เช้านี้หยิบ ราโชมอน มาอ่านอีกครั้ง เป็นวรรณกรรมเรื่องสั้นญี่ปุ่นที่ผมชอบอีกเล่ม
หลายคนน่าจะเคยอ่านหรือเคยดูฉบับภาพยนตร์กันแล้ว
สิ่งที่ผมประทับใจคือการใช้ ราโชมอน (ประตูผี) เป็นสัญลักษณ์ของ liminality คือภาวะกึ่งกลางระหว่างการเลือกว่าจะยังคงเป็น “คนดี” หรือจะยอม “ตกต่ำ” เพื่อเอาตัวรอด
เรื่องนี้เขียนขึ้นหลังสงคราม จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศความสิ้นหวัง ความอดอยาก และการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่
สะท้อนความเสื่อมโทรมของผู้คนที่ถูกผลักให้ละทิ้งศีลธรรม
ตัวละครหลักอย่าง คนทำช้อง และ คนตัดฟืน ต่างก็ใช้ตรรกะสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง แม้ต้องละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ในอีกด้าน พระญี่ปุ่น ก็ทำหน้าที่เสมือนกระจกที่สะท้อน ไม่ใช่มาสอนธรรมะ แต่เพื่อมาเรียนรู้ และทำให้เราเห็นความจริงอีกด้านของมนุษย์
สิ่งที่น่าสนใจคือ จุดต่างเล็กๆ ที่เปลี่ยนปลายทางชีวิต
คนตัดฟืนแม้จะพลาดเพราะความจน ถูกบีบบังคับ แรงกฎกันจากภายนอก อย่างครอบครัว แต่ยังรู้สึกผิดบาป และสุดท้ายเลือกเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผ่านสัญลักษณ์ของการรับชีวิตทารกมาเลี้ยงดู
ตรงกันข้ามกับคนทำช้อง ที่สะท้อนรากความคิดและทัศนคติอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิง
ผมคิดว่า ราโชมอน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสั้นที่อ่านสนุกเท่านันหากแต่เป็นกระจกสะท้อนข้อคิดเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ ได้น่าประทับใจจริงๆครับ
”คนน่ะเขาเห็นสิ่งที่เขาอยากเห็น และพูดสิ่งที่เขาอยากได้ยิน“
(คนตัดฟืนทำท่าจะโต้ตอบ แต่คนทำช้องยกมือขึ้นห้ามแล้วหัวเราะ)
”เฮ้อ! คิดดูมันก็น่าทุเรศเหมือนกันนะ คนเรานี่ ชอบเห็นว่าตัวเอง และคนอื่นเป็นใหญ่เป็นโต เป็นวีรบุรุษบ้างละ เป็นขวัญใจของชาติบ้างละ เป็นขุนโจรบ้างละ เป็นมหาโจรบ้างละ เป็นอะไรก็ได้ขอให้มันใหญ่เข้าไว้ก็แล้วกัน แต่เอาจริงก็เปล่า…“
ริฎวาน ศอลิห์วงศ์สกุล
รีวิวหนังสือ ราโชมอน
หลายคนน่าจะเคยอ่านหรือเคยดูฉบับภาพยนตร์กันแล้ว
สิ่งที่ผมประทับใจคือการใช้ ราโชมอน (ประตูผี) เป็นสัญลักษณ์ของ liminality คือภาวะกึ่งกลางระหว่างการเลือกว่าจะยังคงเป็น “คนดี” หรือจะยอม “ตกต่ำ” เพื่อเอาตัวรอด
เรื่องนี้เขียนขึ้นหลังสงคราม จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศความสิ้นหวัง ความอดอยาก และการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่
สะท้อนความเสื่อมโทรมของผู้คนที่ถูกผลักให้ละทิ้งศีลธรรม
ตัวละครหลักอย่าง คนทำช้อง และ คนตัดฟืน ต่างก็ใช้ตรรกะสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง แม้ต้องละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ในอีกด้าน พระญี่ปุ่น ก็ทำหน้าที่เสมือนกระจกที่สะท้อน ไม่ใช่มาสอนธรรมะ แต่เพื่อมาเรียนรู้ และทำให้เราเห็นความจริงอีกด้านของมนุษย์
สิ่งที่น่าสนใจคือ จุดต่างเล็กๆ ที่เปลี่ยนปลายทางชีวิต
คนตัดฟืนแม้จะพลาดเพราะความจน ถูกบีบบังคับ แรงกฎกันจากภายนอก อย่างครอบครัว แต่ยังรู้สึกผิดบาป และสุดท้ายเลือกเริ่มต้นชีวิตใหม่ ผ่านสัญลักษณ์ของการรับชีวิตทารกมาเลี้ยงดู
ตรงกันข้ามกับคนทำช้อง ที่สะท้อนรากความคิดและทัศนคติอีกขั้วหนึ่งโดยสิ้นเชิง
ผมคิดว่า ราโชมอน ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสั้นที่อ่านสนุกเท่านันหากแต่เป็นกระจกสะท้อนข้อคิดเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ ได้น่าประทับใจจริงๆครับ
”คนน่ะเขาเห็นสิ่งที่เขาอยากเห็น และพูดสิ่งที่เขาอยากได้ยิน“
(คนตัดฟืนทำท่าจะโต้ตอบ แต่คนทำช้องยกมือขึ้นห้ามแล้วหัวเราะ)
”เฮ้อ! คิดดูมันก็น่าทุเรศเหมือนกันนะ คนเรานี่ ชอบเห็นว่าตัวเอง และคนอื่นเป็นใหญ่เป็นโต เป็นวีรบุรุษบ้างละ เป็นขวัญใจของชาติบ้างละ เป็นขุนโจรบ้างละ เป็นมหาโจรบ้างละ เป็นอะไรก็ได้ขอให้มันใหญ่เข้าไว้ก็แล้วกัน แต่เอาจริงก็เปล่า…“
ริฎวาน ศอลิห์วงศ์สกุล