เป็นหนังที่ถ้าผมไม่ได้เข้าไปดูคงต้องเสียใจมาก.. ยอมรับว่าดูจากหน้าหนังยังไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ ตัวอย่างก็งั้น ๆ คะแนนจาก imdb ก็แค่ 6.4 มะเขือเน่าแค่ 56% นี่เตรียมใจเข้าไปนอนในโรงหนังแล้วนะครับ แต่พอเข้าไปดูแล้ว บอกเลยว่าผมละสายตาจากหนังตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
Eden เป็นงานจากผู้กำกับชั้นเซียน ป๋า Ron Howard ที่ทิ้งห่างจากงานก่อนหน้าอย่าง Thirteen Lives กว่า 2 ปี (หนังเรื่องนี้ฉายครั้งแรกในงาน TIFF เมื่อปีที่แล้ว แต่มาเข้าโรงในปีนี้) แถมรวมเอาดาราฝีมือระดับเอกอุไว้มากมาย ได้แก่ Jude Law, Vanessa Kirby, Ana de Armas, Sydney Sweeney, Daniel Bruhl ฯลฯ โอ้โฮ.. ไม่ธรรมดานะครับ
EDEN สร้างจากเรื่องจริงของกลุ่มผู้รอดชีวิตชาวยุโรปจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเลือกทิ้งความศิวิไลซ์ไปใช้ชีวิตกลางเกาะร้าง พวกเขาแสวงหาคำตอบของคำถามมนุษย์ทุกคนล้วนเคยถามตัวเองว่า “เราเกิดมาเพื่ออะไร?” ดร.ฟรีดริช ริตเตอร์ (จู๊ด ลอว์) เดินทางออกจากเยอรมนีในช่วงปี 1920 ร่วมกับ โดร่า สเตราช์ (วาเนสซา เคอร์บี้) แฟนสาว เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่บนเกาะฟลอเรียนาแห่งหมู่เกาะกาลาปากอส เขามีเป้าหมายที่ตีพิมพ์การใช้ชีวิต แนวคิดและประสบการณ์ของตนระหว่างใช้ชีวิตบนเกาะร้าง ขณะที่โดร่าหวังเยียวยาอาการปลอกประสาทเสื่อมด้วยการทำสมาธิ
ทว่าชีวิตสันโดษของพวกเขาถูกขัดจังหวะ เมื่อครอบครัววิตต์เมอร์ ไฮนซ์ (ดาเนียล บรูห์ล), มาร์กาเร็ต (ซิดนีย์ สวีนีย์) และลูกชาย แฮร์รี่ (โจนาธาน ทิตเทิล) เดินทางมาสมทบ ด้วยความปรารถนาจะหลีกหนีจากโลกเก่า หวังให้ ดร.ฟรีดริช นำทาง แต่ความวุ่นวายที่แท้จริงเริ่มขึ้นเมื่อเศรษฐีสาว ท่านบารอนเนส เอโลอีซ บอสเกต์ เดอ วากเนอร์ เวอร์ฮอร์น (อาเนีย เดอ อาร์มัส) เดินทางมาถึงเกาะพร้อมเพื่อนชายอีกสองคน (เฟลิกซ์ คัมเมอเรอร์ และ โทบี้ วอลเลซ) และมีแผนจะเปลี่ยนเกาะแสนสงบแห่งนี้ให้กลายเป็นรีสอร์ตหรูหราสาหรับมหาเศรษฐี เมื่อคนสามกลุ่มที่มีเป้าหมายและแนวคิดที่ต่างกันสุดขั้วต้องมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าธรรมชาติที่ว่าโหดร้าย ยังเทียบไม่ได้กับจิตใจมนุษย์ เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นและ รอวันปะทุ
ความรู้สึกหลังดู คือ สนุกมากกกก เป็นหนังที่เน้นไปที่บทและการแสดงของนักแสดงจริง ๆ พูดง่าย ๆ คือ ทั้งเรื่องใช้ตัวแสดงหลักขับเคลื่อนเพียงแค่ 8 คน และไม่มีฉากอื่น ๆ เลย ยกเว้นฉากบนเกาะฟลอเรียนาที่พวกเขาพากันไปอยู่ และฉากบนเกาะนั่นเอง ก็มี Location ที่ใช้ออกกล้องไม่ถึง 10 Locations กล่าวคือ หนังความยาว 129 นาที แต่เราจะได้เห็น Location แค่ประมาณ ซ้าย กลาง ขวา บน ล่าง แต่นั้น วน ๆ ไป ซึ่งดูเหมือนหนังน่าจะน่าเบื่อ แต่ไม่เลย ไม่เลยจริง ๆ รวมทั้งเนื้อหาของหนังที่ว่าด้วยการหยั่งลึกถึงจิตใจมนุษย์ ที่ออกจะดูเป็นเชิงปรัชญาไปสักหน่อย แต่การนำเสนอของหนังก็ไม่น่าเบื่อ
บทและการแสดง คือ เดอะแบกของหนังเรื่องนี้ที่แท้ทรู (ถึงแม้บางตอนเราอาจจะเอ๊ะกับบทว่าทำไมเนื้อหามันดูขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง) นักแสดงทุกคน บททุกตอนสามารถตรึงผมให้สนใจว่าเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร จะไปที่ตรงไหน ใครจะอะไรกับใคร ถึงแม้บางทีเราอาจจะอ่านออกว่าคนนี้พูดแบบนี้ เขาต้องการอะไร แต่เราก็อยากรู้ว่าความต้องการของเขามันจะสำเร็จมั้ย
อีกอย่างนึง คือ นักแสดงเรื่องนี้ทุ่มสุดตัวมาก มีฉากเปลืองเนื้อเปลืองตัวแทบทุกคน แต่ที่ต้องชม คือ Sydney กับ Ana โดยเฉพาะ Ana ที่สวยมากและเล่นได้น่าตบจริง ๆ 55
สรุป ประทับใจครับ ดีใจที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ถึงแม้ว่ารอบจะน้อย ฉายไม่กี่ที่ แต่เชื่อว่าถ้าได้ไปดูคุณจะไม่ผิดหวัง
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ
Eden สวรรค์คนบาป.. ใครไปดูมาแล้วบ้าง ชอบ ไม่ชอบ อย่างไรกันบ้างครับ
เป็นหนังที่ถ้าผมไม่ได้เข้าไปดูคงต้องเสียใจมาก.. ยอมรับว่าดูจากหน้าหนังยังไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ ตัวอย่างก็งั้น ๆ คะแนนจาก imdb ก็แค่ 6.4 มะเขือเน่าแค่ 56% นี่เตรียมใจเข้าไปนอนในโรงหนังแล้วนะครับ แต่พอเข้าไปดูแล้ว บอกเลยว่าผมละสายตาจากหนังตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
Eden เป็นงานจากผู้กำกับชั้นเซียน ป๋า Ron Howard ที่ทิ้งห่างจากงานก่อนหน้าอย่าง Thirteen Lives กว่า 2 ปี (หนังเรื่องนี้ฉายครั้งแรกในงาน TIFF เมื่อปีที่แล้ว แต่มาเข้าโรงในปีนี้) แถมรวมเอาดาราฝีมือระดับเอกอุไว้มากมาย ได้แก่ Jude Law, Vanessa Kirby, Ana de Armas, Sydney Sweeney, Daniel Bruhl ฯลฯ โอ้โฮ.. ไม่ธรรมดานะครับ
EDEN สร้างจากเรื่องจริงของกลุ่มผู้รอดชีวิตชาวยุโรปจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเลือกทิ้งความศิวิไลซ์ไปใช้ชีวิตกลางเกาะร้าง พวกเขาแสวงหาคำตอบของคำถามมนุษย์ทุกคนล้วนเคยถามตัวเองว่า “เราเกิดมาเพื่ออะไร?” ดร.ฟรีดริช ริตเตอร์ (จู๊ด ลอว์) เดินทางออกจากเยอรมนีในช่วงปี 1920 ร่วมกับ โดร่า สเตราช์ (วาเนสซา เคอร์บี้) แฟนสาว เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่บนเกาะฟลอเรียนาแห่งหมู่เกาะกาลาปากอส เขามีเป้าหมายที่ตีพิมพ์การใช้ชีวิต แนวคิดและประสบการณ์ของตนระหว่างใช้ชีวิตบนเกาะร้าง ขณะที่โดร่าหวังเยียวยาอาการปลอกประสาทเสื่อมด้วยการทำสมาธิ
ทว่าชีวิตสันโดษของพวกเขาถูกขัดจังหวะ เมื่อครอบครัววิตต์เมอร์ ไฮนซ์ (ดาเนียล บรูห์ล), มาร์กาเร็ต (ซิดนีย์ สวีนีย์) และลูกชาย แฮร์รี่ (โจนาธาน ทิตเทิล) เดินทางมาสมทบ ด้วยความปรารถนาจะหลีกหนีจากโลกเก่า หวังให้ ดร.ฟรีดริช นำทาง แต่ความวุ่นวายที่แท้จริงเริ่มขึ้นเมื่อเศรษฐีสาว ท่านบารอนเนส เอโลอีซ บอสเกต์ เดอ วากเนอร์ เวอร์ฮอร์น (อาเนีย เดอ อาร์มัส) เดินทางมาถึงเกาะพร้อมเพื่อนชายอีกสองคน (เฟลิกซ์ คัมเมอเรอร์ และ โทบี้ วอลเลซ) และมีแผนจะเปลี่ยนเกาะแสนสงบแห่งนี้ให้กลายเป็นรีสอร์ตหรูหราสาหรับมหาเศรษฐี เมื่อคนสามกลุ่มที่มีเป้าหมายและแนวคิดที่ต่างกันสุดขั้วต้องมาอาศัยอยู่ร่วมกัน ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าธรรมชาติที่ว่าโหดร้าย ยังเทียบไม่ได้กับจิตใจมนุษย์ เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นและ รอวันปะทุ
ความรู้สึกหลังดู คือ สนุกมากกกก เป็นหนังที่เน้นไปที่บทและการแสดงของนักแสดงจริง ๆ พูดง่าย ๆ คือ ทั้งเรื่องใช้ตัวแสดงหลักขับเคลื่อนเพียงแค่ 8 คน และไม่มีฉากอื่น ๆ เลย ยกเว้นฉากบนเกาะฟลอเรียนาที่พวกเขาพากันไปอยู่ และฉากบนเกาะนั่นเอง ก็มี Location ที่ใช้ออกกล้องไม่ถึง 10 Locations กล่าวคือ หนังความยาว 129 นาที แต่เราจะได้เห็น Location แค่ประมาณ ซ้าย กลาง ขวา บน ล่าง แต่นั้น วน ๆ ไป ซึ่งดูเหมือนหนังน่าจะน่าเบื่อ แต่ไม่เลย ไม่เลยจริง ๆ รวมทั้งเนื้อหาของหนังที่ว่าด้วยการหยั่งลึกถึงจิตใจมนุษย์ ที่ออกจะดูเป็นเชิงปรัชญาไปสักหน่อย แต่การนำเสนอของหนังก็ไม่น่าเบื่อ
บทและการแสดง คือ เดอะแบกของหนังเรื่องนี้ที่แท้ทรู (ถึงแม้บางตอนเราอาจจะเอ๊ะกับบทว่าทำไมเนื้อหามันดูขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง) นักแสดงทุกคน บททุกตอนสามารถตรึงผมให้สนใจว่าเรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร จะไปที่ตรงไหน ใครจะอะไรกับใคร ถึงแม้บางทีเราอาจจะอ่านออกว่าคนนี้พูดแบบนี้ เขาต้องการอะไร แต่เราก็อยากรู้ว่าความต้องการของเขามันจะสำเร็จมั้ย
อีกอย่างนึง คือ นักแสดงเรื่องนี้ทุ่มสุดตัวมาก มีฉากเปลืองเนื้อเปลืองตัวแทบทุกคน แต่ที่ต้องชม คือ Sydney กับ Ana โดยเฉพาะ Ana ที่สวยมากและเล่นได้น่าตบจริง ๆ 55
สรุป ประทับใจครับ ดีใจที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ถึงแม้ว่ารอบจะน้อย ฉายไม่กี่ที่ แต่เชื่อว่าถ้าได้ไปดูคุณจะไม่ผิดหวัง
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ