๔๑๓ พิมพ์เลียดก๊กเล่ม ๑
พ.ศ.๒๔๑๔ พิมพ์เลียดก๊กเล่ม ๒-๓
โรงพิมพ์หลวงพิมพ์น่ำซ้อง และ เม่งเฉียว แล้วหยุดพิมพ์พงศาวดารจีน
พ.ศ.๒๔๑๕ พิมพ์เลียดก๊กเล่ม ๔-๕ เริ่มการพิมพ์ไซ่จิ้น
พ.ศ.๒๔๑๖ ไซ่จิ้นพิมพ์สำเร็จ
เห็นได้ว่า การพิมพ์พงศาวดารจีนของหมอบรัดเลมีลำดับการทำงานที่ชัดเจน ใช้เวลาถึง ๑๐ ปี ทั้ง ๓ มีเรื่องราวต่อเนื่องกัน โดยมี
สามก๊กเป็นแกนกลาง ในระหว่างพิมพ์แม้จะมีโรงพิมพ์หลวงแทรกเข้ามาแย่งตลาด ก็ไม่มีผลกระทบกับแผนงานแต่อย่างใด
๓
ขนาดของสิ่งพิมพ์
มีรายละเอียดควรคำนึงถึงเกี่ยวกับจำนวนต้นฉบับแปลที่ถูกใช้ อันมีผลกับการพิมพ์ จึงควรพิจารณาร่วมกันไปด้วย
พงศาวดาร ๓ เรื่องมาจากต้นฉบับรวมกัน ๒๘๓ เล่มสมุดไทย (สามก๊ก ๙๕ เลียดก๊ก ๑๕๓ ไซ่จิ้น ๓๕ เล่ม)
แต่ ๔ เรื่องของโรงพิมพ์หลวง มาจากต้นฉบับเพียง ๑๒๙ สมุดไทยเท่านั้น ต่างกันถึง ๑๕๔ เล่ม
หมอบรัดเลใช้ต้นฉบับสมุดไทย ๒๔ เล่มพิมพ์เป็น ๑ เล่มสมุดฝรั่ง ชุดพงศาวดารจีนสามเรื่องแรกจึงเป็นหนังสือ ๑๑ เล่ม
โรงพิมพ์หลวงกลับจัดต้นฉบับไม่แน่นอน เม่งเฉียว ๑๗ เล่มสมุดไทยพิมพ์เป็น ๒ เล่มสมุดฝรั่ง แต่น่ำซ้อง ๕๔ เล่มสมุดไทยก็พิมพ์
เป็น ๒ เล่มสมุดฝรั่งเหมือนกัน ทั้งที่ปริมาณห่างกันกว่า ๓ เท่า ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีขนาดไม่ยาวก็สามารถพิมพ์ให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว
เพียง ๔ ปี จึงพิมพ์เป็นหนังสือได้ถึง ๘ เล่ม แต่ถ้าใช้มาตรฐานหมอบรัดเล จะพิมพ์ได้เพียง ๕ เล่มเศษเท่านั้น
หากใช้จำนวนสิ่งพิมพ์โดยไม่ตรวจสอบอย่างรอบด้าน อาจตีความผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว
๔
บทบาทของหมอบรัดเล
หมอบรัดเลเกิดพ.ศ. ๒๓๔๗ ถัาคิดว่าไปเจรจาแบ่งต้นฉบับในปี ๒๔๑๕ อายุก็จะย่าง ๖๘-๖๙ แล้ว
ที่จริงในช่วงนั้น ท่านวางมือให้ภรรยาและบุตรชายรับช่วงกิจการ ตัวเองรับภาระเพียงดูแลการจัดพิมพ์ "อักขราภิธานศรับท์" เท่านั้น
แม้กระนั้น กว่าจะพิมพ์เสร็จ ท่านก็ถึงแก่กรรมไปเสียก่อนในวัย ๖๙
http://legacy.orst.go.th/?knowledges=อักขราภิธานศรับท์-ของ-ห
ดังนั้น พงศาวดารจีนทั้ง ๒๐ เรื่องของโรงพิมพ์ปากคลองบางกอกใหญ่ หมอบรัดเลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องเพียง ๒-๓ เรื่องเท่านั้น แต่
ผลจากการปูทางของท่าน สยามจึงเข้าสู่ยุคแห่งความรู้สาธารณะและการโต้แย้งจากการอ่านได้ในที่สุด
๕
บทบาทของครูสมิท
สมิท ผู้นิยมเรียกตัวเองว่า "ครู" เข้าสู่ธุรกิจการพิมพ์ดัวยแผนงานที่ชัดเจน
พ.ศ.๒๔๑๑ ปีสุดท้ายของรัชกาลที่สี่ สมิทลาออกจากคณะอเมริกัน แบ๊บตืสต์ มาร่วมทุนกับ Thomas S. Andrew ตั้งโรงพิมพ์ที่
บางคอแหลม ท่านเข้าสู่การพิมพ์โดยมีทรัพยากรล้ำค่าในมือ คือนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี ๘๐ เล่มสมุดไทย และนโยบาย
พิมพ์หนังสือราคาต่ำที่ต้องใจมหาชน ลูกค้าของท่านเป็นพวกนิยมความบันเทิง แสวงหาประสบการณ์ที่ต่างจากชีวิตปกติ การเน้น
พิมพ์หนังสือเล่มเล็กๆ เป็นตัวอย่างให้มีผู้ทำโรงพิมพ์ต้นทุนต่ำหลายแห่ง เปิดศักราชใหม่แห่งการเรียนรู้โดยแท้จริง
๖
ต้นฉบับและที่มา
หมอบรัดเลแจ้งในคำนำสามก๊กเล่ม ๑ ว่า "ได้สอบทานถูกต้องกันกับฉบับเจ้าพระยากลาโหมทุกเล่มแลของคนอื่นอีกสองฉบับ"
https://www.samkok911.com/2017/04/dan-beach-bradley-three-kingdoms-2408.html
ส่วนครูสมิทก็พิมพ์สามก๊กแจกในงานศพหมอบรัดเล(๒๔๑๖) โดยแจ้งว่า (ปรับวรรคตอนใหม่โดยผู้เขียน)
"สามก๊กตั้งแต่เล่ม ๙๕ จบ ๗๓ สมุดไท หนังสือพิมพ์สำหรับให้ไว้เปนสิ่งของแจกรฤกในงานพิธีบรรจุศพของหมอปรัดเลผู้ล่วงลับ
พิมพ์ขึ้น ๑๐๐ ฉบับ บางกอก สยาม ที่โรงพิมพ์ครูสมิท ณะ ตำบลบางคอแหลม จุลศักราช ๑๒๓๕"
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=3436.15
จึงหมายความว่า แม้ไม่มีสมเด็จเจ้าพระยาฯ ทั้ง ๒ ท่านก็มีต้นฉบับจากแหล่งอื่นมาตีพิมพ์ได้
กรณีครูสมิท สมเด็จฯ ยังเผยให้เห็นความละเลยในการตรวจสอบข้อมูลอย่างร้ายแรง เมื่อทรงนิพนธ์ว่า
"มีหนังสือสามก๊กหมอสมิธพิมพ์ยังปรากฎอยู่ แต่ว่ามีฉะเพาะเล่มที่ ๑ เล่มเดียว ข้อนี้เปนเค้าเงื่อนให้สันนิษฐานว่า ชรอยหมอสมิธ
เห็นคนชอบซื้อหนังสือสามก๊กก็พิมพ์ขายบ้าง คงเกิดเกี่ยงแย่งกับหมอบรัดเล สมเด็จเจ้าพระยา ฯ จึงไกล่เกลี่ยให้พิมพ์หนังสือคน
ละประเภทดังกล่าว ทั้งสองฝ้ายก็จำยอม เพราะต้องอาศัยหนังสือของสมเด็จเจ้าพระยา ฯ เปนต้นฉะบับอยู่ด้วยกัน"
เข้าใจว่าจะทรงได้ข้อมูลบอกเล่ามาโดยไม่เคยเห็นฉบับจริง จึงจินตนาการเลยเถิดกลายเป็นตำนานชวนเชื่อไปในที่สุด
๗
สรุป
๑ การจับเท็จนั้นยากเย็น ข้อความแค่ ๖๒ ตัวอักษร ต้องใช้ ๑๗๓๗ ตัวอักษรมาหักล้าง
๒ พระนิพนธ์ในฐานะพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ สมควรตรวจสอบชำระด้วยมาตรฐานวิชาการอย่างเข้มงวด ทั้งหมด
๓ คนรุ่นหลังจะแบกรับภาระนี้ได้หรือไม่ เป็นยะถากรรมที่สังคมไทยต้องเผชิญ
บรัดเลและสมิทแบ่งต้นฉบับกันตีพิมพ์ จริงหรือ
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวางพระมติไว้ว่า เหตุที่หมอบรัดเลพิมพ์แต่หนังสือร้อยแก้ว และสมิทพิมพ์แต่บทกลอนนั้น
เป็นเพราะสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ไกล่เกลี่ย
ทรงอธิบายว่าเมื่อต้นรัชกาลที่ห้า โรงพิมพ์หลวงต้องรับพิมพ์งานราชการเพิ่ม จึงงดพิมพ์เรื่องจีน "คงพิมพ์หนังสือเรื่องต่าง ๆ ขายแต่
โรงพิมพ์หมอบรัดเลกับโรงพิมพ์หมอสมิธ ต่างไปขอต้นฉะบับที่สมเด็จเจ้าพระยาฯ ท่านจึงไกล่เกลี่ยให้หมอบรัดเลเอาแต่หนังสือ
จำพวกความร้อยแก้ว เช่นเรื่องพงศาวดารจีนไปพิมพ์ ส่วนหมอสมิธให้พิมพ์หนังสือจำพวกบทกลอน ต่างคนต่างพิมพ์มาเช่นนั้น
หลายปี"
https://vajirayana.org/ตำนานหนังสือสามก๊ก/๔-ว่าด้วยพิมพ์หนังสือสามก๊กภาษาไทย
คำอธิบายนี้ ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลสอดรับกัน น่าเชื่อถือ จึงเชื่อกันมาจนถึงบัดนี้
ทั้งที่มีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหลายประการ บางข้อดูเหมือนชี้ไปในทางตรงกันขัามด้วยซ้ำ
ถ้าจะมีการแบ่งต้นฉบับจริง ก็หมายความว่าในปี ๒๔๑๔-๕ เมื่อโรงพิมพ์หลวงหยุดพิมพ์พงศาวดารจีนแล้ว หมอบรัดเลกับครูสมิท
จึงพากันไปพบสมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หาข้อยุติเรื่องต้นฉบับการพิมพ์ การที่ผู้สำเร็จราชการฯ
ต้องลงมาตัดสินปัญหายิบย่อยระดับนี้ คงจะเชื่อยากสักหน่อย แต่หากจะไม่เชื่อแล้ว ต้องทำอย่างไร
ข้อพิจารณาต่อไปนี้ น่าจะช่วยให้ไม่เชื่อได้ กระมัง?
---------------------
๑
ผู้สร้างความนิยม
พระนิพนธ์ข้างต้นชวนให้เข้าใจว่า โรงพิมพ์หลวงมีบทบาทสำคัญในการพิมพ์พงศาวดารจีน เมื่อหยุดพิมพ์จึงเป็นโอกาสให้โรงพิมพ์
อื่นๆ เข้ามารับช่วงต่อ แต่ข้อเท็จจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ แท้จริงแล้วโรงพิมพ์หลวงต่างหากเป็นผู้เดินตามความนิยม"อ่าน"เรื่องจีนที่
หมอบรัดเลสร้างขึ้น แต่ทำตามเพียง ๔ ปีก็หยุด ส่วนโรงพิมพ์หมอบรัดเลยังคงใช้เวลากว่า ๒๖ ปี (๒๔๐๖-๒๔๓๒) พิมพ์พงศาวดาร
จีนถึง ๑๙ จาก ๒๙ เรื่องที่พิมพ์ในรัชกาลที่ห้า
ช่วงสั้นๆ ที่โรงพิมพ์หลวงพิมพ์พงศาวดารจีนอยู่นั้น หมอบรัดเลก็กำลังจัดพิมพ์สามก๊กให้ครบชุด (มี ๔ เล่ม) แล้วเริ่มพิมพ์เลียดก๊ก
(๒๔๑๓) ต่อด้วยไซ่ฮั่น (๒๔๑๕) หนังสือเหล่านี้เปลี่ยนสังคมไทยช่วงปลายรัชกาลที่สี่มาสู่ต้นรัชกาลที่ห้า จากวัฒนธรรมการฟัง
และดู มาเป็นวัฒนธรรมการอ่าน ทั้งโรงพิมพ์หลวงและโรงพิมพ์บางคอแหลมของครูสมิท ต่างได้อานิสงส์ความเปลี่ยนแปลงนี้ ร่วม
กันสร้างอุตสาหกรรมการพิมพ์ขึ้นมาอย่างจริงจัง โดยมีแนวทางทำงานเป็นของตนเอง
เรื่องนี้เกิดก่อนปี ๒๔๑๔-๕ ที่เชื่อกันว่ามีการแบ่งต้นฉบับ หลายปี
๒
ระยะเวลาในการพิมพ์
ความเข้าใจผิดยังอาจมาจากการที่ทรงไม่เข้าใจกระบวนการพิมพ์ เมื่อทรงแสดงเพียงปีแรกจำหน่ายของหนังสือแต่ละเรื่องไว้ ทำให้
เมื่อเรียงปีกันแล้ว กลายเป็นความเข้าใจดังนี้
พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๔ โรงพิมพ์หลวงพิมพ์ หงอโต๋ ซวยงัก น่ำซ้อง และเม่งเฉียว
พ.ศ. ๒๔๑๓ โรงพิมพ์หมอบรัดเลพิมพ์ เลียดก๊ก
จึงเข้าใจไปได้ว่า ในช่วงเดียวกันนั้นโรงพิมพ์หลวงสามารถพิมพ์เรื่องจีนได้ถึง ๔ เรื่อง แต่หมอบรัดเลพิมพ์เพียง ๑ เรื่องเท่านั้น
จำนวนเปรียบเทียบเช่นนี้ ย่อมทำให้เข้าใจบทบาทของโรงพิมพ์แต่ละแห่ง ผิดไปอย่างช่วยไม่ได้
อันที่จริง การพิมพ์ในยุคนั้นใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จสักเล่ม มีข้อมูลว่ากฎหมายนายโหมดเล่มเดียว ใช้เวลาทำถึง ๓ ปี
https://www.silpa-mag.com/history/article_18383
ส่วนอักขราภิธานศรับท์ เริ่มทำตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๐๔ กว่าจะพิมพ์สำเร็จเป็นเล่มก็นานถึงพ.ศ.๒๔๑๖ ใช้เวลา ๑๒ ปี
http://legacy.orst.go.th/?knowledges=อักขราภิธานศรับท์-ของ-หม
สามก๊กหนึ่งชุดมี ๔ เล่มจึงไม่ได้เสร็จพร้อมกัน ท่านชี้แจงว่า "แต่เดิมข้าพเจ้าคิดว่า การที่จะทำหนังสือสามก๊กนี้, ให้สำเร็จได้ใน
ปีหนึ่ง... การทำสามก๊กจึงช้าไปกว่าจะได้เล่มหนึ่ง, หาเหมือนกับสัญญาไม่. ...ตั้งแต่นี้ข้าพเจ้าจะเร่งทำเล่มสองต่อไป, ถ้าสำเร็จ
ลงเมื่อใด, ข้าพเจ้าจึ่งจะเป่าประกาศต่อภายหลัง เชิญมาซื้อเถิด"
https://fliphtml5.com/wcezx/cqvm/01สามก๊กฉบับหมอบรัดเล/
ท่านอ้างเหตุการออก "บางกอกรีคอเดอ" ในปี ๒๔๐๗ ทำให้ล่าช้า จึงทราบว่าคงเริ่มการพิมพ์ก่อนหน้านั้นแล้ว ใช้เวลากว่า ๒ ปี จึง
สำเร็จหนึ่งเล่ม ครบ ๔ เล่มคงต้องใช้เวลา ๔-๕ ปีเป็นอย่างน้อย ประมาณการเวลาจึงเป็นดังนี้
พ.ศ.๒๔๐๖ หมอบรัดเลเริ่มกระบวนการจัดพิมพ์สามก๊ก
พ.ศ.๒๔๐๗ มีงานพิมพ์บางกอกรีคอเดอและอื่นๆ แทรกเข้ามา
พ.ศ.๒๔๐๘ สามก๊กเล่มที่ ๑ พิมพ์สำเร็จ
พ.ศ.๒๔๐๙ พิมพ์สามก๊กเล่ม ๒
พ.ศ.๒๔๑๐ พิมพ์สามก๊กเล่ม ๓
พ.ศ.๒๔๑๑ พิมพ์สามก๊กเล่ม ๔
ปีเดียวกันนี้โรงพิมพ์หลวงเพิ่งเริ่มพิมพ์หงอโต๋ เป็นพงศาวดารจีนเรื่องแรกที่จัดพิมพ์
พ.ศ.๒๔๑๒ เริ่มการพิมพ์เลียดก๊ก
โรงพิมพ์หลวงพิมพ์ซวยงัก
พ.ศ.๒๔๑๓ พิมพ์เลียดก๊กเล่ม ๑
พ.ศ.๒๔๑๔ พิมพ์เลียดก๊กเล่ม ๒-๓
โรงพิมพ์หลวงพิมพ์น่ำซ้อง และ เม่งเฉียว แล้วหยุดพิมพ์พงศาวดารจีน
พ.ศ.๒๔๑๕ พิมพ์เลียดก๊กเล่ม ๔-๕ เริ่มการพิมพ์ไซ่จิ้น
พ.ศ.๒๔๑๖ ไซ่จิ้นพิมพ์สำเร็จ
เห็นได้ว่า การพิมพ์พงศาวดารจีนของหมอบรัดเลมีลำดับการทำงานที่ชัดเจน ใช้เวลาถึง ๑๐ ปี ทั้ง ๓ มีเรื่องราวต่อเนื่องกัน โดยมี
สามก๊กเป็นแกนกลาง ในระหว่างพิมพ์แม้จะมีโรงพิมพ์หลวงแทรกเข้ามาแย่งตลาด ก็ไม่มีผลกระทบกับแผนงานแต่อย่างใด
๓
ขนาดของสิ่งพิมพ์
มีรายละเอียดควรคำนึงถึงเกี่ยวกับจำนวนต้นฉบับแปลที่ถูกใช้ อันมีผลกับการพิมพ์ จึงควรพิจารณาร่วมกันไปด้วย
พงศาวดาร ๓ เรื่องมาจากต้นฉบับรวมกัน ๒๘๓ เล่มสมุดไทย (สามก๊ก ๙๕ เลียดก๊ก ๑๕๓ ไซ่จิ้น ๓๕ เล่ม)
แต่ ๔ เรื่องของโรงพิมพ์หลวง มาจากต้นฉบับเพียง ๑๒๙ สมุดไทยเท่านั้น ต่างกันถึง ๑๕๔ เล่ม
หมอบรัดเลใช้ต้นฉบับสมุดไทย ๒๔ เล่มพิมพ์เป็น ๑ เล่มสมุดฝรั่ง ชุดพงศาวดารจีนสามเรื่องแรกจึงเป็นหนังสือ ๑๑ เล่ม
โรงพิมพ์หลวงกลับจัดต้นฉบับไม่แน่นอน เม่งเฉียว ๑๗ เล่มสมุดไทยพิมพ์เป็น ๒ เล่มสมุดฝรั่ง แต่น่ำซ้อง ๕๔ เล่มสมุดไทยก็พิมพ์
เป็น ๒ เล่มสมุดฝรั่งเหมือนกัน ทั้งที่ปริมาณห่างกันกว่า ๓ เท่า ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีขนาดไม่ยาวก็สามารถพิมพ์ให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว
เพียง ๔ ปี จึงพิมพ์เป็นหนังสือได้ถึง ๘ เล่ม แต่ถ้าใช้มาตรฐานหมอบรัดเล จะพิมพ์ได้เพียง ๕ เล่มเศษเท่านั้น
หากใช้จำนวนสิ่งพิมพ์โดยไม่ตรวจสอบอย่างรอบด้าน อาจตีความผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว
๔
บทบาทของหมอบรัดเล
หมอบรัดเลเกิดพ.ศ. ๒๓๔๗ ถัาคิดว่าไปเจรจาแบ่งต้นฉบับในปี ๒๔๑๕ อายุก็จะย่าง ๖๘-๖๙ แล้ว
ที่จริงในช่วงนั้น ท่านวางมือให้ภรรยาและบุตรชายรับช่วงกิจการ ตัวเองรับภาระเพียงดูแลการจัดพิมพ์ "อักขราภิธานศรับท์" เท่านั้น
แม้กระนั้น กว่าจะพิมพ์เสร็จ ท่านก็ถึงแก่กรรมไปเสียก่อนในวัย ๖๙
http://legacy.orst.go.th/?knowledges=อักขราภิธานศรับท์-ของ-ห
ดังนั้น พงศาวดารจีนทั้ง ๒๐ เรื่องของโรงพิมพ์ปากคลองบางกอกใหญ่ หมอบรัดเลอาจมีส่วนเกี่ยวข้องเพียง ๒-๓ เรื่องเท่านั้น แต่
ผลจากการปูทางของท่าน สยามจึงเข้าสู่ยุคแห่งความรู้สาธารณะและการโต้แย้งจากการอ่านได้ในที่สุด
๕
บทบาทของครูสมิท
สมิท ผู้นิยมเรียกตัวเองว่า "ครู" เข้าสู่ธุรกิจการพิมพ์ดัวยแผนงานที่ชัดเจน
พ.ศ.๒๔๑๑ ปีสุดท้ายของรัชกาลที่สี่ สมิทลาออกจากคณะอเมริกัน แบ๊บตืสต์ มาร่วมทุนกับ Thomas S. Andrew ตั้งโรงพิมพ์ที่
บางคอแหลม ท่านเข้าสู่การพิมพ์โดยมีทรัพยากรล้ำค่าในมือ คือนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี ๘๐ เล่มสมุดไทย และนโยบาย
พิมพ์หนังสือราคาต่ำที่ต้องใจมหาชน ลูกค้าของท่านเป็นพวกนิยมความบันเทิง แสวงหาประสบการณ์ที่ต่างจากชีวิตปกติ การเน้น
พิมพ์หนังสือเล่มเล็กๆ เป็นตัวอย่างให้มีผู้ทำโรงพิมพ์ต้นทุนต่ำหลายแห่ง เปิดศักราชใหม่แห่งการเรียนรู้โดยแท้จริง
๖
ต้นฉบับและที่มา
หมอบรัดเลแจ้งในคำนำสามก๊กเล่ม ๑ ว่า "ได้สอบทานถูกต้องกันกับฉบับเจ้าพระยากลาโหมทุกเล่มแลของคนอื่นอีกสองฉบับ"
https://www.samkok911.com/2017/04/dan-beach-bradley-three-kingdoms-2408.html
ส่วนครูสมิทก็พิมพ์สามก๊กแจกในงานศพหมอบรัดเล(๒๔๑๖) โดยแจ้งว่า (ปรับวรรคตอนใหม่โดยผู้เขียน)
"สามก๊กตั้งแต่เล่ม ๙๕ จบ ๗๓ สมุดไท หนังสือพิมพ์สำหรับให้ไว้เปนสิ่งของแจกรฤกในงานพิธีบรรจุศพของหมอปรัดเลผู้ล่วงลับ
พิมพ์ขึ้น ๑๐๐ ฉบับ บางกอก สยาม ที่โรงพิมพ์ครูสมิท ณะ ตำบลบางคอแหลม จุลศักราช ๑๒๓๕"
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=3436.15
จึงหมายความว่า แม้ไม่มีสมเด็จเจ้าพระยาฯ ทั้ง ๒ ท่านก็มีต้นฉบับจากแหล่งอื่นมาตีพิมพ์ได้
กรณีครูสมิท สมเด็จฯ ยังเผยให้เห็นความละเลยในการตรวจสอบข้อมูลอย่างร้ายแรง เมื่อทรงนิพนธ์ว่า
"มีหนังสือสามก๊กหมอสมิธพิมพ์ยังปรากฎอยู่ แต่ว่ามีฉะเพาะเล่มที่ ๑ เล่มเดียว ข้อนี้เปนเค้าเงื่อนให้สันนิษฐานว่า ชรอยหมอสมิธ
เห็นคนชอบซื้อหนังสือสามก๊กก็พิมพ์ขายบ้าง คงเกิดเกี่ยงแย่งกับหมอบรัดเล สมเด็จเจ้าพระยา ฯ จึงไกล่เกลี่ยให้พิมพ์หนังสือคน
ละประเภทดังกล่าว ทั้งสองฝ้ายก็จำยอม เพราะต้องอาศัยหนังสือของสมเด็จเจ้าพระยา ฯ เปนต้นฉะบับอยู่ด้วยกัน"
เข้าใจว่าจะทรงได้ข้อมูลบอกเล่ามาโดยไม่เคยเห็นฉบับจริง จึงจินตนาการเลยเถิดกลายเป็นตำนานชวนเชื่อไปในที่สุด
๗
สรุป
๑ การจับเท็จนั้นยากเย็น ข้อความแค่ ๖๒ ตัวอักษร ต้องใช้ ๑๗๓๗ ตัวอักษรมาหักล้าง
๒ พระนิพนธ์ในฐานะพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ สมควรตรวจสอบชำระด้วยมาตรฐานวิชาการอย่างเข้มงวด ทั้งหมด
๓ คนรุ่นหลังจะแบกรับภาระนี้ได้หรือไม่ เป็นยะถากรรมที่สังคมไทยต้องเผชิญ