== The Killing Fields (1984) หนีตาย.. นรกเขมรแดง!! ==



ภายหลังที่รัฐบาลนายพลลอน นอลประกาศยอมแพ้ กองทัพเขมรแดงมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงพนมเปญได้เป็นผลสำเร็จ..
สหรัฐฯตัดสินใจอพยพเจ้าหน้าที่ทูตและกองกำลังออกไปจนหมด
กัมพูชาตกอยู่ในสภาวะปั่นป่วน สถานการณ์ไม่มีอะไรแน่นอนอีกแล้ว



ซิดนี่ย์ นักข่าวของ The New York Times พร้อมผู้ช่วยของเขา ดิธ ปราน ชาวกัมพูชาที่เป็นทั้งนักข่าวและเป็นล่ามให้กับเขา
ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะอยู่ทำข่าวต่อแม้ว่าจะมีการอพยพชาวต่างชาติออกจากเมืองแล้วก็ตาม ..
ซิดนี่ย์ ไม่พอใจกับการที่สหรัฐฯหนีปัญหาไปเช่นนี้ เขาเชื่อว่ามีบางสิ่งไม่น่าไว้วางใจจึงเลือกจะอยู่ทำข่าวต่อไป



เช่นกันกับปราน ถ้าซิดนี่ย์อยู่เขาก็อยู่ต่อไปเช่นกัน แต่ปรานได้ตกลงกับซิดนี่ย์
ว่าให้ลูกเมียของเขาเดินทางลี้ภัยไปยังสหรัฐฯเพื่อความปลอดภัย ..แต่สุดท้ายทุกอย่างเกินควบคุม
กรุงพนมเปญแตก ทั้งสองถูกเขมรแดงจับตัวได้และถูกข่มขู่จะเอาชีวิต ซิดนี่ย์ย้ายไปอยู่ในสถานทูตฝรั่งเศส และกลับสหรัฐ
แต่ปรานถูกกองกำลังเขมรแดงคุมตัว ทั้งสองแยกจากกัน....



The Killing Fields เป็นภาพยนตร์ดราม่าชีวประวัติสัญชาติอังกฤษ
เรื่องราวความโหดเหี้ยมอำมหิตของระบอบเขมรแดงในกัมพูชา
สร้างจากหนังสือ The Death and Life of Dith Pran ว่าด้วยประสบการณ์จริงของนักข่าวสองคน
คือ ดิธ ปราน ชาวกัมพูชา และซิดนีย์ ชานเบิร์ก ชาวอเมริกัน กำกับโดยโรแลนด์ จอฟเฟ ผลงานแรกในชีวิตของเจ้าตัว



ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งเงินและกล่อง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา
ในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 57 และคว้าไปได้สามรางวัล
โดยรางวัลที่โดดเด่นที่สุดคือรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมที่ไฮง เอส. งอร์  ได้รับในบทของ ดิธ ปราน
เขาไม่เคยมีประสบการณ์การแสดงมาก่อนเลย แต่การแสดงที่สุดยอดของเขา มาจากการที่ไฮง เคยเป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามครั้งนี้
กล่าวคือเขาเอาประสบการณ์ชีวิตโดยตรงมาถ่ายทอดบนแผ่นฟิล์มนั่นเอง!!



 ในปี 1999 สถาบันภาพยนตร์อังกฤษได้โหวตให้ The Killing Fields
เป็นภาพยนตร์อังกฤษที่ยอดเยี่ยมที่สุดอันดับที่ 100 ของศตวรรษที่ 20
ปัจจุบันภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
คอหนังการเมือง ประวัติศาสตร์สงคราม สมควรชมสักครั้งในชีวิต



ผมคงไม่ต้องว่าด้วยเรื่องของเขมรแดงอีกแล้วล่ะครับว่ามีที่มาที่ไปยังไงแต่ถึงจะไม่มีความรู้มาก่อน
คุณก็สามารถชมหนังเรื่องนี้ได้ด้วยความรู้สึกเดียวกันกับทุกคนบนโลกนี้ไม่แตกต่าง
นั่นก็คือความเศร้าสะเทือนใจ ความหดหู่ ความรันทด กดดัน
และมีคำถามเดียวในหัวที่วนเวียนอยู่ตลอดว่า คนเรามันโหดร้ายกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ...



เพียงเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ แต่ว่างเปล่าสิ้นดี เขมรแดงต้องการสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมา
เปิดฉากศักราชที่ 0 ของตนด้วยการให้ประชาชนทุกคนหันหน้าเข้าสู่สังคมใหม่
สังคมที่ใช้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นตัวขับเคลื่อน ใครที่มีการศึกษา หรือแค่ลักษณะดูเหมือน
จะเป็นนายทุน ผู้สูงศักดิ์ นักการเมืองทุกคนต้องตาย แผ่นดินเราจะเหลือแค่พลเมืองที่เสมอภาคกันเท่านั้น...



โลกในฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่เขมรแดงพยายามสร้างมันขึ้นมา.. และนี่คือสิ่งที่ดิธ ปราน ต้องพบเจอในช่วงท้ายของหนัง..
พอเห็นชื่อ The Killing Fields ก็ตรงตัวล่ะครับว่าทุ่งสังหาร แต่นั่นมันคือส่วนเดียวจะว่าไปก็เสี้ยวเดียวเท่านั้น
เพราะเรื่องราวหลักๆมันคือความสัมพันธ์ของคนสองคน ดิธ กับ ซิดนี่ย์
คนข่าวต่างเชื้อชาติที่ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและมีชีวิตเป็นเดิมพันมากกว่า



ถ่ายทำในเมืองไทยเกือบทั้งเรื่อง เห็นชัดๆเลยก็ที่คลองสานมาฉากแตกๆเลย ระเบิดบึ้มแบบไม่ให้เตรียมใจตั้งแต่ต้นเรื่อง
ฉากความวุ่นวายของโรงพยาบาลและสถานทูต รวมถึงการอพยพครั้งใหญ่ก็ที่นครปฐม เห็นองค์พระปฐมเจดีย์อยู่ชัดเจน..
ปราสาทหินนี่ผมว่าน่าจะที่พิมาย ส่วนฉากในป่าก็ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทุกฉากเซ็ตได้สมจริงอย่างยิ่ง
ในรูปที่ผมนำมาประกอบเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่หัวหิน ถูกเซ็ตฉากให้เป็นโรงแรมใจกลางกรุงพนมเปญ



แน่นอนว่าฉากใหญ่ของเรื่องก็คือฉากทุ่งสังหารที่ว่า แม้จะเป็นเพียงเวลาไม่นานแต่ถ้าคุณเป็นคนที่จิตใจอ่อนไหว
ไม่สามารถรับมือกับความรุนแรงใดๆได้ อย่าดูครับ กองกระดูกซากศพที่เน่าเปื่อยกองอยู่ทั่วไปหมด
ในความรู้สึกของผมมันไม่ใช่แค่ทุ่งสังหาร แต่มันเปรียบได้กับนรก นรกบนดิน
นรกที่คนร่วมชาติด้วยกันสร้างมันขึ้นมา ชีวิตคนนับไม่ถ้วนที่ต้องมาเซ่นสังเวยกับความบ้าคลั่งอันโง่เขลา...



สุดท้ายก็มีแต่ความสูญเสีย หลายครอบครัวพลัดพรากจากกันไม่ได้พบหน้าอีกเลยตลอดชีวิต
ผู้คนอีกมากอพยพหนีตายมายังแผ่นดินเพื่อนบ้านหนีร้อนมาพึ่งเย็น ประเทศไทยของเรา...
ในฉากสุดท้ายเห็นได้เลยว่าดิธ ปราน มาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ประเทศไทยและพบกับซิดนี่ย์อีกครั้ง
(แต่ปัจจุบัน ชาวบ้านจำนวนมากไม่ยอมย้ายกลับ แต่ดันเลือกลงหลักปักฐานและปัจจุบันก็อ้างว่านี่ล่ะแผ่นดินกัมพูชาไปซะนี่!!!)
ตรงนี้ไม่ถือว่าสปอยนะครับเพราะนัยยะสำคัญของหนังต้องการเน้นย้ำถึงความโหดร้ายของสงครามมากกว่า



พร้อมกับเพลงประกอบที่เปิดในทันทีที่ทั้งสองพบหน้า เพลงสุดยอดอมตะตลอดกาล Imagine
ของ John Lennon (อดีตสมาชิกวง The Beatles) เพลงที่ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกยุคหลังจะต้องใช้เล่นในพิธีแทบทุกครั้ง
ซึ่งจังหวะมันได้เลยจริงๆ .. ถึงฉากนี้น้ำตาก็ซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว..ไปชมฉากนี้กันเลยครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

จนถึงวันนี้แม้ว่าจะไม่มีเขมรแดง แม้ว่ากัมพูชาจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขก็ตาม
แต่แผ่นดินเขมรภายใต้การควบคุมทุกอย่างของตระกูลฮุน มันก็สะท้อนให้เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่แม้ว่าจะไม่เหมือนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว..
แต่การโฆษณาชวนเชื่อ การให้ข่าวสารทางเดียวแบบล้างสมองกับประชาชนผู้ไม่ประสายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทุกวัน...



หวังว่าสักวันดินแดนที่ต่างชาติเคยขนานนามว่าไข่มุกแห่งเอเชีย จะกลับมาสง่างาม
และเป็นชาติที่มีศักดิ์ศรีแท้จริงปราศจากการถูกครอบงำทั้งปวง แม้ว่าอาจจะต้องรออีกแสนนาน..
หรืออาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ตาม...


เพราะหนังมันฝังใจ


=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่