เรื่องราวในประวัติศาสตร์ของเกาะ Floreana หนึ่งในเกาะของหมู่เกาะ Galapagos

เกาะ Floreana - หมู่เกาะกาลาปากอส



(จดหมายในถังไปรษณีย์ในเกาะ Floreana Cr.ภาพ Mark Anthony Ray / Shutterstock.com)
หมู่เกาะกาลาปากอสในมหาสมุทรแปซิฟิกเคยเป็นจุดแวะพักตามธรรมชาติของนักล่าวาฬในศตวรรษที่ 18 ซึ่งถูกดึงดูดให้มายังเกาะห่างไกลนี้ด้วยน้ำจืดและแหล่งอาหารที่หลากหลาย นักล่าปลาวาฬเหล่านี้จะใช้เวลาหลายเดือนและบางครั้งเป็นปีในการทำงานล่าปลาวาฬ และแปรรูปเป็นน้ำมันและจะกลับมาก็ต่อเมื่อเรือบรรทุกน้ำมันเต็มไปด้วยน้ำมันวาฬ ซึ่งในเวลานั้นเป็นสินค้าที่มีค่าที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในตะเกียงน้ำมันและ ทำสบู่ หมู่เกาะเช่นกาลาปากอสช่วยให้ชาวเรือได้หลีกหนีจากความน่าเบื่อหน่ายของชีวิตในทะเลและจากทะเลอันขรุขระอย่างไม่หยุดยั้งและยังเป็นโอกาสที่จะนำเนื้อแปลกใหม่หลากหลายชนิดมาสู่จานของพวกเขา เช่นเต่ายักษ์กาลาปากอส

เกาะ Floreana หรือที่รู้จักกันในชื่อ Charles Island เป็นจุดแวะพักแห่งหนึ่ง ในตอนนั้นลูกเรือคิดถึงบ้านได้คิดค้นวิธีการที่ชาญฉลาดในการส่งจดหมายถึงครอบครัวของพวกเขา พวกเขาสร้างถังไม้และทิ้งจดหมายไว้ในนั้น ด้วยความหวังว่านักเดินเรือคนต่อไปที่มาอาจมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางของจดหมายจะมารับจม.และส่งไปตามทาง  การบริการไปรษณีย์ที่ไม่ธรรมดานี้ที่ยังคงดำเนินการอยู่มากว่าหนึ่งศตวรรษ

ทุกๆวันเรือของนักท่องเที่ยวจะลงจอดที่อ่าวที่ทำการไปรษณีย์ของเกาะ ฟลอรีอานา (Floreana)   และหลังจากเดินผ่านหาดทรายไปไม่กี่สิบหลาก็มาถึงถังไม้ที่เต็มไปด้วยโปสการ์ดและบันทึกที่ผู้มาเยี่ยมเยียนทิ้งไว้ พวกเขาเลือกจดหมายโดยมองหาที่อยู่ในระยะที่จัดส่งและสามารถให้ไปรับได้เพื่อนำไป  จดหมายไม่มีตราประทับดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งด้วยมือ แม้ว่าบางครั้งผู้ที่นำจดหมายไปจะใส่ตราประทับและส่งไปรษณีย์แทน แต่เกาะ Floreana มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าแค่ตู้จดหมาย

(ภาพวาดโดย Rockwell Kent ที่ปรากฏใน "Moby-Dick" ฉบับพิเศษที่ตีพิมพ์ในปี 2473)
(นวนิยายคลาสสิกของ เฮอร์แมนเมลวิลล์ เรื่อง“ Moby-Dick” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 1851) 
ในปี 1820 เรือล่าปลาวาฬสัญชาติอเมริกันชื่อ Essex ได้เข้าจอดบนเกาะ Floreana เพื่อซ่อมแซมและเติมเสบียงอาหาร พวกเขาจับเต่ายักษ์ประมาณ 60 ตัวมารวมกับอีก 300 ตัวที่ถูกกักไว้ซึ่งจับได้บนเกาะอื่นในกาลาปากอส  วันหนึ่งในขณะที่คนอื่น ๆ ออกตามหาจับเต่า ชาวเรือคนหนึ่งได้จุดไฟเล่น  ตอนนั้นเป็นฤดูแล้งซึ่งร้อนมาก ในไม่ช้าไฟก็ลุกไหม้ล้อมรอบนักล่าเต่าจนไม่สามารถควบคุมได้จนทำให้ต้องวิ่งฝ่าเปลวไฟออกไป เมื่อถึงเวลาที่คนเหล่านั้นกลับมาที่เรือ เกาะเกือบทั้งเกาะกำลังลุกเป็นไฟ

หลายปีต่อมาเมื่อลูกเรือคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กหนุ่มในห้องโดยสารในเวลานั้นชื่อ Thomas Nickerson  ซึ่งต่อมาได้ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับการจมของเรือ Essex กลับไปที่เกาะ Floreana อีกครั้ง   เขากลับพบพื้นที่รกร้างที่ดำคล้ำซึ่ง " ไม่มีทั้งต้นไม้ พุ่มไม้หรือแม้แต่ต้นหญ้าที่ขึ้นเลย ”

“ มัน ไม่สามารถประเมินการทำลายล้างในครั้งนี้ได้ ” เขาเขียน “ จะต้องมีเต่า นก กิ้งก่าและงูหลายพันตัวที่ตายไปหลายพันตัวและมันอาจจะเผาไหม้ไปจนกว่าจะมีฤดูฝนอีกครั้ง”
เมื่อชาร์ลส์ ดาร์วินมาเยือนเกาะในอีกสิบห้าปีต่อมา สิ่งมีชีวิตก็เริ่มกลับมาที่เกาะ แต่ไม่มีวี่แววของเต่าพื้นเมืองขนาดยักษ์เพราะนักล่าปลาวาฬและโจรสลัดตามล่ามันจนสูญพันธุ์  เมื่อถึงเวลานั้นเกาะก็ถูกเอกวาดอร์ผนวกและได้กลายเป็นอาณานิคมทัณฑ์บนซึ่งทำลายล้างชีวิตบนเกาะต่อไป 

ในขณะเดียวกันชาวเรือ Essex หลังจากออกจากเกาะ  Floreana ที่ระอุแล้วก็ออกตามหาพื้นที่ล่าสัตว์แห่งใหม่ในแปซิฟิกใต้ ที่ซึ่งวาฬสเปิร์มขนาดมหึมาส่งมอบความยุติธรรมให้  มันกระแทกเรือซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและจมลง ลูกเรือที่รอดชีวิตได้ล่องลอยไปรอบ ๆ มหาสมุทรเป็นเวลาหนึ่งเดือนและไปติดบนเกาะที่ไม่มีใครอยู่ซึ่งพวกเขาได้กินนก ปู ไข่และพืชเฉพาะถิ่นที่มีอยู่ เมื่อทรัพยากรของเกาะหมดลงลูกเรือที่อับปางก็ออกเรืออีกครั้ง มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่ข้างหลัง

เป็นเวลาหลายเดือนที่ลูกเรือสิบเจ็ดคนลอยเรือชูชีพอย่างไร้ความหวัง  อาหารที่พวกเขากักตุนไว้ก่อนที่จะออกไปนั้นหมดลงไปนานแล้วและผู้ชายก็เริ่มตายทีละคน ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มกินศพของเพื่อนที่ตายไปเพื่อให้มีชีวิตอยู่  เมื่อหมดไปแล้วพวกเขาก็ใช้วิธีจับฉลากว่าใครจะเป็นอาหารสำหรับคนที่เหลือ จากนั้นเมื่อจับฉลากเป็นใครก็จะฆ่าคนนั้น

จากเดิมที่มียี่สิบคน มีเพียงแปดคนที่รอดชีวิตรวมทั้งสามคนที่เลือกอยู่บนเกาะ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือในอีกสามเดือนต่อมารวมทั้งลูกเรือทั้งเจ็ดคนที่ถูกกินไป   Moby-Dick นวนิยายในตำนานของ เฮอร์แมน เมลวิลล์ (Herman Melville) ได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนจากเรื่องราวของการเผชิญหน้ากับวาฬเพชฌฆาตของเรือ Essex นี้ และจากวรรณกรรมคลาสสิคนี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ในชื่อว่า In the Heart of the Sea ในปี 2015

Galapagos tortoises เต่ายักษ์กาลาปากอส เต่าสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีอายุขัยมากกว่า 100 ปี เป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังที่มีอายุขัยยาวนานที่สุด เต่าสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์ท้องถิ่นในหมู่เกาะกาลาปากอสทั้งเจ็ด แต่ขนาดและรูปร่างของกระดองจะแตกต่างกันไปในหมู่ประชากร
(Friedrich Ritter และ Dore Strauch ที่บ้านในเกาะ Floreana)
กว่าหนึ่งศตวรรษต่อมาในปี 1929 นายแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ Friedrich Ritter และ Dore Strauch คนรักของเขาเดินทางมาที่เกาะ Floreana เพื่อตั้งถิ่นฐานเช่นเดียวกับผู้บุกเบิกชาวยุโรปยุคแรกในอเมริกาเหนือและที่อื่น ๆ  เรื่องราวของพวกเขาถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสื่อที่กระตุ้นให้คนอื่น ๆ ติดตาม
ในปี 1932 Heinz and Margret Wittmer มาถึงเกาะพร้อมกับ แฮร์รี่ลูกชายของพวกเขา  จากนั้นไม่นาน Rolf ลูกชายอีกคนก็เกิดที่นั่นและกลายเป็นพลเมืองคนแรกของกาลาปากอส ต่อมาในปีเดียวกัน Eloise von Wagner Bosquet ที่บอกว่าตัวเองเป็น "บารอนเนส" ก็มาถึงเกาะนี้ เธอพาคนรักสองคนมาด้วย Robert Philippson and Rudolf Lorenz และคนรับใช้ชาวเอกวาดอร์ เธอประกาศแผนการสร้างโรงแรมสุดหรูซึ่งสร้างความลำบากใจให้กับหมอและ ครอบครัว Wittmers ซึ่งมีความสุขกับวิถีชีวิตสันโดษบนเกาะ 

"บารอนเนส" เป็นผู้แสวงหาความสนใจซึ่งชอบเดินเตร่ไปมาบนเกาะ Floreana โดยสวมชุดเซ็กซี่ และทักทายเรือที่แล่นผ่านทุกลำ มีเรื่องเล่าว่าคือ เธอจะถือแส้และปืนพกซึ่งเธอชอบชี้ไปที่ใครก็ตามที่ทำให้เธอไม่พอใจ เธอพูดจาไม่ดีกับผู้ตั้งถิ่นฐานคนอื่น ๆ และบางครั้งก็ขโมยสิ่งของของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่าผู้มาเยือนจะชอบเธอเพราะเธอมีเสน่ห์ 

วันหนึ่งในปี 1934 "บารอนเนส" และ Philippson หายตัวไป  ครอบครัว Wittmers and Lorenz  อ้างว่า "บารอนเนส" และ Philippson ไปตาฮิติกับเพื่อนของเธอ แต่เรื่องราวไม่น่าเป็นไปได้เนื่องจากเธอได้ทิ้งทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเธอไว้ และทั้ง Friedrich Ritter และ Dore Strauch ก็บอกว่าไม่เห็นมีเรือมาหาหรือพาพวกเขาไปได้

หลังจากนั้นไม่นาน Lorenz ซึ่งเป็นคนรักคนหนึ่งของ "บารอนเนส" ทะเลาะกับ Philippson บ่อยครั้งก็เริ่มอยากจะกลับไปเยอรมนีอย่างน่าสงสัย เขารีบออกเดินทางไปยังเกาะ San Cristobal แต่เรือของเขาหายไป ศพของเขาถูกค้นพบหลายเดือนต่อมาโดยถูกซัดขึ้นฝั่งพร้อมกับเรือบนเกาะมาร์เชนา
( Marchena)

เหตุการณ์ประหลาดไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน Ritter ก็เสียชีวิตจากอาหารเป็นพิษเนื่องจากการกินไก่ที่ได้รับการดูแลรักษาไม่ดี นี่เป็นเรื่องแปลกเพราะ Ritter เป็นมังสวิรัติ   ก่อนที่ Ritter จะตาย Margret Wittmer บอกว่า Strauch วางยาเขาแม้ว่า Strauch จะปฏิเสธข้อกล่าวหา  Margret กลับไปเยอรมนีโดยทิ้งครอบครัวไว้บนเกาะ Floreana นี้ 

ครอบครัว Wittmer  อาศัยอยู่บนเกาะนี้เป็นเวลาหลายปีและร่ำรวยขึ้นในอีกหลายปีต่อมาเมื่อการท่องเที่ยวในกาลาปากอสเฟื่องฟู ถึงขนาดเปิดโรงแรม ลูกหลานของพวกเขายังคงเป็นเจ้าของที่ดินและธุรกิจอันมีค่าที่นั่น

ทั้ง Dore Strauch และ Margret Wittmer เขียนหนังสือที่อธิบายถึงประสบการณ์และความยากลำบากในฐานะผู้ตั้งถิ่นฐานในยุคแรก ตลอดจนการตีความการเสียชีวิตและการหายตัวไปอย่างลึกลับบนเกาะเขตร้อนห่างไกลแห่งนี้  นอกจากนี้เรื่องราวที่เลวร้ายของ“ เรื่องเล่าในกาลาปากอส” ยังได้รับการบอกเล่าและเล่าขานโดยนักประวัติศาสตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนและยังมีสารคดีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้

ปัจจุบันเกาะ Floreana มีประชากรถาวรประมาณหนึ่งร้อยคนที่อาศัยอยู่ใน Puerto Velasco Ibarra เมืองเดียวของเกาะทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ ซึ่งโรงแรมของครอบครัว Wittmer ตั้งอยู่ที่นี่

(บารอนเนสและคนรักสองคนของเธอ)
(Heinz Wittmer ลูกรอล์ฟลูกชาย Harry และภรรยา Margaret Wittmer)
 (Rudolf Lorenz ยืนใกล้ตู้ไปรษณีย์ที่ Post Office Bay ก่อนที่ "บารอนเนส"จะหายตัวไป Cr.ภาพหอจดหมายเหตุสถาบันสมิ ธ โซเนียน)
เครดิตภาพ: NH53 / Flickr
Cr.https://www.amusingplanet.com/2018/11/a-barrel-post-office-mysterious.html / โดยKaushik Patowary

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่