หุ้นเติบโต VS หุ้นคุณค่า เลือกลงทุนแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

*หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาการลงทุนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน อีกทั้งผลประกอบการในอดีตไม่สามารถการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคตได้
แนวโน้มของอนาคตการลงทุนในตลาดหุ้น
1. ภาวะตลาดหุ้นและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง: ตั้งแต่ต้นปี ดัชนีหลักอย่าง SET และ SET50 ปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ค่อนข้างเปราะบาง

2. นักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนหุ้น: นักลงทุนต่างชาติบางส่วนเริ่มขายหุ้นไทยและหันไปลงทุนใน ตลาดตราสารหนี้ ไทยมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นผลจากความไม่เชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่

3. ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการท่องเที่ยว: เสถียรภาพทางการเมืองที่ไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงชะลอตัว ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน และทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง

สรุป
ตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เห็นได้จากทิศทางการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติที่เปลี่ยนไปสู่ตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการกระจายความเสี่ยงและความกังวลของนักลงทุนต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกร และ efinancethai


หุ้น (Stock) คืออะไร?
หุ้น คือ ส่วนที่แสดงความเป็นเจ้าของ ในกิจการนั้นๆ ผู้ถือหุ้นจึงมีสิทธิในบริษัทและจะได้รับผลตอบแทนใน 2 รูปแบบหลัก:
เงินปันผล (Dividend): ส่วนแบ่งจากกำไรของบริษัท
ส่วนต่างราคา (Capital Gain): กำไรที่ได้จากการขายหุ้นในราคาที่สูงขึ้น

การเลือกหุ้นพื้นฐานดี
การเลือกหุ้นพื้นฐานดี คือการลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยพิจารณาจาก:
ผลประกอบการ: บริษัทควรมีผลกำไรที่สม่ำเสมอ หรือหากขาดทุนก็ต้องมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับมามีกำไรได้ในระยะยาว
การเติบโต: บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง
ความมั่นคง: บริษัทมีรากฐานที่มั่นคงและแข็งแกร่ง
การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

หุ้นพื้นฐานดี ทำได้โดยวิเคราะห์จากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
งบการเงิน: ตรวจสอบงบการเงินของบริษัท เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อดูสุขภาพทางการเงินและความมั่นคง
ภาพรวมเศรษฐกิจ: ประเมินแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมและภาพรวมเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อบริษัท
ความสามารถในการทำกำไร: พิจารณาความสามารถของบริษัทในการสร้างรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอ
แนวคิดการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบหลัก:

1. การลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Stock)
นักลงทุนกลุ่มนี้จะมองหาหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการทำกำไรจาก ส่วนต่างราคา (Capital Gain) ที่คาดว่าหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

2. การลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Stock)
นักลงทุนกลุ่มนี้จะมองหาหุ้นที่ ราคาในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ของบริษัท โดยเชื่อว่าในอนาคตราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นเพื่อสะท้อนมูลค่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังอาจได้รับ เงินปันผล (Dividend) ในระหว่างการถือครองด้วย


หุ้นเติบโต (Growth Stock) คืออะไร?
หุ้นเติบโต คือหุ้นของบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าหุ้นทั่วไปในตลาด ไม่ว่าจะเป็นด้านรายได้หรือกำไร

จุดเด่น: หุ้นประเภทนี้มักให้ผลตอบแทนสูง และนักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ลักษณะ: มักมีค่า P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio) และ P/BV Ratio (Price-to-Book Value Ratio) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เพราะนักลงทุนมองเห็นศักยภาพในการเติบโตในอนาคตของบริษัท
ตัวอย่าง: หุ้นของบริษัทที่กำลังเป็นกระแสหรือมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น บริษัทด้านเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ

โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนที่สนใจหุ้นเติบโตจะเน้นการทำกำไรจาก ส่วนต่างราคา (Capital Gain) มากกว่าการรับ เงินปันผล (Dividend) เนื่องจากบริษัทมักจะนำกำไรที่ได้ไปใช้ในการขยายธุรกิจต่อแทนที่จะนำมาจ่ายเป็นเงินปันผล


หุ้นเติบโตดูยังไง?
การลงทุนในหุ้นเติบโตส่วนใหญ่จะเน้นการทำกำไรจาก ส่วนต่างราคา (Capital Gain) มากกว่าเงินปันผล นักลงทุนจึงควรประเมินว่าธุรกิจนั้นมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวหรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้:

ปัจจัยที่ใช้ในการประเมิน
คุณภาพธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน: ธุรกิจต้องมีจุดเด่นหรือความได้เปรียบที่เหนือกว่าคู่แข่ง เช่น มีนวัตกรรมเฉพาะตัว หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่แข็งแกร่ง
แนวโน้มการเติบโต: ธุรกิจมีโอกาสที่จะเติบโตได้ต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของรายได้และตัวธุรกิจโดยรวมในอนาคต
งบการเงินที่แข็งแกร่ง: แม้จะเป็นหุ้นเติบโตที่อาจยังไม่ทำกำไรในระยะแรก แต่โครงสร้างทางการเงินของบริษัทต้องมีความมั่นคง ไม่เปราะบางจนเกินไป
ราคาหุ้นที่เหมาะสม: แม้จะเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่การซื้อในราคาที่แพงเกินไปก็อาจลดโอกาสในการทำกำไรได้ ดังนั้นจึงควรประเมินมูลค่าหุ้นก่อนตัดสินใจ
อัตราส่วนที่ใช้ประเมินมูลค่าหุ้นเติบโต
นักลงทุนนิยมใช้อัตราส่วนทางการเงินเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งโดยทั่วไปหุ้นเติบโตจะมีค่าดังนี้:
P/E Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร): มักจะ สูงกว่า หุ้นทั่วไปในอุตสาหกรรมเดียวกัน
P/BV Ratio (อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี): มักจะ สูงกว่า หุ้นทั่วไป
PEG Ratio (อัตราส่วน P/E ต่อการเติบโตของกำไร): เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ประเมินมูลค่าหุ้นเติบโตโดยเฉพาะ โดยค่า ควรต่ำกว่า 1 ซึ่งบ่งชี้ว่าหุ้นยังอยู่ในระดับราคาที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตที่คาดหวัง
หุ้นคุณค่า (Value Stock) คือ? 
 หุ้นคุณค่า คือหุ้นที่มีราคาในตลาด ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ของกิจการ โดยนักลงทุนเชื่อว่าในที่สุดราคาจะปรับตัวขึ้นเพื่อสะท้อนมูลค่าที่ควรจะเป็น
ลักษณะเด่น: บริษัทที่ออกหุ้นประเภทนี้มักจะจ่าย เงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคง
การเติบโตและความเสี่ยง: แม้ว่าหุ้นคุณค่าจะเติบโตได้ช้ากว่าหุ้นเติบโต แต่ก็มี ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ด้วยเช่นกัน
เหมาะกับใคร: การลงทุนในหุ้นคุณค่าเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการถือครองหุ้นใน ระยะยาว และมุ่งหวังกำไรจากทั้งส่วนของเงินปันผลและส่วนต่างราคาในระยะยาว ไม่เหมาะสำหรับการเก็งกำไรในระยะสั้น
วิธีดูหุ้นคุณค่า (Value Stock)
การลงทุนใน หุ้นคุณค่า ต้องอาศัยการมองการณ์ไกลว่าธุรกิจนั้นจะยังคงอยู่และสร้างผลตอบแทนได้ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้:

ปัจจัยที่ใช้ในการประเมิน
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: พิจารณาภาพรวมของธุรกิจและเศรษฐกิจ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจมีรากฐานที่มั่นคง
ดูอัตราส่วนทางการเงิน: ตรวจสอบงบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เพื่อประเมินสุขภาพทางการเงินของบริษัท
ความมั่นคงของธุรกิจ: ธุรกิจต้องมีความแข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะยาว
ราคาหุ้นที่เหมาะสม: ราคาหุ้นในตลาดต้อง "ถูก" เมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนแบบนี้
อัตราส่วนที่ใช้ประเมินมูลค่าหุ้นคุณค่า
เพื่อยืนยันว่าหุ้นมีราคาที่น่าสนใจหรือไม่ นักลงทุนจะใช้อัตราส่วนเหล่านี้เพื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในตลาด:
P/E Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร): ควรต่ำกว่า ค่าเฉลี่ยของตลาดหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน
P/BV Ratio (อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี): ควรใกล้เคียง 1 เท่า หรือต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งแสดงว่าราคาหุ้นในตลาดใกล้เคียงหรือต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท
P/CF Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกระแสเงินสด): ควรต่ำกว่า ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม บ่งชี้ว่าราคาหุ้นยังถูกเมื่อเทียบกับกระแสเงินสดที่บริษัทสร้างได้

ตามข้อมูล ณ วันที่ 30/06/2568 หุ้นเติบโตที่น่าสนใจ 5 ตัวในประเทศไทย ได้แก่:
หุ้น AOT: บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
หุ้น CPALL: บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
หุ้น DELTA: บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
หุ้น BDMS: บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
หุ้น GULF: บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
ข้อควรระวัง
การจัดประเภทหุ้นว่าเป็น "หุ้นเติบโต" หรือ "หุ้นคุณค่า" สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะตลาดและผลการดำเนินงานของบริษัท ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นและ ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ด้วยตนเองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568, หุ้นคุณค่าที่น่าสนใจ 5 ตัวในตลาดหุ้นไทย ได้แก่:
หุ้น PTT: บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
หุ้น SCB: ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
หุ้น BBL: ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
หุ้น CPF: บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
หุ้น SCC: บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

ข้อควรระวัง
การจัดประเภทหุ้นว่าเป็น "หุ้นคุณค่า" หรือ "หุ้นเติบโต" นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดและผลประกอบการของแต่ละบริษัท ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นและ ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน นักลงทุนควรทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและวิเคราะห์อย่างรอบคอบด้วยตนเองก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่