#ทันหุ้น – การวางหมากของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ ภายใต้การนำของ “ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง” นับตั้งแต่รับตำแหน่งพฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกล้าปรับใหญ่ยุติธุรกิจขาดทุน เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หาทางสร้างผลตอบแทนต่อบริษัท และดูแลผู้ถือหุ้น
ยุคก่อนหน้า ปตท. อาจให้ความสำคัญกับเดินหน้าลงทุนในธุรกิจ New S-curve หลายด้าน เช่น อีวี, โลจิสติกส์ไปจนถึงวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต เพื่อคว้าโอกาส เปรียบเสมือนการใส่ลูกกระสุนขนาดเล็กยิงนกหลายตัวพร้อมกัน
ทั้งๆ ที่ PTT มีอาวุธหลัก บาซูก้า ขนาดใหญ่ คือ ธุรกิจพลังงาน เมื่อเปลี่ยนกัปตัน เสียงนกหวีดใหม่ ดังก้อง “รู้ว่าอะไรไม่ใช่ ก็เดินออกให้เร็ว”
ปตท. ตัดสินใจ ถอยจากอีวี และลดบทบาทการถือหุ้นใน Horizon Plus ส่งผลให้ “เงินสดไหลกลับหลายพันล้านบาท” คืนมา พร้อมปิดฉากความเสี่ยงในตลาดที่ยักษ์ใหญ่เข้ามาแข่งเดือดและเผาเงินรุนแรง
หยุดโปรเจกต์โลจิสติกส์ด้านเกษตร เพราะอยู่นอกจุดแข็งเชิงยุทธศาสตร์ ตลอดจนการประกาศลดสัดส่วนการถือหุ้นของธุรกิจวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้พันธมิตรนำ
สะท้อนชัดว่า แนวคิดของ ปตท. วันนี้ คือมุมคิดของผู้ประกอบการ หรือ Owner Mindset ไม่ใช่แค่รัฐวิสาหกิจที่ทุ่มเงินไปก่อน
@ “ฟิตจากภายใน” สู่อนาคตพลังงาน
หลังจัดทัพขจัดเรื่องที่ไม่ใช่ ปตท. หันมาลงแรงในจุดที่เป็น DNA แท้ คือ พลังงาน น้ำมัน ก๊าซ โครงสร้างพื้นฐาน ไปพร้อมกับเทคโนโลยีลดคาร์บอน พร้อมยกระดับระบบการเตรียมรับความเสี่ยง
มีการตั้ง War Room รับมือความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ทั้ง ราคาน้ำมัน นโยบายภาษีสหรัฐฯ และธุรกิจปิโตรเคมีที่ชะลอตัว จากดีมานด์ที่ลดลงเมื่อเทียบกับซัพพลายที่ล้นตลาด
ซึ่ง ปตท. ไม่ได้ปล่อยผ่านให้ลูกๆ ในส่วนธุรกิจปิโตรเคมี เผชิญชะตากรรมลำพัง แต่กลับพลิกเกมได้เฉียบขาด
@ ไอเดียเด็ดปรับสินทรัพย์
ยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดปี 2568 คือ Asset Monetization หรือการบริหารทรัพย์สินภายในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งนักลงทุนสายพื้นฐานให้คะแนนสูง เพราะคือสูตรปรับปรุงทรัพย์สินที่ทำให้ GC และ TOP มีความแข็งแกร่งขึ้น
โดย PTT มอบหมายให้ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship จัดตั้งบริษัทย่อย ดำเนินการซื้อและเช่าทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนที่ไม่ใช่พลังงาน เช่น ท่าเทียบเรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์ ท่อส่ง และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง จาก GC และ TOP และปล่อยให้เช่ากลับ
นอกจากจะสร้าง Synergy ในการใช้สินทรัพย์ และสร้างธุรกิจโมเดลใหม่ Energy Infrastructure ของกลุ่มปตท. ยังทำให้ฐานะการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งขึ้น จากการขายสินทรัพย์ออกไป หนี้สินลดลง ซึ่งทั้ง TOP และ GC สามารถบันทึกกำไรจากการขายทรัพย์สิน นั้นหมายถืงเรตติ้งของทั้ง TOP และ GC จะดีต่อชนิดนักลงทุนไม่ห่วง
แต่ที่มากไปกว่านั้น การที่ทรัพย์สินอยู่ในมือของ PTT ที่มีเรตติ้งสูงสุดในกลุ่มยัง ช่วยทำให้ทั้งกลุ่มสามารถใช้ประโยชน์จากต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำกว่าของ PTT
เรียกว่าไม่ได้แค่ “กระชับพอร์ต” แต่ “อัปเกรดระบบนิเวศน์ทั้งเครือ”
@ ถอยเพื่อสร้างพลัง
ส่วนธุรกิจอนาคตอย่าง Life Science จากการการลงทุนใน LOTUS บริษัทวิจัยและพัฒนายาในไต้หวัน แม้จะมีกำไร แต่ ปตท. ก็ได้เดินหน้า “ปลดล็อก” ด้วยการลดสัดส่วนการลงทุนใน LOTUS ลง เพื่อเปิดทางให้ LOTUS ลงทุนบริษัทยาสหรัฐฯ ได้สะดวก
PTT ไม่ต้องอุ้มเงินก้อนใหญ่เอง และธุรกิจโตทรงพลังขึ้น เป็นการจัดท่าให้ธุรกิจนี้เติบโตด้วยมือผู้เชี่ยวชาญ
@ ยุคใหม่ดูแลผู้ถือหุ้น
ไม่เพียงแค่ยุทธศาสตร์การบริหารเท่านั้น แต่ PTT ยังดูแลผู้ถือหุ้นท่ามกลางตลาดหุ้นไทยที่ซบเซา ปตท. ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ดูแลนักลงทุนด้วยการซื้อหุ้นคืนซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 23 กันยายน 2568 ได้ซื้อหุ้นคืนทั้งสิ้น 238.7 ล้านหุ้น มูลค่า 7,549 ล้านบาท พร้อมทั้งประกาศปันผลที่สูง โดยจ่ายเงินปันผลปี 2567 ที่ 2.10 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 6.6% ขณะที่การดำเนินงานในปี 2568 ได้ประกาศปันผลระหว่างกาลแล้ว 0.90 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 7.3%
การดำเนินธุรกิจของ ปตท. วันนี้ ต้องยอมรับว่า กำลังรีเซ็ตอย่างมืออาชีพ และคิดแบบผู้ประกอบการ ที่รับผิดชอบต่อสังคม พลังงาน ตลอดจนนักลงทุน
คิดลึกเกมธุรกิจสไตล์ PTT ครบเครื่องรุก-รับ-ปรับ-ถอย
#ทันหุ้น – การวางหมากของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ ภายใต้การนำของ “ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง” นับตั้งแต่รับตำแหน่งพฤษภาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกล้าปรับใหญ่ยุติธุรกิจขาดทุน เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หาทางสร้างผลตอบแทนต่อบริษัท และดูแลผู้ถือหุ้น
ยุคก่อนหน้า ปตท. อาจให้ความสำคัญกับเดินหน้าลงทุนในธุรกิจ New S-curve หลายด้าน เช่น อีวี, โลจิสติกส์ไปจนถึงวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต เพื่อคว้าโอกาส เปรียบเสมือนการใส่ลูกกระสุนขนาดเล็กยิงนกหลายตัวพร้อมกัน
ทั้งๆ ที่ PTT มีอาวุธหลัก บาซูก้า ขนาดใหญ่ คือ ธุรกิจพลังงาน เมื่อเปลี่ยนกัปตัน เสียงนกหวีดใหม่ ดังก้อง “รู้ว่าอะไรไม่ใช่ ก็เดินออกให้เร็ว”
ปตท. ตัดสินใจ ถอยจากอีวี และลดบทบาทการถือหุ้นใน Horizon Plus ส่งผลให้ “เงินสดไหลกลับหลายพันล้านบาท” คืนมา พร้อมปิดฉากความเสี่ยงในตลาดที่ยักษ์ใหญ่เข้ามาแข่งเดือดและเผาเงินรุนแรง
หยุดโปรเจกต์โลจิสติกส์ด้านเกษตร เพราะอยู่นอกจุดแข็งเชิงยุทธศาสตร์ ตลอดจนการประกาศลดสัดส่วนการถือหุ้นของธุรกิจวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้พันธมิตรนำ
สะท้อนชัดว่า แนวคิดของ ปตท. วันนี้ คือมุมคิดของผู้ประกอบการ หรือ Owner Mindset ไม่ใช่แค่รัฐวิสาหกิจที่ทุ่มเงินไปก่อน
@ “ฟิตจากภายใน” สู่อนาคตพลังงาน
หลังจัดทัพขจัดเรื่องที่ไม่ใช่ ปตท. หันมาลงแรงในจุดที่เป็น DNA แท้ คือ พลังงาน น้ำมัน ก๊าซ โครงสร้างพื้นฐาน ไปพร้อมกับเทคโนโลยีลดคาร์บอน พร้อมยกระดับระบบการเตรียมรับความเสี่ยง
มีการตั้ง War Room รับมือความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ทั้ง ราคาน้ำมัน นโยบายภาษีสหรัฐฯ และธุรกิจปิโตรเคมีที่ชะลอตัว จากดีมานด์ที่ลดลงเมื่อเทียบกับซัพพลายที่ล้นตลาด
ซึ่ง ปตท. ไม่ได้ปล่อยผ่านให้ลูกๆ ในส่วนธุรกิจปิโตรเคมี เผชิญชะตากรรมลำพัง แต่กลับพลิกเกมได้เฉียบขาด
@ ไอเดียเด็ดปรับสินทรัพย์
ยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดปี 2568 คือ Asset Monetization หรือการบริหารทรัพย์สินภายในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งนักลงทุนสายพื้นฐานให้คะแนนสูง เพราะคือสูตรปรับปรุงทรัพย์สินที่ทำให้ GC และ TOP มีความแข็งแกร่งขึ้น
โดย PTT มอบหมายให้ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship จัดตั้งบริษัทย่อย ดำเนินการซื้อและเช่าทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนที่ไม่ใช่พลังงาน เช่น ท่าเทียบเรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์ ท่อส่ง และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง จาก GC และ TOP และปล่อยให้เช่ากลับ
นอกจากจะสร้าง Synergy ในการใช้สินทรัพย์ และสร้างธุรกิจโมเดลใหม่ Energy Infrastructure ของกลุ่มปตท. ยังทำให้ฐานะการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งขึ้น จากการขายสินทรัพย์ออกไป หนี้สินลดลง ซึ่งทั้ง TOP และ GC สามารถบันทึกกำไรจากการขายทรัพย์สิน นั้นหมายถืงเรตติ้งของทั้ง TOP และ GC จะดีต่อชนิดนักลงทุนไม่ห่วง
แต่ที่มากไปกว่านั้น การที่ทรัพย์สินอยู่ในมือของ PTT ที่มีเรตติ้งสูงสุดในกลุ่มยัง ช่วยทำให้ทั้งกลุ่มสามารถใช้ประโยชน์จากต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำกว่าของ PTT
เรียกว่าไม่ได้แค่ “กระชับพอร์ต” แต่ “อัปเกรดระบบนิเวศน์ทั้งเครือ”
@ ถอยเพื่อสร้างพลัง
ส่วนธุรกิจอนาคตอย่าง Life Science จากการการลงทุนใน LOTUS บริษัทวิจัยและพัฒนายาในไต้หวัน แม้จะมีกำไร แต่ ปตท. ก็ได้เดินหน้า “ปลดล็อก” ด้วยการลดสัดส่วนการลงทุนใน LOTUS ลง เพื่อเปิดทางให้ LOTUS ลงทุนบริษัทยาสหรัฐฯ ได้สะดวก
PTT ไม่ต้องอุ้มเงินก้อนใหญ่เอง และธุรกิจโตทรงพลังขึ้น เป็นการจัดท่าให้ธุรกิจนี้เติบโตด้วยมือผู้เชี่ยวชาญ
@ ยุคใหม่ดูแลผู้ถือหุ้น
ไม่เพียงแค่ยุทธศาสตร์การบริหารเท่านั้น แต่ PTT ยังดูแลผู้ถือหุ้นท่ามกลางตลาดหุ้นไทยที่ซบเซา ปตท. ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ดูแลนักลงทุนด้วยการซื้อหุ้นคืนซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 23 กันยายน 2568 ได้ซื้อหุ้นคืนทั้งสิ้น 238.7 ล้านหุ้น มูลค่า 7,549 ล้านบาท พร้อมทั้งประกาศปันผลที่สูง โดยจ่ายเงินปันผลปี 2567 ที่ 2.10 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 6.6% ขณะที่การดำเนินงานในปี 2568 ได้ประกาศปันผลระหว่างกาลแล้ว 0.90 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 7.3%
การดำเนินธุรกิจของ ปตท. วันนี้ ต้องยอมรับว่า กำลังรีเซ็ตอย่างมืออาชีพ และคิดแบบผู้ประกอบการ ที่รับผิดชอบต่อสังคม พลังงาน ตลอดจนนักลงทุน