จะเกิดอะไรขึ้นถ้าธนาคารกลางทั่วโลกซึ่งเป็นสถาบันที่กุมอำนาจเงินตราของประเทศต่างๆ ตัดสินใจนำเงินทุนสำรองมาลงทุนใน Bitcoin มากถึง 5%??
นี่ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่คือการลงมติรับรองความยิ่งใหญ่ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงฟองสบู่ และเป็นการส่งสัญญาณว่ายุคสมัยของทองคำและสกุลเงินแบบเดิมกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
มูลค่าของ Bitcoin จะพุ่งทะลุทุกเพดาน
การตัดสินใจเข้าซื้อ Bitcoin ในสัดส่วน 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Hyperbitcoinization" หรือการที่ Bitcoin เข้ามาเป็นแกนหลักของระบบการเงินโลกอย่างสมบูรณ์ ราคาของ Bitcoin จะพุ่งทะลุทุกการคาดการณ์
เมื่อความต้องการซื้อจำนวนมหาศาลจากสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกไหลเข้ามาในตลาดที่มีปริมาณ Bitcoin อยู่จำกัด จะทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ไม่ใช่แค่หลักแสนดอลลาร์ แต่จะเป็นการก้าวกระโดดไปสู่หลัก 1 ล้านดอลลาร์ หรืออาจถึง 5 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ เนื่องจากผู้ถือ Bitcoin รายเดิมส่วนใหญ่จะไม่มีเหตุผลที่จะขายสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับจากธนาคารกลางในราคาที่ต่ำ
Bitcoin จะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเงินใหม่
การที่ธนาคารกลางยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองระดับโลก จะทำให้มันก้าวขึ้นสู่สถานะที่แข็งแกร่งกว่าทองคำเสียอีก ความน่าเชื่อถือของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe-haven Asset) ทุกสถาบันการเงินจะแห่กันเข้ามาลงทุน และทำให้ Bitcoin ไม่ใช่แค่สินทรัพย์สำรองของธนาคารกลาง แต่จะกลายเป็นแกนหลักของระบบการเงินโลก
นักลงทุนรายย่อยและภาคเอกชนจะได้รับความมั่นใจอย่างเต็มที่ และเริ่มนำ Bitcoin มาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนอย่างจริงจัง องค์กรและบริษัทใหญ่จะหันมาใช้ Bitcoin เป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ และระบบการเงินแบบกระจายอำนาจจะเข้ามาแทนที่ระบบรวมศูนย์แบบเดิมอย่างสมบูรณ์
ยุคทองของทองคำกำลังจะจบลง
การตัดสินใจครั้งนี้จะบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าคุณสมบัติที่เคยทำให้ทองคำเป็นที่ยอมรับอย่างยาวนานอย่างความหายากและเป็นแหล่งเก็บมูลค่า กำลังถูกแทนที่ด้วย Bitcoin ที่เหนือกว่าในทุกด้าน ทั้งในเรื่องความสะดวกในการโอนย้าย การแบ่งหน่วยย่อย และความโปร่งใสในระบบบัญชี ทำให้ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์สำรองแห่งยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
การกระทำของธนาคารกลางทั่วโลกครั้งนี้จะเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า "ระบบการเงินแบบเก่ากำลังจะจบลง" และเป็นการเปิดประตูต้อนรับยุคสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนและอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดของ Bitcoin
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าธนาคารกลางทั่วโลกนำเงินทุนสำรอง 5% มาซื้อ Bitcoin???
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าธนาคารกลางทั่วโลกซึ่งเป็นสถาบันที่กุมอำนาจเงินตราของประเทศต่างๆ ตัดสินใจนำเงินทุนสำรองมาลงทุนใน Bitcoin มากถึง 5%??
นี่ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่คือการลงมติรับรองความยิ่งใหญ่ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงฟองสบู่ และเป็นการส่งสัญญาณว่ายุคสมัยของทองคำและสกุลเงินแบบเดิมกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
มูลค่าของ Bitcoin จะพุ่งทะลุทุกเพดาน
การตัดสินใจเข้าซื้อ Bitcoin ในสัดส่วน 5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Hyperbitcoinization" หรือการที่ Bitcoin เข้ามาเป็นแกนหลักของระบบการเงินโลกอย่างสมบูรณ์ ราคาของ Bitcoin จะพุ่งทะลุทุกการคาดการณ์
เมื่อความต้องการซื้อจำนวนมหาศาลจากสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลกไหลเข้ามาในตลาดที่มีปริมาณ Bitcoin อยู่จำกัด จะทำให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ไม่ใช่แค่หลักแสนดอลลาร์ แต่จะเป็นการก้าวกระโดดไปสู่หลัก 1 ล้านดอลลาร์ หรืออาจถึง 5 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ เนื่องจากผู้ถือ Bitcoin รายเดิมส่วนใหญ่จะไม่มีเหตุผลที่จะขายสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับจากธนาคารกลางในราคาที่ต่ำ
Bitcoin จะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเงินใหม่
การที่ธนาคารกลางยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองระดับโลก จะทำให้มันก้าวขึ้นสู่สถานะที่แข็งแกร่งกว่าทองคำเสียอีก ความน่าเชื่อถือของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe-haven Asset) ทุกสถาบันการเงินจะแห่กันเข้ามาลงทุน และทำให้ Bitcoin ไม่ใช่แค่สินทรัพย์สำรองของธนาคารกลาง แต่จะกลายเป็นแกนหลักของระบบการเงินโลก
นักลงทุนรายย่อยและภาคเอกชนจะได้รับความมั่นใจอย่างเต็มที่ และเริ่มนำ Bitcoin มาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนอย่างจริงจัง องค์กรและบริษัทใหญ่จะหันมาใช้ Bitcoin เป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ และระบบการเงินแบบกระจายอำนาจจะเข้ามาแทนที่ระบบรวมศูนย์แบบเดิมอย่างสมบูรณ์
ยุคทองของทองคำกำลังจะจบลง
การตัดสินใจครั้งนี้จะบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าคุณสมบัติที่เคยทำให้ทองคำเป็นที่ยอมรับอย่างยาวนานอย่างความหายากและเป็นแหล่งเก็บมูลค่า กำลังถูกแทนที่ด้วย Bitcoin ที่เหนือกว่าในทุกด้าน ทั้งในเรื่องความสะดวกในการโอนย้าย การแบ่งหน่วยย่อย และความโปร่งใสในระบบบัญชี ทำให้ Bitcoin กลายเป็นสินทรัพย์สำรองแห่งยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
การกระทำของธนาคารกลางทั่วโลกครั้งนี้จะเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า "ระบบการเงินแบบเก่ากำลังจะจบลง" และเป็นการเปิดประตูต้อนรับยุคสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนและอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดของ Bitcoin