พระ​พุทธ​ทาสสอนว่าใครเห็น​สุญญตาความตาจะไม่มี​เห็น​แต่​สังขาร​

“การเห็น “สุญญตา” ความตายจะไม่มี
มีแต่ “สังขาร” การปรุงแต่งตามกฎของธรรมชาติล้วนๆไหลไป
.
.... “ สิ่งที่สามารถทำจิตให้ไม่กลัวความตายเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่อง “สัจจธรรม” หรือ “ปรมัตถธรรม” โดยตรง และถึงขั้นที่สุดด้วย ฉะนั้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ“สัมมาทิฏฐิ”ชั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา ที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “สุญญตา (ความว่าง)” ได้อย่างชัดแจ้ง การเห็นอนัตตาของกายและใจ จะทำให้เห็นความ “ไม่มีตัวตน” ที่ถาวร มีแต่นามธรรม(= จิตใจ) อันเป็นธรรมชาติคู่กับรูปธรรม( =ร่างกาย) ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงเหมือนกัน ชีวิตจึงเป็นเพียง..กระแสของธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไหลเรื่อยไปจนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย.
.
.... การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือ สิ่งทั้งปวง ว่าเป็นของว่างจากตัวตนโดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็น “ความไม่มีการเกิด” ของอะไรๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี
.... การเห็นสุญญตา ทำให้..ไม่มีตัวคนเราหรือตัวตนของใครเลย มีแต่.. “ สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป ”
.... จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป
.... ฉะนั้น ความตายจึงไม่มีสำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง.
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย”
----------------------------------
.
ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
.
[ ปรัศนี ] : มีผู้กล่าวว่า ท่านอาจารย์สอนว่า ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย นั้น เป็นมิจฉาทิฎฐิ ดังนี้ ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไรครับ?
.
[ พุทธทาส ] : เฮ้ย! เล่นไม่ซื่อ เล่นสกปรกแล้ว เราไม่ได้ว่าโว้ย! พระพุทธเจ้าว่านะ! พระพุทธเจ้าท่านว่านะ อย่าไปพูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด มันไม่มีใครเกิด มันมีแต่สังขารการปรุงแต่งตามกฎของธรรมชาติ
.... ทีนี้ เขาไปสมมติให้ไปเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตาย เป็นเกิด มันเป็นกิริยาปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลงของ สังขาร ธาตุ ขันธ์ อะไรนี้ ไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นอย่างนั้นๆ แล้วชาวบ้านนั้นก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก เขาไปสมมติว่า กิริยาอย่างนี้เรียกว่า เกิด กิริยาอย่างนี้เรียกว่า ตาย ทีนี้ เขามีความยึดถือว่า เป็นตัว เป็นตน มีตัว มีตน มาก่อนแล้ว ก็เรียกว่า ตนมันเกิด ตนมันตาย เป็นความเกิดความตายของตน
.... ทีนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้แล้ว ก็สอนว่า..นั้นมันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติล้วนๆ สุทฺธัมฺมา ปวตฺตนฺติ ธรรมชาติล้วนๆเท่านั้นมันเป็นไป อ้ายธรรมชาติล้วนๆนี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน. ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มันเป็นไป คือมันเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของ “กฏอิทัปปัจจยตา” เป็นต้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แล้วมันก็ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด
.... รู้พุทธศาสนาอย่างเด็กๆก็จะรู้ว่ามีคนตายมีคนเกิด ถ้ารู้พุทธศาสนาอย่างเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว ก็จะเห็นตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า มันไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันก็ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด มีแต่กิริยาแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังขารที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย
.... ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดก็ไม่ใช่คนนะ เป็นสังขารที่กำลังดำรงอยู่ตามเหตุตามปัจจัย ที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่คน มันอยู่อย่างอาการที่ว่ามันปรุงแต่งกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จึงนั่งอยู่อย่างนี้ ถ้ามันจะปรุงแต่งในลักษณะที่ตาย มันก็เป็นการปรุงแต่งอยู่นั่นแหละ ไม่ใช่มีคนอยู่ที่นี่ หรือมีคนตาย หรือมีคนเกิด นี่คือ..หลักของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ.
.... การที่บอกว่ามีแต่สังขาร ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จึงถือว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย นั่นนะไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ นั่นแหละ คือ “สัมมาทิฏฐิ”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “ดอกโมกข์” ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙
-----------------------------------------
.
สุญญตา โลกว่าง จิตว่าง
.
…. “ พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น ตัวตน หรือ ของตน เป็น ตัวเรา หรือ ของเรา....
.
…. จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่า เป็นตัวตน ของตน หรือ กำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็น “ตัวตน-ของตน” นี้ ขอเรียกว่า “จิตว่าง” เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
.
มีคำอธิบายใน ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑ ว่า...
“ ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต ”
( แปลว่า ) ชื่อว่า สุญญตา เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
.
…. ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า “ จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ ” เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน โสฬสปัญหา ว่า...
“ สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วยอุปาทาน ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า “สุญฺญตา”
.
…. ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า “โลกนี้ว่าง” เพราะว่างจาก ตัวตน ของตน
…. ได้ใจความถัดมาว่า “จิตว่าง” เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า “สุญญตา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา”
-----------------------------------
.
สุญญตา
.
…. “ คำว่า สุญญตา ที่หมายความถึง ความว่าง อันเป็นลักษณะเฉพาะของปรากฏการณ์ทั้งปวงนั้น มีที่มาในคำว่า “ อตฺตสุญฺญตา, อตฺตนิยสุญฺญตา, นิจฺจภาวสุญฺญตา ” ดังนี้ เป็นต้น
.
…. หมายถึง ความว่างจาก ตัวตน, ความว่างจากของของตน, ความว่างจากภาวะที่เที่ยงแท้ถาวร, อันเป็นความว่างซึ่งส่ออยู่ที่สิ่งทุกสิ่งอันมีปรากฏการณ์ต่อสัตว์โลก.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย “สุญญตา” บรรยายในพรรษาประจำปี ๒๕๐๓
------------------------------------
.
ความว่าง สุญญตา
.
…. “ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้วิธีหนึ่งว่า ให้พิจารณาแยกสิ่งทั้งปวงออกเป็นธาตุต่างๆ เมื่อแยกออกได้จริงๆก็จะเห็นว่า ไม่มีสิ่งอะไรซึ่งเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จริงๆเลย เหมือนอย่างต้นไม้ซึ่งเป็นสิ่งรวมอย่างหนึ่ง เมื่อดูลงไปว่าต้นไม้อยู่ที่ไหน ดูแยกออกไปๆ ก็จะไม่พบว่าอะไรเป็นต้นไม้ มีแต่สิ่งที่แยกทั้งนั้น ยิ่งแยกออกไปก็ยิ่งไม่พบอะไร กลายเป็น“ความว่าง (สุญญตา)” ได้ตรัสสอนมณนพผู้หนึ่ง(โมฆราช) ไว้ว่า...
…. “ สุญญโต โลกํ อเวกฺขสฺส โมฆราช สทา สโต ” (แปลว่า) ดูก่อน! โมฆราช เธอจงมีสติ พิจารณาเห็นโลก เป็นของว่าง ทุกเมื่อเถิด”
.
สมเด็จพระญาณสังวร
ที่มา : พระนิพนธ์ เรื่อง “โลกและชีวิต ในพุทธธรรม”
--------------------------------------
.
ความสำคัญของ “สุญญตา” คือเล็งถึงนิพพานโดยตรง
.
“ลักษณะของ“สุญญตา” คือ ลักษณะแห่งความว่างจาก“ตัวตน” อันเป็นลักษณะของสิ่งทั้งปวง ซึ่งเมื่อผู้ใดรู้แล้ว เห็นแล้ว จะทำให้ถอนความยึดถือว่า..ตัวตน หรือ ของตน ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้...
.
สุญญตา เล็งถึงนิพพานโดยตรง เพราะนิพพานเป็นของว่างจากตัวตน หรือ เมื่อจิตลุถึงนิพพานนั้น หมายถึง เมื่อจิตลุถึง ความว่างจาก ตัวตน นั่นเอง.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อ “ความสำคัญของเรื่องสุญญตา” เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๓
.
##  ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่