พี่น้องนักช้อปและผู้ประกอบการชาวไทยทุกท่าน วันนี้เรามาคุยกันในเรื่องที่ต้องบอกว่าร้อนแรงและใกล้ตัวเรามากๆ ในโลกของการตลาดออนไลน์และอีคอมเมิร์ซครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า สมรภูมิการค้าขายออนไลน์ในบ้านเรากำลังจะเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว เมื่อยักษ์ใหญ่จากต่างแดน โดยเฉพาะแบรนด์เกาหลีสุดปัง เขาเริ่มขยับตัวครั้งใหญ่ บุกเข้ามาทำตลาดในไทยแบบ “ไม่ผ่านคนกลาง”
ลองนึกภาพตามนะครับ เมื่อก่อนเวลาเราอยากได้สกินแคร์ เครื่องสำอาง หรือสินค้าแฟชั่นจากเกาหลี เราต้องทำยังไงครับ ต้องรอพรีออเดอร์ ต้องฝากเพื่อนหิ้ว หรือไม่ก็ต้องซื้อจากร้านค้า ผู้นำเข้าในไทยที่ไปรับของมาอีกทีนึง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องมีบวกค่าหิ้ว ค่าดำเนินการ ค่าการตลาดอะไรต่างๆ นานา ทำให้ราคามันก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วครับ โลกดิจิทัลมันทลายกำแพงทุกอย่างลง
คลื่นยักษ์ลูกใหม่ แบรนด์ต่างชาติบุกตลาดไทยโดยตรง
ตอนนี้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ แบรนด์เกาหลีเหล่านั้นเขาเริ่มมองเห็นโอกาสทองในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังซื้อสินค้าเกาหลีสูงมาก พวกเขาเลยตัดสินใจว่า "ทำไมเราต้องขายผ่านคนกลางด้วยล่ะ" ในเมื่อเทคโนโลยีมันเอื้ออำนวยขนาดนี้แล้ว พวกเขาเลยเริ่มหันมาเปิดร้านค้าออฟฟิเชียลของตัวเองบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในบ้านเราอย่าง Lazada กันเลยทีเดียวครับ
ปรากฏการณ์นี้มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าเราในฐานะผู้บริโภคชาวไทย สามารถกดสั่งซื้อสินค้าตรงจากแบรนด์แม่ในเกาหลีได้เลยทันที ลองนึกถึงความฟินสิครับ ของแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งตรงจากเกาหลีแถมบางทีอาจจะได้ราคาที่ถูกลงด้วยซ้ำ เพราะมันตัดต้นทุนคนกลางออกไปหมดเลย ความหลากหลายของสินค้าก็จะมีมากขึ้นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในเกาหลี อีกไม่กี่วันก็อาจจะโผล่มาให้เรากดซื้อได้ใน Lazada ทันที มันคือสวรรค์ของนักช้อปชัดๆ ที่ทุกอย่างมันง่ายดายแค่ปลายนิ้วคลิกจริงๆ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ นะครับ มันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าแบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง แบรนด์ต่างชาติที่เคยอยูไกลตัวเราตอนนี้พวกเขามาตั้งร้านประชิดหน้าบ้านเราในโลกออนไลน์แล้ว และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเพราะเมื่อมีคนหนึ่งเริ่มทำ อีกหลายสิบหลายร้อยแบรนด์ก็จะตามมาอย่างแน่นอนครับ
แรงสั่นสะเทือนนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มันมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นครับ ล่าสุดยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada เขาได้ไปจับมือทำสัญญาร่วมกันกับ Gmarket ซึ่งถ้าใครตามวงการอีคอมเมิร์ซเกาหลีจะรู้ดีว่า Gmarket นี่คือเบอร์ต้นๆ ของที่นั่นเลย เป็นแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสที่ใหญ่มาก มีสินค้าหลากหลายล้านชิ้น
การจับมือกันครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนสินค้าธรรมดา แต่มันคือการเปิด "ประตูมิติ" หรือ "ซูเปอร์ไฮเวย์" ขนาดมหึมา ที่เชื่อมระหว่างโกดังสินค้าในเกาหลีใต้ตรงดิ่งมายังผู้บริโภคในอาเซียน 6 ประเทศ รวมถึงไทยด้วย โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มความงามและแฟชั่น K-Beauty ที่คนไทยคลั่งไคล้กันมาก
Lazada กำลังใช้เครือข่ายและเทคโนโลยีของตัวเอง อำนวยความสะดวกให้แบรนด์และผู้ค้าชาวเกาหลีบน Gmarket สามารถลิสต์สินค้าของพวกเขาขึ้นมาขายบนแพลตฟอร์ม Lazada ในบ้านเราได้อย่างง่ายดาย ลองจินตนาการถึงสินค้าหลายแสนหลายล้านรายการจากเกาหลี ที่จู่ๆ ก็พร้อมให้เรากดสั่งซื้อได้ทันทีสิครับ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับวงการค้าปลีกออนไลน์
ดีลนี้มันตอกย้ำเทรนด์ที่เราคุยกันในตอนแรกเลยว่า แบรนด์ต่างชาติเขา "เอาจริง" แล้วกับการบุกตลาดอาเซียนแบบขายตรง พวกเขาไม่ต้องการพึ่งพาตัวแทนจำหน่ายหรือผู้นำเข้าแบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่ต้องการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง เพื่อควบคุมประสบการณ์แบรนด์ ควบคุมราคา และเก็บข้อมูลลูกค้าได้เองทั้งหมด นี่คือเกมใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น และมันจะเปลี่ยนวิธีที่เราช้อปปิ้งไปตลอดกาล
ระฆังเตือนภัย ผลกระทบเต็มๆ ต่อผู้ค้าไทย
พอเราเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของการบุกตลาดครั้งนี้แล้ว คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ แล้วผู้ประกอบการไทยล่ะ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ผู้นำเข้าสินค้า SME ของเราล่ะ จะเป็นยังไงต่อไป
เรื่องนี้ต้องบอกตามตรงว่า น่าเป็นห่วงครับ และมันคือผลกระทบโดยตรงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย กลุ่มแรกที่จะโดนเต็มๆ ก็คือบรรดา "ผู้นำเข้า" หรือ "คนกลาง" ที่เคยรับสินค้าเกาหลีมาขายต่อในไทย เมื่อแบรนด์แม่เขามาขายเองแล้ว แถมขายในราคาที่อาจจะถูกกว่าเพราะไม่มีต้นทุนบวกเพิ่ม แล้วใครจะอยากซื้อกับคนกลางอีกล่ะครับ นี่คือความท้าทายที่ใหญ่หลวงมาก
กลุ่มที่ 2 คือ "ผู้ผลิต" สินค้าประเภทเดียวกันในไทย เช่น แบรนด์สกินแคร์ แบรนด์เครื่องสำอาง หรือแบรนด์แฟชั่นของไทยเอง ที่ผ่านมาเราก็แข่งขันกันเองหนักหน่วงอยู่แล้ว ตอนนี้เรากำลังจะต้องเจอกับคู่แข่งระดับโลกที่กระโดดลงมาเล่นในสมรภูมิเดียวกับเราแบบเต็มตัว
ความน่ากลัวมันไม่ได้มีแค่เรื่อง "แบรนด์" ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นครับ แต่ไฮไลท์สำคัญมันอยู่ที่ "ต้นทุน" ที่เขาได้เปรียบเรามหาศาล แบรนด์เกาหลีเหล่านี้ เมื่อเขาขายตรงผ่านแพลตฟอร์มใหญ่และใช้เครือข่ายโลจิสติกส์ระดับโลก พวกเขาได้เปรียบเรื่อง "ภาษี" และ "ค่าขนส่ง" อย่างมาก ลองนึกดูว่าถ้าเขาสามารถส่งสินค้าจากเกาหลีมาถึงมือลูกค้าในไทย ด้วยต้นทุนค่าส่งที่ถูกแสนถูก หรืออาจจะแทบไม่ต่างจากค่าส่งในประเทศเลย มันจะเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาจะสามารถทำราคาขายได้ถูกกว่าสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยนำเข้ามา หรือแม้แต่สินค้าที่ผลิตในไทยเองด้วยซ้ำ นี่คือการแข่งขันที่ต้องบอกว่า "ไม่แฟร์" สักเท่าไหร่ แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในโลกการค้าเสรี ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อีคอมเมิร์ซเลยก็ว่าได้
เบื้องหลังความเร็วแสง ระบบขนส่ง จีน-เกาหลี ที่แข็งแกร่ง
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้การบุกตลาดครั้งนี้มันน่ากลัวและทรงพลังอย่างยิ่ง ก็คือเรื่องของ "โลจิสติกส์" หรือระบบการขนส่งครับ
ในอดีต การสั่งของจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนหรือเกาหลี มันคือการรอคอยที่ยาวนาน อาจจะ 15 วัน 30 วัน หรือบางทีเป็นเดือนกว่าของจะมาถึง แถมค่าส่งก็แพง แต่ภาพนั้นมันกำลังจะหายไปครับ เพราะตอนนี้เขามีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ชื่อว่า "Chai Niao" (ไช่เหนียว)
Chai Niao คือบริษัทโลจิสติกส์ในเครือของ Alibaba ซึ่งก็คือบริษัทแม่ของ Lazada นั่นเองครับ เครือข่ายนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนโดยเฉพาะ พวกเขามีระบบจัดการคลังสินค้า โกดัง และเครือข่ายการขนส่งที่เชื่อมโยงจีน เกาหลีใต้ และอาเซียนเข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น
ผลลัพธ์คืออะไรครับ ผลลัพธ์คือสินค้าที่สั่งจากเกาหลีหรือจีน สามารถเดินทางมาถึงประเทศไทย และส่งถึงหน้าบ้านลูกค้าได้ภายในเวลาเพียง "ไม่กี่วัน" 5 วัน 7 วัน ก็ได้รับของแล้ว มันรวดเร็วชนิดที่ว่าการสั่งของจากต่างประเทศ แทบไม่รู้สึกแตกต่างจากการสั่งของในประเทศอีกต่อไป
เมื่อผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดีแบบนี้ ได้ของเร็ว ส่งฟรีหรือค่าส่งถูกมาก มันก็ยิ่งทำให้กำแพงในการตัดสินใจซื้อสินค้าข้ามพรมแดนมันพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ความเร็วในการจัดส่งกลายเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้แบรนด์ต่างชาติเหล่านี้ได้เปรียบผู้ค้าไทยที่อาจจะยังใช้ระบบขนส่งแบบเดิมๆ นี่คือพลังของเทคโนโลยีและเครือข่ายขนาดใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนเกมการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ผู้ประกอบการไทยต้องรุกตลาดอาเซียน
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มท้อใจว่า โห แล้วผู้ประกอบการไทยจะสู้เขายังไงล่ะครับ เจอทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ต้นทุนก็ถูกกว่า ขนส่งก็เร็วกว่า แต่ในทุกวิกฤตมันมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอครับ
ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจมากจากผู้เชี่ยวชาญในวงการก็คือ "ในเมื่อเขารุกเราได้ เราก็ต้องรุกเขากลับ" แต่การจะไปสู้กับเขาในตลาดเกาหลีหรือจีนอาจจะยากเกินไป สิ่งที่เราควรทำคือการใช้ "อาวุธ" เดียวกันกับที่เขาใช้บุกเรานี่แหละครับ นั่นคือ "แพลตฟอร์ม"
ในเมื่อ Lazada หรือ Shopee มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วทั้งอาเซียนทำไมผู้ประกอบการไทยจะใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ขายสินค้าของเราไปยังประเทศเพื่อนบ้านบ้างไม่ได้ล่ะครับ ตลาดเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ยังมีกำลังซื้อมหาศาล และสินค้าไทยเองก็มีชื่อเสียงที่ดีในสายตาชาวอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอาหารแปรรูป สินค้าความงาม หรือสินค้าแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์
แทนที่จะตั้งรับและแข่งขันในสมรภูมิทะเลสีเลือด (Red Ocean) ในบ้านเราอย่างเดียว เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ หันไปบุกตลาดต่างประเทศ (Blue Ocean) ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนดูบ้าง ใช้เครื่องมือที่แพลตฟอร์มเขามีให้ในการขยายตลาดของเราออกไป
แน่นอนว่าการจะทำแบบนั้นได้ ผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัว พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ให้เป็น แต่ลำพังผู้ประกอบการอย่างเดียวอาจจะไม่พอ "ภาครัฐ" เองก็ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
รัฐต้องช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในเรื่องเดียวกับที่คู่แข่งเราได้เปรียบ นั่นคือ "โลจิสติกส์" และ "ระบบภาษี" ต้องทำยังไงก็ได้ให้การส่งสินค้าจากไทยไปขายในอาเซียน มันง่าย สะดวก ต้นทุนต่ำ และมีระบบภาษีที่เอื้ออำนวยต่อการส่งออก ไม่ใช่สร้างกำแพงให้ผู้ประกอบการต้องปวดหัว นี่คือการบ้านข้อใหญ่ที่ภาครัฐต้องรีบทำ เพื่อช่วยให้ SME ไทยสามารถก้าวออกไปแข่งขันในเวทีระดับภูมิภาคได้ครับ
บทเรียนจากตลาดจีน แม้เศรษฐกิจชะลอ แต่โอกาสยังมี
สุดท้ายนี้ มีอีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจจากข้อมูล นั่นคือเรื่องของ "ตลาดจีน" ครับ แม้ว่าช่วงนี้เราจะได้ยินข่าวว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวบ้าง แต่ในความเป็นจริง แบรนด์ต่างชาติเก่งๆ เขาก็ยังไม่ถอยนะครับ เขายังคงมองว่าจีนคือตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสเสมอ
แต่สิ่งที่เขทำไม่ใช่การลุยเข้าไปแบบไม่ลืมหูลืมตา เขา "ปรับกลยุทธ์" อย่างหนักเลยครับ หัวใจสำคัญคือการ "Localization" หรือการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง พวกเขาไม่ได้แค่แปลภาษา แต่เขาพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรม ความชอบ และกระแสสังคมของคนจีน
พวกเขาใช้ "ข้อมูลผู้บริโภค" หรือ Data อย่างหนักหน่วง เพื่อวิเคราะห์ว่าลูกค้าต้องการอะไร และใช้ "โซเชียลมีเดีย" ของจีน เช่น Weibo หรือ Douyin (TikTok ของจีน) ในการสร้างความเชื่อมโยง สร้าง Engagement และสร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นกับลูกค้า
บทเรียนนี้สำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าคุณจะขายของในไทย หรือจะบุกตลาดอาเซียนอย่างที่เราคุยกันไป คุณไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายเดียวได้กับทุกตลาดอีกแล้ว คุณต้องเข้าใจลูกค้าในแต่ละพื้นที่อย่างลึกซึ้ง ต้องใช้ดาต้าให้เป็น ต้องเล่นโซเชียลมีเดียให้เก่ง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า นี่คือทักษะสำคัญที่สุดของผู้ประกอบการในยุค AI และ Data-Driven ครับ
โลกการค้ามันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ครับ มันไม่มีพรมแดนอีกต่อไป การแข่งขันมันเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์บนหน้าจอมือถือของเราทุกคน ผู้ประกอบการไทยต้องตื่นตัวและปรับตัวอย่างเร่งด่วนที่สุด พัฒนาสินค้า สร้างแบรนด์ และเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มให้เป็นประโยชน์สูงสุด ทั้งในการป้องกันตลาดในบ้าน และการรุกคืบไปสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศครับ
Lazada จับมือ Gmarket เปิดประตูการค้าเกาหลีสู่อาเซียน
พี่น้องนักช้อปและผู้ประกอบการชาวไทยทุกท่าน วันนี้เรามาคุยกันในเรื่องที่ต้องบอกว่าร้อนแรงและใกล้ตัวเรามากๆ ในโลกของการตลาดออนไลน์และอีคอมเมิร์ซครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า สมรภูมิการค้าขายออนไลน์ในบ้านเรากำลังจะเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว เมื่อยักษ์ใหญ่จากต่างแดน โดยเฉพาะแบรนด์เกาหลีสุดปัง เขาเริ่มขยับตัวครั้งใหญ่ บุกเข้ามาทำตลาดในไทยแบบ “ไม่ผ่านคนกลาง”
ลองนึกภาพตามนะครับ เมื่อก่อนเวลาเราอยากได้สกินแคร์ เครื่องสำอาง หรือสินค้าแฟชั่นจากเกาหลี เราต้องทำยังไงครับ ต้องรอพรีออเดอร์ ต้องฝากเพื่อนหิ้ว หรือไม่ก็ต้องซื้อจากร้านค้า ผู้นำเข้าในไทยที่ไปรับของมาอีกทีนึง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องมีบวกค่าหิ้ว ค่าดำเนินการ ค่าการตลาดอะไรต่างๆ นานา ทำให้ราคามันก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วครับ โลกดิจิทัลมันทลายกำแพงทุกอย่างลง
คลื่นยักษ์ลูกใหม่ แบรนด์ต่างชาติบุกตลาดไทยโดยตรง
ตอนนี้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ แบรนด์เกาหลีเหล่านั้นเขาเริ่มมองเห็นโอกาสทองในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังซื้อสินค้าเกาหลีสูงมาก พวกเขาเลยตัดสินใจว่า "ทำไมเราต้องขายผ่านคนกลางด้วยล่ะ" ในเมื่อเทคโนโลยีมันเอื้ออำนวยขนาดนี้แล้ว พวกเขาเลยเริ่มหันมาเปิดร้านค้าออฟฟิเชียลของตัวเองบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในบ้านเราอย่าง Lazada กันเลยทีเดียวครับ
ปรากฏการณ์นี้มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าเราในฐานะผู้บริโภคชาวไทย สามารถกดสั่งซื้อสินค้าตรงจากแบรนด์แม่ในเกาหลีได้เลยทันที ลองนึกถึงความฟินสิครับ ของแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งตรงจากเกาหลีแถมบางทีอาจจะได้ราคาที่ถูกลงด้วยซ้ำ เพราะมันตัดต้นทุนคนกลางออกไปหมดเลย ความหลากหลายของสินค้าก็จะมีมากขึ้นรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในเกาหลี อีกไม่กี่วันก็อาจจะโผล่มาให้เรากดซื้อได้ใน Lazada ทันที มันคือสวรรค์ของนักช้อปชัดๆ ที่ทุกอย่างมันง่ายดายแค่ปลายนิ้วคลิกจริงๆ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ นะครับ มันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าแบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง แบรนด์ต่างชาติที่เคยอยูไกลตัวเราตอนนี้พวกเขามาตั้งร้านประชิดหน้าบ้านเราในโลกออนไลน์แล้ว และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเพราะเมื่อมีคนหนึ่งเริ่มทำ อีกหลายสิบหลายร้อยแบรนด์ก็จะตามมาอย่างแน่นอนครับ
แรงสั่นสะเทือนนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มันมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นครับ ล่าสุดยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Lazada เขาได้ไปจับมือทำสัญญาร่วมกันกับ Gmarket ซึ่งถ้าใครตามวงการอีคอมเมิร์ซเกาหลีจะรู้ดีว่า Gmarket นี่คือเบอร์ต้นๆ ของที่นั่นเลย เป็นแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสที่ใหญ่มาก มีสินค้าหลากหลายล้านชิ้น
การจับมือกันครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนสินค้าธรรมดา แต่มันคือการเปิด "ประตูมิติ" หรือ "ซูเปอร์ไฮเวย์" ขนาดมหึมา ที่เชื่อมระหว่างโกดังสินค้าในเกาหลีใต้ตรงดิ่งมายังผู้บริโภคในอาเซียน 6 ประเทศ รวมถึงไทยด้วย โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มความงามและแฟชั่น K-Beauty ที่คนไทยคลั่งไคล้กันมาก
Lazada กำลังใช้เครือข่ายและเทคโนโลยีของตัวเอง อำนวยความสะดวกให้แบรนด์และผู้ค้าชาวเกาหลีบน Gmarket สามารถลิสต์สินค้าของพวกเขาขึ้นมาขายบนแพลตฟอร์ม Lazada ในบ้านเราได้อย่างง่ายดาย ลองจินตนาการถึงสินค้าหลายแสนหลายล้านรายการจากเกาหลี ที่จู่ๆ ก็พร้อมให้เรากดสั่งซื้อได้ทันทีสิครับ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับวงการค้าปลีกออนไลน์
ดีลนี้มันตอกย้ำเทรนด์ที่เราคุยกันในตอนแรกเลยว่า แบรนด์ต่างชาติเขา "เอาจริง" แล้วกับการบุกตลาดอาเซียนแบบขายตรง พวกเขาไม่ต้องการพึ่งพาตัวแทนจำหน่ายหรือผู้นำเข้าแบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่ต้องการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง เพื่อควบคุมประสบการณ์แบรนด์ ควบคุมราคา และเก็บข้อมูลลูกค้าได้เองทั้งหมด นี่คือเกมใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น และมันจะเปลี่ยนวิธีที่เราช้อปปิ้งไปตลอดกาล
ระฆังเตือนภัย ผลกระทบเต็มๆ ต่อผู้ค้าไทย
พอเราเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของการบุกตลาดครั้งนี้แล้ว คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ แล้วผู้ประกอบการไทยล่ะ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ผู้นำเข้าสินค้า SME ของเราล่ะ จะเป็นยังไงต่อไป
เรื่องนี้ต้องบอกตามตรงว่า น่าเป็นห่วงครับ และมันคือผลกระทบโดยตรงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย กลุ่มแรกที่จะโดนเต็มๆ ก็คือบรรดา "ผู้นำเข้า" หรือ "คนกลาง" ที่เคยรับสินค้าเกาหลีมาขายต่อในไทย เมื่อแบรนด์แม่เขามาขายเองแล้ว แถมขายในราคาที่อาจจะถูกกว่าเพราะไม่มีต้นทุนบวกเพิ่ม แล้วใครจะอยากซื้อกับคนกลางอีกล่ะครับ นี่คือความท้าทายที่ใหญ่หลวงมาก
กลุ่มที่ 2 คือ "ผู้ผลิต" สินค้าประเภทเดียวกันในไทย เช่น แบรนด์สกินแคร์ แบรนด์เครื่องสำอาง หรือแบรนด์แฟชั่นของไทยเอง ที่ผ่านมาเราก็แข่งขันกันเองหนักหน่วงอยู่แล้ว ตอนนี้เรากำลังจะต้องเจอกับคู่แข่งระดับโลกที่กระโดดลงมาเล่นในสมรภูมิเดียวกับเราแบบเต็มตัว
ความน่ากลัวมันไม่ได้มีแค่เรื่อง "แบรนด์" ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นครับ แต่ไฮไลท์สำคัญมันอยู่ที่ "ต้นทุน" ที่เขาได้เปรียบเรามหาศาล แบรนด์เกาหลีเหล่านี้ เมื่อเขาขายตรงผ่านแพลตฟอร์มใหญ่และใช้เครือข่ายโลจิสติกส์ระดับโลก พวกเขาได้เปรียบเรื่อง "ภาษี" และ "ค่าขนส่ง" อย่างมาก ลองนึกดูว่าถ้าเขาสามารถส่งสินค้าจากเกาหลีมาถึงมือลูกค้าในไทย ด้วยต้นทุนค่าส่งที่ถูกแสนถูก หรืออาจจะแทบไม่ต่างจากค่าส่งในประเทศเลย มันจะเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาจะสามารถทำราคาขายได้ถูกกว่าสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยนำเข้ามา หรือแม้แต่สินค้าที่ผลิตในไทยเองด้วยซ้ำ นี่คือการแข่งขันที่ต้องบอกว่า "ไม่แฟร์" สักเท่าไหร่ แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในโลกการค้าเสรี ผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อีคอมเมิร์ซเลยก็ว่าได้
เบื้องหลังความเร็วแสง ระบบขนส่ง จีน-เกาหลี ที่แข็งแกร่ง
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้การบุกตลาดครั้งนี้มันน่ากลัวและทรงพลังอย่างยิ่ง ก็คือเรื่องของ "โลจิสติกส์" หรือระบบการขนส่งครับ
ในอดีต การสั่งของจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนหรือเกาหลี มันคือการรอคอยที่ยาวนาน อาจจะ 15 วัน 30 วัน หรือบางทีเป็นเดือนกว่าของจะมาถึง แถมค่าส่งก็แพง แต่ภาพนั้นมันกำลังจะหายไปครับ เพราะตอนนี้เขามีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ชื่อว่า "Chai Niao" (ไช่เหนียว)
Chai Niao คือบริษัทโลจิสติกส์ในเครือของ Alibaba ซึ่งก็คือบริษัทแม่ของ Lazada นั่นเองครับ เครือข่ายนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการค้าอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนโดยเฉพาะ พวกเขามีระบบจัดการคลังสินค้า โกดัง และเครือข่ายการขนส่งที่เชื่อมโยงจีน เกาหลีใต้ และอาเซียนเข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น
ผลลัพธ์คืออะไรครับ ผลลัพธ์คือสินค้าที่สั่งจากเกาหลีหรือจีน สามารถเดินทางมาถึงประเทศไทย และส่งถึงหน้าบ้านลูกค้าได้ภายในเวลาเพียง "ไม่กี่วัน" 5 วัน 7 วัน ก็ได้รับของแล้ว มันรวดเร็วชนิดที่ว่าการสั่งของจากต่างประเทศ แทบไม่รู้สึกแตกต่างจากการสั่งของในประเทศอีกต่อไป
เมื่อผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดีแบบนี้ ได้ของเร็ว ส่งฟรีหรือค่าส่งถูกมาก มันก็ยิ่งทำให้กำแพงในการตัดสินใจซื้อสินค้าข้ามพรมแดนมันพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ความเร็วในการจัดส่งกลายเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้แบรนด์ต่างชาติเหล่านี้ได้เปรียบผู้ค้าไทยที่อาจจะยังใช้ระบบขนส่งแบบเดิมๆ นี่คือพลังของเทคโนโลยีและเครือข่ายขนาดใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนเกมการแข่งขันไปอย่างสิ้นเชิง
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ผู้ประกอบการไทยต้องรุกตลาดอาเซียน
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มท้อใจว่า โห แล้วผู้ประกอบการไทยจะสู้เขายังไงล่ะครับ เจอทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ต้นทุนก็ถูกกว่า ขนส่งก็เร็วกว่า แต่ในทุกวิกฤตมันมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอครับ
ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจมากจากผู้เชี่ยวชาญในวงการก็คือ "ในเมื่อเขารุกเราได้ เราก็ต้องรุกเขากลับ" แต่การจะไปสู้กับเขาในตลาดเกาหลีหรือจีนอาจจะยากเกินไป สิ่งที่เราควรทำคือการใช้ "อาวุธ" เดียวกันกับที่เขาใช้บุกเรานี่แหละครับ นั่นคือ "แพลตฟอร์ม"
ในเมื่อ Lazada หรือ Shopee มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วทั้งอาเซียนทำไมผู้ประกอบการไทยจะใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ขายสินค้าของเราไปยังประเทศเพื่อนบ้านบ้างไม่ได้ล่ะครับ ตลาดเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ยังมีกำลังซื้อมหาศาล และสินค้าไทยเองก็มีชื่อเสียงที่ดีในสายตาชาวอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอาหารแปรรูป สินค้าความงาม หรือสินค้าแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์
แทนที่จะตั้งรับและแข่งขันในสมรภูมิทะเลสีเลือด (Red Ocean) ในบ้านเราอย่างเดียว เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ หันไปบุกตลาดต่างประเทศ (Blue Ocean) ผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนดูบ้าง ใช้เครื่องมือที่แพลตฟอร์มเขามีให้ในการขยายตลาดของเราออกไป
แน่นอนว่าการจะทำแบบนั้นได้ ผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัว พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ให้เป็น แต่ลำพังผู้ประกอบการอย่างเดียวอาจจะไม่พอ "ภาครัฐ" เองก็ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
รัฐต้องช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในเรื่องเดียวกับที่คู่แข่งเราได้เปรียบ นั่นคือ "โลจิสติกส์" และ "ระบบภาษี" ต้องทำยังไงก็ได้ให้การส่งสินค้าจากไทยไปขายในอาเซียน มันง่าย สะดวก ต้นทุนต่ำ และมีระบบภาษีที่เอื้ออำนวยต่อการส่งออก ไม่ใช่สร้างกำแพงให้ผู้ประกอบการต้องปวดหัว นี่คือการบ้านข้อใหญ่ที่ภาครัฐต้องรีบทำ เพื่อช่วยให้ SME ไทยสามารถก้าวออกไปแข่งขันในเวทีระดับภูมิภาคได้ครับ
บทเรียนจากตลาดจีน แม้เศรษฐกิจชะลอ แต่โอกาสยังมี
สุดท้ายนี้ มีอีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจจากข้อมูล นั่นคือเรื่องของ "ตลาดจีน" ครับ แม้ว่าช่วงนี้เราจะได้ยินข่าวว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวบ้าง แต่ในความเป็นจริง แบรนด์ต่างชาติเก่งๆ เขาก็ยังไม่ถอยนะครับ เขายังคงมองว่าจีนคือตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสเสมอ
แต่สิ่งที่เขทำไม่ใช่การลุยเข้าไปแบบไม่ลืมหูลืมตา เขา "ปรับกลยุทธ์" อย่างหนักเลยครับ หัวใจสำคัญคือการ "Localization" หรือการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง พวกเขาไม่ได้แค่แปลภาษา แต่เขาพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรม ความชอบ และกระแสสังคมของคนจีน
พวกเขาใช้ "ข้อมูลผู้บริโภค" หรือ Data อย่างหนักหน่วง เพื่อวิเคราะห์ว่าลูกค้าต้องการอะไร และใช้ "โซเชียลมีเดีย" ของจีน เช่น Weibo หรือ Douyin (TikTok ของจีน) ในการสร้างความเชื่อมโยง สร้าง Engagement และสร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นกับลูกค้า
บทเรียนนี้สำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าคุณจะขายของในไทย หรือจะบุกตลาดอาเซียนอย่างที่เราคุยกันไป คุณไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายเดียวได้กับทุกตลาดอีกแล้ว คุณต้องเข้าใจลูกค้าในแต่ละพื้นที่อย่างลึกซึ้ง ต้องใช้ดาต้าให้เป็น ต้องเล่นโซเชียลมีเดียให้เก่ง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า นี่คือทักษะสำคัญที่สุดของผู้ประกอบการในยุค AI และ Data-Driven ครับ
โลกการค้ามันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ครับ มันไม่มีพรมแดนอีกต่อไป การแข่งขันมันเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์บนหน้าจอมือถือของเราทุกคน ผู้ประกอบการไทยต้องตื่นตัวและปรับตัวอย่างเร่งด่วนที่สุด พัฒนาสินค้า สร้างแบรนด์ และเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มให้เป็นประโยชน์สูงสุด ทั้งในการป้องกันตลาดในบ้าน และการรุกคืบไปสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาดต่างประเทศครับ