ตามรอย ไทม์ไลน์วิวัฒนาการผีเสื้อ ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ Part 2

Part 1 -> https://pantip.com/topic/43697117

เราได้เดินทางมาถึงต้นยุคครีเทเชียส
เป็นช่วงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- กำเนิดดอกไม้ (Angiosperm) แทนที่เมล็ดเปลือย (Gymnosperm)
- ดอกไม้ออกแบบตัวเองล่อตาล่อใจให้สัตว์ต่างๆ ช่วยแพร่พันธุ์
- เลพีโด มีหลอดดูดน้ำหวาน (Proboscis) ที่ยืดยาว
วิวัฒนาการร่วมดอกไม้กันมา ลงซ่อนลึกเพียงใด ฉันก็พร้อมทะลวง


- ความหลากหลายสิ่งมีชีวิตพุ่งทะยาน ตั้งแต่พืช ตลอดถึงนักล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แมลง นก และ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
- โมเดลนึง ที่ธรรมชาติเรียนรู้ตั้งแต่จูราสสิค คือความหลากหลายสิ่งมีชีวิตจะยั่งยืนได้ด้วยการไม่ "กินมั่ว"
ไม่งั้นไปไหนก็มีแต่รบราฆ่าฟันแย่งอาหาร ได้ตายก่อนจะพร้อมมีลูกหลานพอดี
พร้อมกันนั้น แหล่งอาหารที่ตั้งในทำเลดีก็คงถูกโหมกระหน่ำบุฟเฟต์ เมล็ดไม่ได้ลืมตาอ้าปากเป็นแน่แท้

หากแต่เป็น ต้องมีอาหารเฉพาะของตัวเอง
ก็ได้ปรับแต่งให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ในระยะหลังคือถึงขั้น ดอกไม้นี้ต้องถูกแพร่พันธุ์โดยสัตว์นี้หนึ่งเดียวเท่านั้นกันเลย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกิดการลองผิดลองถูกมากมายขึ้นในช่วง 140 mya จนเปรียบดั่งยุคทองแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมแห่งวิวัฒนาการ
ไม่เว้นแม้ในเลพีโด ที่แตกออกเป็นแขนงต่างๆ พร้อมๆกัน ทั้ง เจาะเข้าไปอยู่ในใบไม้ แทะใบสด ย่อยสลายใบเน่าบนพื้น



8 Family Mnesarchaeidae
Fossil Record (FR) : 130-110 mya
Etymology (E) : Mnēsis (ความทรงจำ) + Archaios (โบราณ)
เป็นกลุ่มใหม่แต่เหมือนว่าจะช้ากว่าใครเขา ยังคงความลักษณะบรรพบุรุษอยู่มาก
ทั้ง ตัวเล็ก หลอดงวงอ่อนแอ เกล็ดสีโลหะทื่อๆ ไม่มีเม็ดสีมากนัก
เอกลักษณ์ของนิวซีแลนด์เลยหละ ความ ฟอสซิลมีชีวิต
ด้วยลักษณะ คงสภาพป่าฝนแห่งกอนวานา
เพราะพืชดอกพัฒนาช้ากว่าที่ใด


Mnesarchella acuta

มีหลอดงวงที่สั้น แถมยังมีปากเคี้ยวอยู่เลย หนวดยาวตามแบบ 7th
แอคทีฟตอนกลางวันมากกว่ากลางคืนไปอีก
ยังคงออกมาช่วงแสงรำไรนะ แต่แบบ มีเอเนอจี้สูงตอนสว่าง
ในขณะที่ตัวอ่อน สร้างรังไหมอยู่ตาม มอสส์ (Moss) ลิเวอร์เวิร์ต (Liverwort) และ เศษซากอินทรีย์ (Detritus) บนพื้น

ใช้ปากเคี้ยวอาหารบนดินเป็นหลัก ส่วนหลอดงวงมีเพียงสำหรับจิบน้ำตามสาหร่าย (Microalgal film)



ต้นยุคครีเทเชียส นักล่ากำเนิดใหม่มีมาก แน่นอนว่าการระวังตัวก็ต้องอัพเกรด
ภูมิใจเสนอ ปีกแบบใหม่ เทคโนโลยี กระพือเงียบกว่าเคย
เป็นที่มาของ Superfamily Hepialoidea (9th - 13th)
มาจาก Hepialos แปลว่า ผี
โผล่มาแบบไม่ตั้งตัว

9 Family Prototheoridae
FR : N/A
E : Proto (ออริจินอล) + Theoros (สังเกตุ)
ยังคงเป็นที่ถกเถียง เนื่องจากฟอสซิลที่พบ (และหายากมาก) คือช่วง 160-150 mya และการพบที่แอฟริกา ยิ่งชี้ชัดว่ามีมาตั้งแต่เวลาของมหาทวีปกอนวานาแห่งจูราสสิค แต่จากโครงสร้างระดับโมเลกุล เหมือนว่ามอทผีจะมาทีหลังครับ

Prototheora spp.

ลายเส้นบนปีก (Wing venation) มีความซับซ้อนที่น้อยลง เพราะจะบินเบา ปีกก็ต้องเบา
เน้นกระพือช้าและร่อนไป จึงไม่ต้องมีเส้นเลือดปีกมาก ได้ประหยัดพลังงานด้วย
พบอยู่ใน แถบพุ่มดอกไม้เปิดโล่งภูมิอากาศเมดิเตอร์เรเนียนของแอฟริกาตอนใต้ (Fynbos)

ซึ่งเป็นที่แร่ธาตุน้อย ตัวอ่อนจึงลงดินดูดกินหัวรากพืชใต้ดิน และตัวอ่อนขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อสะสมอาหารให้มากพอก่อนโผบิน
ตัวเต็มวัยไม่กินอาหาร ขึ้นมาเพื่อเร่งผสมพันธุ์แล้วตายจาก
มีตาที่ใหญ่ขึ้น จะได้ลดเวลามองหาคู่ และนี่คงยิ่งตอบโจทย์ว่าทำไมเป็น Theoros ? ก็จากนี่เลยครับ ตาใหญ่ดี ดูเป็นผู้จับจ้องคอยสังเกตุ
รวมถึงมีกล้ามเนื้ออกใหญ่ขึ้น เพราะเกี้ยวพาราณสีกลางอากาศ (Hovering courtship) จึงต้องแข็งแรง

ทำไมถึงวิวัฒนาการเกี้ยวกลางอากาศ ?
การเกี้ยวดังกล่าว คือการที่ตัวผู้บินผาดโผนเหนือ แปลงพืชผัก (Vegetation) ในช่วงพลบค่ำหรือรุ่งอรุณ เป็นเวลาที่อุณหภูมิไม่สูงมากและมีลมอ่อน ทำให้ฟีโรโมน (Pheromone) แพร่กระจายได้มีประสิทธิภาพที่สุด และตัวเมียเองก็หาแสงวาบสะท้อนจากปีกได้ไม่ยาก มีประโยชน์ต่อการหาคู่ให้ไว จำเป็นยิ่งต่อข้อจำกัดบินได้ไม่นาน จากทั้งปีกที่บางและการต้องใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุดเพราะกินไม่ได้แล้ว



10 Family Palaeosetidae
FR : N/A (คาดว่า 130-110 mya)
E : Palaeo (โบราณ) + Seta (ขนแข็ง)
มีขนแข็ง (Bristle) บนปีก


Ogygioses eurata

พบในหางแถวกอนวานา (Gondwana remnant) อย่าง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปาปัวนิวกินี ออสเตรเลีย

เหมือนเดิม เพิ่มเติมแค่ย้ายที่กับปีกมีขนแข็งเพิ่มมาหน่อย
จะได้คุมการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



11 Family Neotheora
FR : N/A (คาดว่า 110-100 mya)
E : Neo (ใหม่) + Theoros
พบในโลกใหม่ (New world) โดยเฉพาะที่ ชิลี

ทั้งวงศ์มีอยู่สายพันธุ์เดียวเลยครับ คือ มอทผีโบราณอเมซอน (Amazonian primitive ghost moth, Neotheora chiloides) และไม่มีรูปครับ
เหตุผลที่แยก หลักๆก็คือ อยู่คนละที่ และปีกเล็กลงกว่า 10th มากพอสมควร เพื่อปรับเป็นสัดส่วนปีกต่อหน้าอกให้เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศและอากาศ ป่าไม้เขตอบอุ่น (Temperate forest) ของอเมริกาใต้



12 Family Anomosetidae
FR : N/A (คาดว่า 100-90 mya)
E : Anomos (ผิดปกติ) + Seta
การเรียงขนแข็งมีความไม่สมมาตรบางประการ
มีแค่สายพันธุ์เดียว พบที่ควีนส์แลนด์
มีลายเส้นบนปีกที่น้อยลงไปอีกมาก และ มีการสร้างรังไหมใต้ดิน

หนอนผีเสื้อไม่กินหัวพืชใต้ดินแล้วครับ แต่มากินหญ้าแทน ซึ่งสอดคล้องกับวิวัฒนาการพืชช่วงปลายครีเทเชียส ที่หญ้าขึ้นเยอะมาก จากการที่อุณหภูมิโลกพุ่งทะยานสูงขึ้นจากภูเขาไฟระเบิดมากมาย มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนาแน่นเต็มชั้นบรรยากาศ ทำให้พืชดอกเติบโตช้าลง และกำเนิดพืชที่ทนต่อความกันดารเก่งขึ้นอย่าง หญ้า มาแทน



เอาหละ ถึงเวลาของตัวจริงแล้ว ชื่อวงศ์ลูกที่แท้จริงของ Superfamily Hepialoidea

13 Family Hepialidae
FR : 90-70 mya
E : Hepialos

เริ่มกำเนิดช่วงปลายของยุคครีเทเชียส หรือก็คือยุค (Period) สุดท้ายแห่งมหาสมัย (Era) เมโซโซอิก
แต่ความหลากหลายจริงๆ พุ่งทะยานในมหาสมัยถัดไปคือ เซโนโซอิก ที่หญ้าขึ้นปกคลุมไปทั่วหนแห่ง
ด้วยความที่เบสกินหญ้ามาแล้ว ก็ไปต่อสวยๆ เลยครับ ปัจจุบันมีมากกว่า 600 สปีชีส์ทั่วโลก จากทั้ง 82 สกุล (Genus)


Hepialus humuli, Ghost moth

ยังคงคอนเซปท์เดิม ตัวเต็มวัยหนวดสั้น ไม่กิน อายุขัยสั้น มุ่งผลิตลูก


Korscheltellus fusconebulosa, Map-winged swift moth

ลายเส้นบนปีกยังคงน้อยแบบเดิม แต่การเชื่อมปีกบนกับล่างดีขึ้น กล้างเนื้ออกแข็งแรงขึ้น
อะไรที่มันดี วิวัฒนาการย่อมมุ่งเน้นครับ เกี้ยวกลางอากาศ ประสบความสำเร็จมากขึ้น ก็เลยทำให้บินโฉบได้ดีขึ้นไปอีก


Aenetus virescens, Pepetuna

ส่วนใหญ่ทำรังไหมใต้ดิน แต่บางกลุ่มก็เจาะเข้าเปลือกไม้ เช่น Aenetus spp.

หญ้าแพร่กระจายไปทั่ว เลพีโดก็ตามไปครับ ไม่เพียงแต่อยู่แค่ชายขอบป่า แต่ยังพบใน ทุ่งพุ่มไม้เตี้ยดินทราย (Heath)

และ แนวพุ่มไม้เทือกเขา (Alpine)


การเกี้ยวมีลูกเล่นเพิ่ม ทั้ง บินวนแนวดิ่ง (Column hovering) ขึ้นไปบนเนินสูงต้นลม (Hilltopping) และ บินวนหมุนเป็นพายุร่ายเวทย์ฟีโรโมน (Pheromone plume)



แพร่ไปไกลทั่วดุจดั่งหญ้าในสวนที่ขยายพันธุ์ไวจนสมควรได้โล่
แต่.. จะเป็นผู้พิทักษ์ยอดหญ้าได้อย่างไร ถ้าแรงแทบไม่มี
เหมือนว่าวิวัฒนาการจะค้นพบบั๊กเข้าให้
ว่าหญ้านั้นสารอาหารน้อยเหลือเกิน
แต่ตอนนั้นหญ้ากำลังครองโลก
ก็คงต้องปรับแต่งที่เลพีโดเสียเอง
อะงั้นลดขนาดพวกมันลงแล้วกัน เหลือไม่เกิน 10 มม. ก็พอ ส่วนใหญ่แค่ 2-5 มม. เองด้วยครับ
แล้วก็กลับเข้าไปมุดใบไม้ด้วยเลย จะได้ฟาร์มไนโตรเจน แต่ใบหญ้าน่ะนะ
ตัวกะเปี๊ยกแค่นั้น เป็นเด็กน้อยไปละกัน
แถม กลับมากินได้ มีหลอดดูดจิ๋วไว้จิบน้ำเลี้ยงหญ้า ทรงหลานชาย วิ่งเล่นซนแล้วหิวโหย
นั่นหละครับ ที่มา Superfamily Nepticuloidea (14th - 15th) จาก Nepos ที่แปลว่า หลานชาย

14 Family Nepticulidae
FR : 105-85 mya
E : Nepos + Culus (เล็ก)
มุดใบหญ้า เหลือจะเชื่อ ไม่แปลกใจเลยครับที่ได้สถิติ มอทที่ตัวเล็กที่สุดในโลก
ส่วนใหญ่แล้วตัวอ่อนก็แทะกิน เนื้อเยื่อลำเลียง (Vascular bundle) ในใบครับ
ในระยะหลังก็ปรับไปกินใบอื่นๆด้วยเช่น โอ๊ค (Oak) เบิร์ช (Birch) หลิว (Willow) กุหลาบ (Rose)
ตามคอนเซปท์เดิมเลยครับ จะกินสิ่งเดียวกันซ้ำๆหลายสปีชีส์ ไม่ด๊าย

มี ปีกแคบและปลายแหลมเป็นหอก (Lanceolate wing) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบินไต่ระดับ


Bohemannia quadrimaculella

ยังคงเหลือเค้าโครงเดิมคือตาโต มีสัดส่วนตาต่อขนาดลำตัวที่ค่อนข้างสูง
ลายเส้นปีกหายเกลี้ยง เพราะตัวน้อยเดียว จะเอาซัพพอร์ทไปทำไมกัน



15 Family Opostegidae
FR : 105-80 mya
E : Opo (น้ำเลี้ยงพืช) + Stegē (หลังคา)
ช่วง FR แทบจะปีเดียวกันสนิท ตามๆกันมาเลยนี่หละครับ เพียงแต่เป็นรุ่นเบต้า
เพราะวิวัฒนาการกลัวว่าลดขนาดเหลือเพียง 2-5 มม. คงจะย่อส่วนอย่างเล่นใหญ่ (เอ้ย เล่นเล็กสิค้าบ !) ไปหน่อย

ก็เลยสร้างแผนสำรอง เป็นขนาด 3-6 มม.
ห้ะ ต่างกันแค่นี้ ได้เหรอ ?
ไม่ครับไม่ มันยังมีอะไรมากกว่านั้น

ลองนึกถึงใบหญ้าครับว่ามันบางแค่ไหน องค์ประกอบของใบก็เล็กตามด้วยครับ
ขนาดเฉลี่ยต่างเพียงแค่ 1 มม. ก็สร้างความต่างอย่างมีนัยยะสำคัญนะ
จากที่หาดูดได้แค่น้ำเลี้ยง (Phloem sap) คราวนี้ก็ไปถึงเซลล์สังเคราะห์แสง (Photosynthesis cell) ได้เลย

14th ไม่แข็งแรงพอจะเจาะออกนอก เส้นใบ (Leaf vein)
ทำได้แค่ ขุดอุโมงค์ไปตามเส้นใบ (Serpentine mining)
ข้อจำกัดคือ เส้นใบ มีแต่น้ำ (Xylem water) กับ น้ำเลี้ยงที่มีแค่ น้ำตาล และ กรดอะมิโน (Amino acid)
โปรตีนที่ย่อยได้จริงๆ มีน้อยมาก แถมยังมีกำแพงป้องกัน ไม่ว่าจะ ลิกนิน (Lignin) และ เซลลูโลส (Cellulose) ทำให้เข้าถึงไนโตรเจนยากมาก

15th ต่างออกไปเลยครับ มันไปอยู่ตาม แผ่นใบ (Leaf blade)
ด้วยการขุดอุโมงค์อย่างไม่ถูกจำกัดเส้นทาง (Blotch mining)
ขุมทรัพย์ไนโตรเจน มีอย่างล้นพ้นใน พอร์ไฟริน (Porphyrin)

วงแหวนสารอินทรีย์แห่ง เนื้อเยื่อไทลาคอยด์ (Thylakoid membrane) ซึ่งแทบไม่อาจพบในที่อื่นใดนอกจากแผ่นใบ

ในพาร์ท 3 เราจะยังคงเจาะตัด แต่แอดวานซ์ขึ้น รอติดตามได้เลยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่