คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 3.1

อนุสสติ 3 ตอนที่ 3

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระโยคาวจรทั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐาน และสมาทานศีลแล้ว วันนี้จะขอพูดเรื่อง กายคตานุสสติ มรณานุสสติ และ อุปสมานุสสติ ทั้ง ๓ ประการ เพราะว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสสติทั้ง 3 ประการนี้ จุดพิสดารก็มีอยู่เฉพาะ กายคตานุสสติ เท่านั้น เท่าที่พูดมาแล้ว หวังว่าบรรดาท่านทั้งหลายคงจะพอมีความเข้าใจ ทั้งนี้ถ้าหากว่าท่านฟังแล้วจะใช้สัญญาเป็นสำคัญ โดยไม่ใช้ปัญญาประกอบ จะพูดให้ละเอียดย่อมเป็นไปไม่ได้ หากกว่าใช้สัญญาความจำอย่างเดียว จะพูดให้ละเอียดเพียงใดประโยชน์ก็ไม่เกิด ฉะนั้นเมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายรับฟังไปแล้ว จงใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญด้วย และใช้สัญญาด้วยประกอบกันจึงจะมีผล

สำหรับวันนี้ก็จะขอนำเอา มรณานุสสติกรรมฐาน กับ อุปสมานุสสติกรรมฐาน บวกกับ กายคตานุสสติ และบวกกับ สักกายทิฏฐิ เอาประมวลกัน ทั้งนี้ถ้าหากว่าจะแยกกันก็เสียเวลา เพราะว่าเวลาปฏิบัติจริง ๆ เขารวมกัน เริ่มตั้งแต่อานาปานุสสติ มาถึง พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ นี่อย่างนี้เป็นต้น เขาก็รวมกันมาเรื่อย ๆ เอาใจน้อมเข้าไปในคราวเดียวผสมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบื้องปลายที่จะเข้าถึงอรหัตตผลได้ ต้องเน้นหนักในกายคตานุสสติ มรณานุสสติ และอุปสมานุสสติ ถ้าไม่เน้นหนักตอนนี้ การปฏิบัติไม่มีผลถึงที่สุด

สำหรับกายคตานุสสติ ก็พูดมาแล้วพอสมควร เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า ร่างกายนี้ประกอบด้วยอาการ 32 มีธาตุ 4 เป็นพื้นฐาน มีความสกปรกเป็นที่ทรงตัว แล้วก็พิจารณาต่อไป ว่าร่างกายนี้เมื่อสภาพมันเป็นอย่างนี้แล้ว มันจะทรงตัวได้หรือเปล่า เมื่อหาความจริง ถ้าใช้ปัญญาไม่พบ ก็จงดูตัวอย่างคนที่เขาเกิดก่อน คือสภาพของร่างกายไม่มีการทรงตัว มีการเสื่อมไปเป็นปกติ ไอ้เสื่อมก็คือแก่ ตามที่พูดมาแล้วในตอนต้น เห็นจะเป็นเรื่องของ ธรรมวิภาค ว่า

เมื่อเกิดแล้วเรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้

แล้วก็เราต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้

แล้วมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้

เรามีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นอาการอย่างนี้ไปได้

ฉะนั้นถ้าหากว่าในเวลาที่ทรงตัวอยู่ เราทำความดี ผลดีก็ให้ผลเป็นสุข ถ้าเราทำความชั่ว ผลของความชั่วก็ให้ผลเป็นทุกข์ อันนี้เราก็มาเลือกสุข

เมื่อร่างกายมันมีสภาพเป็นอย่างนี้ เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมัน ในเมื่อเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงไปได้ เราควรจะทำยังไง เราก็วางอารมณ์ไว้ ว่าร่างกายปกติ มันแก่ลงไปทุกวัน ในเมื่อความแก่ปรากฏเราจะทำใจยังไง ความจริงเราควรจะทำใจไว้ก่อน สร้างความรู้สึกไว้ก่อนว่า ความแก่เป็นปกติธรรมดาของร่างกาย เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาพของคนแก่เป็นยังไง ผมหงอก ฟันหัก ตาฟาง หูตึง ร่างกายไม่ดี หนังเหี่ยวย่น เป็นอันว่าความจำก็เสื่อม สติสัมปชัญญะก็เลวทราม ร่างกายก็ใช้งานไม่สะดวก

นั่งมองดูความแก่ของคนอื่นเขาไว้ก่อน ว่าสภาพของความแก่ของเขาเป็นยังไง แล้วก็จงคิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า อาการอย่างนี้มันจะปรากฏกับเรา ในเมื่ออาการอย่างนั้นปรากฏ เราจะสร้างความรู้สึกยังไง เราจะเสียใจ เราจะทุกข์ใจ เราจะเศร้าใจ เพราะความแก่เข้าครอบงำอย่างนั้นรึ ถ้าเราทำอารมณ์ใจอย่างนั้นก็ไม่ถูก ต้องใช้อุเบกขาในขั้น สังขารุเปกขาญาณ อุเบกขาตัวนี้เป็นสังขารุเปกขาญาณจริง ต้องวางเฉยในมัน เพราะว่าถ้ามันจะแก่ ในเมื่อเราห้ามความแก่ไม่ได้ เราจะเสียใจ เศร้าใจ มันก็ไม่เกิดประโยชน์

ก่อนที่จะวางเป็นสังขารุเปกขาญาณ เราก็มานั่งนึงดูว่าร่างกายนี้น่ารัก น่าชมไหม ที่เราพยายามเลี้ยงดูด้วยประการทั้งปวง ประคบประหงมด้วยเหตุต่าง ๆ หาอาหารให้ ให้ยารักษาโรค ให้เครื่องประดับ ให้สถานที่อยู่ บำรุงบำเรอควานสุขทุกอย่าง แต่ทว่าเราไม่ต้องการให้มันแก่ มันกลับจะแก่ จุดนี้ต้องตั้งไว้ในเขตของ นิพพิทาญาณ คือสร้างความเบื่อหน่ายว่าขันธ์ 5 ประเกทนี้มันเป็นรขงใม่ดี ถ้าเป็นเพื่อนเราก็ต้องเลิกคบ เพราะว่าเป็นเพื่อนที่อกตัญญูไม่รู้คุณ ไม่รู้จักสนองคุณเราบ้าง เอาเปรียบเราอย่างเดียว เราปรนเปรอทุกอย่าง แต่เพื่อนไม่เอาใจเราเลย ให้เราเป็นฝ่ายเอาใจแต่ผู้เดียว อย่างนี้เราก็ต้องเลิกคบกัน

สำหรับขันธ์ 5 คือร่างกายก็มีสภาพเดียวกัน ในเมื่อเราปรนเปรอมันทุกอย่าง มันก็แก่ มันก็เสื่อม มันทรุดโทรมทุกอย่าง เราจะบำรุงยังไง มันก็ไม่มีอาการทรงตัว ตอนนี้สร้างความเบื่อหน่ายให้เกิด ว่าถ้าเราจะเกิดขันธ์ 5 แบบนี้อีกต่อไป สภาวะร่างกายมันก็ทรงแบบนี้ เราก็ไม่ต้องรู้จักหยุดจากความลำบาก ในเมื่อความเบื่อเกิดขึ้นในการเกิด ท่านเรียกว่านิพพิทาญาณ เบื่อที่จะมีขันธ์ 5 เบื่อที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างในโลก

ในเมื่อนิพพิพาญาณมันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ระวังใจของคนที่อยากจะฆ่าตัวตายเพราะเบื่อหน่าย อันนี้ทำไม่ถูก ทำอย่างนั้นไม่ถูก ต้องใช้ สังขารุเปกขาญาณ เข้ามาคุม ในเมื่อเราเบื่อมัน แต่ทว่ามันเกิดมาแล้ว ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องปล่อยมันไป ปฏิบัติทุกอย่างตามใจมันตามหน้าที่ แต่กำลังใจของเรานี้รู้สึกรังเกียจในมัน มันอยากจะแก่ ก็เชิญแก่ อันนี้ถึงเวลาป่วยเกิดขึ้น เราก็มองดู ว่านี่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว แก่ไม่พอ ก็ยังจะหาเรื่อง สร้างความเสียดแทงให้เกิดทุกขเวทนา จะป้องกันยังไงมันก็ไม่ยอมรับฟัง ร่างกายอย่างนี้ควรเป็นที่น่าปรารถนาของเราอีกหรือยังไง เรียกว่าน่ารักหรือว่าน่าเกลียด น่าพอใจ หรือว่าน่าเบื่อ เมื่อพิจารณาไปจริง ๆ แล้ว มันก็น่าเบื่อหน่าย น่ารังเกียจ

เพราะว่าถ้าเราจะเกิดอีก สภาพอย่างนี้ก็ปรากฏ เมื่อเราเบื่อในมัน จิตใจเป็นยังไง เบื่อเป็นนิพพิทาญาณแต่เราก็ต้องใช้สังขารุเปกขาญาณเพราะว่าเราสร้างความโง่ เราคบความใง่ให้มันเกิดขึ้นมา เพราะอาศัยตัณหาเป็นเหตุ ตัณหาที่สำคัญคือความทะยานอยากในปัจจัยของความเกิด นั่นก็คือความอยากมีคู่ครอง ความอยากรวย อยากสวย อยากโกรธ อยากเกลียด อาการอยากอย่างนี้มันเป็นปัจจัยที่เรียกว่า ตัณหา ดึงให้มันเกิด

อุปาทาน มีความยึดมั่น ว่าการเกิดเป็นคนเป็นของดี นี่ไอ้ตัวยึดมั่น

อกุศลกรรม ในเมื่อจิตคิดผิด การกระทำก็ทำแบบผิด อกุศล แปลว่า ไม่ฉลาด ทำทุกอย่างเนื่องในความรักคือในกามารมณ์ คือพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ทำทุกอย่างในเรื่องของความโลภโมโทสัน ทำทุกอย่างในเรื่องการรังเกียจความโกรธ หลงทุกอย่างที่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเราเป็นของเรา โดยที่เราไม่ได้คิดว่าเรากับมันจะจากกัน

นี่เพราะอาศัยความโง่ แบบนี้ที่เราคบมันในอดีตชาติ มันจึงเป็นปัจจัยให้เราเกิดความทุกข์ คือคบกับขันธ์ 5 ที่ไม่มีความจริงจัง

ฉะนั้นเมื่อเรารู้เหตุว่าตัณหาเป็นเหตุ เพราะอาศัยความอยาก พอใจ อยากได้ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส แล้วก็อยากรวย อยากโกรธ อยากยึด เมื่อเราทราบว่าตัวอยากมันไม่ดีเสียแบบนี้เราก็เลิกอยาก เลิกอยากตัวไหน เลิกอยากขันธ์ 5 ตัวเดียว เลิกอยากเกิดเสียตัวเดียวทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ระงับหมด

เป็นอันว่าเราก็กำหนดใจว่า ขึ้นชื่อว่าความยากลำบากกาย ลำบากใจที่มีอยู่ในเวลานี้ เพราะมีขันธ์ 5 เป็นตัวตั้งตัวตี ก็เพราะอาศัยความอยากเป็นสำคัญ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขึ้นชื่อว่าอยากมีขันธ์ 5 ไม่มีสำหรับเรา ความต้องการขันธ์ 5 คือร่างกายของบุคคลอื่นเพื่อมาเป็นคู่ครอง ไม่มีสำหรับเรา เพราะมันปัจจัยแห่งความทุกข์ การยึดถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก วัตถุธาตุต่าง ๆ เป็นเราเป็นของเราไม่มีมันเป็นเครื่องอาศัยชั่วคราว เมื่อยังมีลมปราณเท่านั้น

(มีต่อ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง อนุสสติ 3 ตอนที่ 3.2 https://pantip.com/topic/43713574)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่