ความ*ิบหายของโลกทั้ง 5

กระทู้สนทนา
ปล.กระทู้นี้เป็นงานเขียนส่งอาจารย์ที่สั่งให้เขียนบล็อกอะไรก็ได้ ซึ่งผมเป็นคนที่สนใจเรื่องการกำเนิดโลก วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และไดโนเสาร์ ผมเลยที่มาแชร์เรื่องราวการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ทั้ง 5 ครั้งที่เคยเกิดขึ้นมาบนโลกให้เป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีก
     การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ทั้ง 5 ได้แก่
1.การสูญพันธุ์ในยุคออร์โดวิเชี่ยน-ไซลูเรียน เมื่อราว 444 mya(million years ago) เป็นยุคที่เริ่มมีพืชบก ส่วนสัตว์จะเป็นสัตว์น้ำพวกปลาไม่มีขากรรไกรและไทรโลไบต์ ช่วงนั้นระดับน้ำทะเลเริ่มลดตัวลง ขณะเดียวกันเกิดการยกตัวของเทือกเขาแอปพาลาเชียนส์ที่ประกอบไปด้วยแร่ซิลิเกตจำนวนมากซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับแก๊ส CO2 ทำให้โลกเย็นตัวอย่างรวดเร็วทำให้ทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ปรับตัวไม่ทันทำให้สูญพันธุ์ไปกว่า 85% ของสายพันธุ์บนโลก
2.การสูญพันธุ์ในปลายยุคดีโวเนียน ช่วงราว 375-320 mya เป็นยุคที่สัตว์เริ่มมาอาศัยอยู่บนบก แต่ในช่วงเวลานั้นพืชบกนั้นเติบโตเร็วและมีจำนวนมากเกินไป ทำให้ต้นไม้แย่งอาหารกันหยั่งรากลงไปให้ลึกขึ้นส่งผลต่อการผุพังของหินและดินต่าง ๆ  จนลงไปสู่แหล่งน้ำ เกิดการชะล้างและการละลายของแร่ธาตุลงไปในแหล่งน้ำและมหาสมุทรปริมาณมาก และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวในน้ำเติบโตจนเกิดปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง (Algae Bloom) จนแหล่งน้ำขาดออกซิเจน ส่งผลกระทบกับสัตว์น้ำจำนวนมาก ประกอบกับการเติบโตของพืชบกจำนวนมาก ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศลดลง โลกเย็นตัวลงอย่างเฉียบพลัน นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ถึงเหตุระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล และการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยที่ทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นทะเลสาบซิลจา (Siljan Crater) ในสวีเดนอีกด้วย การสูญพันธุ์ครั้งนี้กินเวลาไปกว่า 15 ล้านปี นับเป็นการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตกว่า 70-80% ของสายพันธุ์บนโลก
3.การสูญพันธุ์ในยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (Permian-Triassic Extinction) ช่วงราว 252 mya คือ การสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกหรือที่เรียกว่า “การตายครั้งใหญ่” (The Great Dying) การสูญพันธุ์ครั้งนี้เกิดจากทวีปที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างพันเจียได้แยกตัวออกทำให้เกิดภูเขาไฟระเบิดทั่วโลก ประกอบกับมีอุกกาบาตพุ่งโลกทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยหิน๓ูเขาไฟและลาวามากมาย ขณะเดียวกันควันภูเขาไฟทำให้เกิดแก๊สเรือนกระจกทำให้เกิดโลกร้อน และเกิดฝนกรดทำลายแร่ธาตุในดินทำให้พืชตาย ทะเลเกิดการปนเปื้อน ซึ่งกวาดล้างสิ่งมีชีวิตไปมากกว่า 95% ของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในช่วงเวลานั้น การสูญพันธุ์ครั้งนั้นเป็นหายนะในยุครุ่งเรืองที่สุดของสัตว์ขาปล้อง นอกจากนี้ยังเป็นจุดจบของวิวัฒนาการที่สำคัญของสัตว์บกอย่างสัตว์เลื้อยคลานที่คล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกด้วย ภายหลังหายนะครั้งนี้ สิ่งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวยาวนานถึง 30 ล้านปีและเปิดโอกาสให้กับสัตว์ในกลุ่มของ “อาร์โคซอร์” (Archosaur) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของไดโนเสาร์ จระเข้ และนก ได้เข้ามามีบทบาทต่อระบบนิเวศของโลกในเวลาต่อมา
4.การสูญพันธุ์ในยุคไทรแอสซิก-จูแรสซิก (Triassic-Jurassic Extinction) เมื่อราว 201 mya เนื่องจากมหาทวีปพันเจียเกิดจากแยกตัวทำให้กระแสน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้อุณหภูมิบนพื้นผิวโลกไม่คงสิ่งมีชีวิตบางส่วนปรับตัวไม่ทัน ประกอบกับอุกกาบาตตกในตอนนั้นซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศฝรั่งเศส และเกิดภูเขาไฟขึ้นเกิดเหตุการณ์คล้ายกับรอบที่แล้วแต่มีช่วงเวลาที่สั้นกว่ามาก ทำให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์ไป 50% ของสิ่งมีชีวิตบนโลก ครั้งนี้สัตว์พวกเธอแรพสิด (Therapsid) และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดใหญ่ในกลุ่มของอาร์โคซอร์ เหลือพวกไดโนเสาร์ไว้ ทำให้ไดโนเสาร์ได้ขึ้นมาคร้องโลกแทน
5.การสูญพันธุ์ในยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน (Cretaceous-Paleogene Extinction) เมื่อราว 66 mya เกิดจากการพุ่งชนโลกของดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 12 กิโลเมตร ด้วยความเร็วกว่า 72,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่บริเวณคาบสมุทรยูคาทัน (Yucatan Peninsula) ใต้อ่าวเม็กซิโก ซึ่งทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า “ชิกซูลูบ” (Chicxulub Crater) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 190 กิโลเมตร ลึกสุด 20 กิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้อ่าวเม็กซิโก เป็นการพุ่งชนที่ก่อให้เกิดการปลดปล่อยฝุ่นควันและก๊าซกำมะถันจำนวนมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดโลกมีอุณหภูมิลดลงอย่างรุนแรงหรืออย่างน้อยราว 26 องศาเซลเซียส เนื่องจากฝุ่นควันเหล่านี้บดบังแสงอาทิตย์และยังทำให้พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้อย่างที่เคย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร อีกทั้ง การพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยครั้งนี้ ยังก่อให้เกิดไฟป่าเป็นบริเวณกว้างกว่า รวมถึงการเกิดคลื่นสึนามิยักษ์ที่สูงกว่า 1 กิโลเมตร  เป็นการสูญพันธุ์ที่ทำให้สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตกว่าร้อยละ 75 สูญพันธุ์ไปจากโลก โดยเฉพาะแอมโมไนต์ (Ammonite) พลีซิโอซอร์ (Plesiosauria) โมซาซอร์ (Mosasaur) และกลุ่มของไดโนเสาร์กลุ่มที่ไม่ใช่ไดโนเสาร์นก นับเป็นหายนะที่ก่อให้เกิดความแปรปรวนเป็นอย่างมากต่อห่วงโซ่อาหาร ทำให้เกิดความอดอยากแก่สัตว์กินพืชและสัตว์นักล่าขนาดใหญ่จำนวนมาก และในทางกลับกัน กลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้กับเหล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและนกที่สืบเชื้อสายมาจากเทโรพอด (Theropod) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่แทนที่ไดโนเสาร์นั่นเอง
      ปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญหน้ากับภาวะการถูกคุกคามทางสายพันธุ์เช่นเดียวกัน อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทั่วโลก ณ ขณะนี้ ยังมีค่าสูงกว่าอัตราการสูญพันธุ์ตามธรรมชาติในอดีตหลายพันหลายหมื่นเท่า จากการกระทำต่าง ๆของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่าหรือภาวะโลกร้อนในตอนนี้ และหากอัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตยังมีค่าคงที่อย่างต่อเนื่องไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 6 อาจเกิดขึ้นในอีก 240 ถึง 540 ปีข้างหน้านี้เอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่