ช้อปปี้ปรับเพิ่ม ‘ค่าต๋ง’ สูงสุด 13% ผู้ค้าหลังแอ่น-วอนรัฐช่วยควบคุม

กระทู้สนทนา

ช้อปปี้ปรับเพิ่ม ‘ค่าต๋ง’ สูงสุด 13% ผู้ค้าหลังแอ่น-วอนรัฐช่วยควบคุม:แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแผลงฤทธิ์อีก ล่าสุดถึงคิว “ช้อปปี้” ปรับขึ้นค่าธรรมเนียม 5-13% และคิดเพิ่มอีก 1 บาททุก ๆ ออร์เดอร์ที่เข้ามา ผู้บริหาร Pay Solutions จี้รัฐเร่งเข้ามากำกับดูแล เพราะเข้าข่ายธุรกิจผูกขาดขึ้นเรื่อย ๆ และควรกำหนดเงื่อนไขการขึ้นค่าธรรมเนียมอย่างจริงจัง พร้อมแนะนำผู้ค้ากระจายวางบนหลาย ๆ แพลตฟอร์ม หรือเปิดหน้าร้านของตัวเอง ส่วนศรีจันทร์เผยตอนนี้ต้นทุนขายบนแพลตฟอร์มใกล้กับที่วางในห้างแล้ว

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.นี้เป็นต้นไป แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้” (Shopee) ประกาศปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการขายบนแพลตฟอร์มรอบใหม่ ทั้งร้านค้า Mall Sellers และ Nonmall Sellers (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยค่าธรรมเนียมสำหรับ Mall Sellers แบ่งเป็นสินค้าในหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ 5-11%, สินค้าบางประเภทในหมวดหมู่ย่อยของสินค้าในหมวดหมู่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 12-13% และสินค้าที่ไม่อยู่ในหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ 10.5%

เก็บเพิ่มอีกออร์เดอร์ละ 1 บาท

นอกจากนี้ ช้อปปี้จะเก็บค่าธรรมเนียมโครงสร้างพื้นฐานแพลตฟอร์ม เพื่อสนับสนุนการพัฒนา การให้บริการ การดูแลรักษา และการเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม โดยจะคิดค่าธรรมเนียม 1 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จากทุกคำสั่งซื้อที่มีสถานะสำเร็จด้วย

สำหรับค่าธรรมเนียมการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่ผ่านมาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 1-2 ครั้ง กลายเป็นปัญหาของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เพราะเท่ากับว่าต้องแบกรับต้นทุนการวางสินค้าบนเชลฟ์ของแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรที่ว่าบางอยู่แล้ว ยิ่งบางลงเข้าไปอีก

ชงภาครัฐกำกับแพลตฟอร์ม

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Pay Solutions ผู้ให้บริการโซลูชั่นรับชำระเงิน และในฐานะผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอีคอมเมิร์ซ กล่าวว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมการขายรอบใหม่ของ “ช้อปปี้” สะท้อนว่าแพลตฟอร์มเข้าข่ายผูกขาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทุกวันนี้เขามีบริการทุกอย่าง แข่งกับทุกคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นขนส่ง คลังสินค้า การเงิน และฟู้ดดีลิเวอรี่ เขากำลังใช้ประโยชน์จากการรวมศูนย์บริการต่าง ๆ มาสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

“คนขายของบนแพลตฟอร์มตอนนี้ กำไรน้อยลงทุกวัน แต่ฝั่งแพลตฟอร์มกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างปี 2567 กำไรมากกว่า 4,000 ล้านบาท ผมพยายามเรียกร้องเรื่องนี้กับหน่วยงานภาครัฐมานานหลายปี อยากให้เข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง ไม่ใช่แพลตฟอร์มอยากขึ้นค่าธรรมเนียมเมื่อไรก็ทำได้เลย”

แนะทำ Owned Channel

นายภาวุธกล่าวอีกว่า ข้อแนะนำในการรับมือและปรับตัวของผู้ประกอบการ “ผู้ขายไม่ควรยึดติดกับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งมากเกินไป และควรเริ่มทำ ‘Owned Channel’ หรือหน้าร้านออนไลน์ของตนเอง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการต้นทุน และเก็บข้อมูลของลูกค้าไว้กับตนเอง”

ร้านที่ขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลลูกค้าของตนเอง เพราะบางแพลตฟอร์มบอกว่าต้องปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ทำให้ร้านไม่มีข้อมูลลูกค้าแบบ 1st Party Data มาอัพเซล หรือทำโปรโมชั่นต่อได้เลย

กระจายช่องทางครอบคลุม

ด้านนางสาวรัฐธีร์ เจริญรัตน์วรกุล ผู้จัดการทั่วไป ธุรกิจ MarTech Solution บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า เพื่อรับมือกับต้นทุนการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มากขึ้น ผู้ประกอบการควรกระจายช่องทางการขายให้หลากหลาย และนำสินค้าไปวางบนแต่ละแพลตฟอร์มอย่างมีกลยุทธ์ เช่น นำสินค้าขายดี กำไรสูง ไปอยู่บนแพลตฟอร์มที่คนคุ้นเคย เพื่อให้หลังหักต้นทุนการขายยังเหลือกำไรมากที่สุด

ขณะเดียวกันใช้เครื่องมือทางการตลาดโปรโมตช่องทางอื่น ๆ ที่แบรนด์เริ่มเข้าไปขาย เช่น ใช้อินฟลูเอนเซอร์สร้างการรับรู้บน TikTok พร้อมยิงโฆษณาเพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง ซึ่งบางแบรนด์ขายสินค้าบน TikTok แค่ SKU (รายการสินค้า) เดียว แต่สร้างรายได้ปีละ 100 ล้านบาท

จับตลาดสมาชิกระยะยาว

ส่วนอีกไอเดียที่น่าสนใจ คือ การขายแบบ Subscription ให้ลูกค้าสมัครสมาชิกและจ่ายรายเดือน แล้วร้านส่งสินค้าตามรอบ เหมาะกับสินค้าที่มีรอบการใช้ประจำ เช่น ผ้าอ้อมเด็ก ที่คุณแม่ต้องซื้อให้ลูกยาว 1-2 ปี ช่วยให้แบรนด์มีรายได้สม่ำเสมอ โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

“สำหรับลูกค้าที่ต้องการทำหน้าร้านออนไลน์ของตนเอง เอ้ก ดิจิทัล มีโซลูชั่นที่พาร์ตเนอร์กับ Shopify ไว้ ช่วยให้เวลาในการขึ้นหน้าร้านของแบรนด์สั้นมาก จากนั้นก็จะใช้โซลูชั่นมาร์เทคอื่น ๆ สร้างการรับรู้เพิ่มเติม”

“ศรีจันทร์” วอนภาครัฐช่วย

นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด กล่าวว่า การประกาศปรับขึ้นค่าฟีของแพลตฟอร์มช้อปปี้ ส่งผลให้ต้นทุนการขายบนแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลซสูงขึ้นแน่นอน แต่ในระดับใดนั้นขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและรูปแบบทำการตลาด อย่างไรก็ตาม การปรับนี้ทำให้ต้นทุนการขายขยับเข้าใกล้กับช่องทางห้างสรรพสินค้ามากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับบริษัทในระยะสั้นจะรับมือด้วยการบริหารต้นทุน โดยเฉพาะการใช้งบฯโฆษณา ด้วยการมอนิเตอร์ผลตอบรับต่อเม็ดเงินที่ใช้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความคุ้มค่า และปรับรูปแบบการโฆษณา-คอนเทนต์ให้ตรงกับเทรนด์ที่ผู้บริโภคชอบหรือสนใจ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ส่วนระยะยาวอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ พร้อมกับสนับสนุนให้ไทยควรพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเองขึ้น ให้มีสเกลเท่ากับผู้เล่นรายหลัก ๆ ของวงการ แม้อาจต้องใช้เวลาและงบฯประมาณสูง แต่ช่วยให้ผู้ค้าในประเทศมีตัวเลือก-อำนาจต่อรองมากขึ้น โดยปัจจุบันอินโดนีเซียประสบความสำเร็จในการพัฒนาแพลตฟอร์มของตนเองแล้ว

ปณท ลุยเซ็กเมนต์ “eTailer”

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายจาก “สงครามส่งด่วน” ที่ไม่มีวันจบ ไปรษณีย์ไทยพยายามเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ผ่านช่องทางใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพางานจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่มีสิทธิตัดสินใจอย่างเต็มที่ว่าจะส่งงานให้ผู้ให้บริการรายใดบ้าง

หนึ่งในแนวทางที่มุ่งไปในช่วงต่อจากนี้ คือ เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ที่พร้อมให้ไปรษณีย์ไทย เป็นผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์รายหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม “eTailer” หรือแบรนด์ที่ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม หรือช่องทางออนไลน์ของตนเอง

“สาเหตุที่บางแบรนด์ตัดสินใจทำช่องทางของตนเอง เพราะเขาไม่ต้องการแบกรับต้นทุนค่าธรรมเนียมการขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นตลอดอีกแล้ว เรามองว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ไปรษณีย์ไทยมีชิ้นงานเพิ่ม และสร้างรายได้มากขึ้นด้วย”.


https://www.prachachat.net/ict/news-1870212


อนาคตอาจจะไม่ได้เห็นของถูกแบบเดิม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่