“ไวรัสตับอักเสบบี”... โรคร้ายใกล้ตัวที่คนเป็นเยอะ แต่กลับถูกมองข้าม!
หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “ไวรัสตับอักเสบบี” ผ่านหูมาบ้าง และอาจคิดว่าเป็นโรคของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเรา…แต่เดี๋ยวก่อน! ความจริงคือมันใกล้กว่าที่คิดมาก และคนจำนวนไม่น้อยก็มีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
โรคนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ตับอักเสบเฉยๆ แต่ยังเสี่ยงลามไปถึงตับแข็ง และมะเร็งตับ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทยเลยนะ และที่น่าตกใจคือบางคนติดตั้งแต่เด็ก เพราะรับเชื้อมาจากแม่ตอนคลอด หรือจากการใช้ของร่วมกันแบบไม่รู้ตัวเลย... วันนี้เลยอยากชวนมารู้จักไวรัสตับอักเสบบีให้มากขึ้นว่ามันติดต่อยังไง อันตรายขนาดไหน และเราจะป้องกันตัวเองได้ยังไง
ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบบีไม่ใช่แค่โรคตับอักเสบธรรมดาๆ แต่มันคือสาเหตุหลักของตับอักเสบและตับแข็ง แม้แต่คนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอร์ก็เป็นได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับด้วย การแสดงอาการของไวรัสตับอักเสบบีมีหลายระยะตั้งแต่เป็นพาหะ คือมีเชื้อแต่ตับไม่เป็นอะไรเลย (อันนี้น่ากลัวตรงที่เราจะไม่รู้ตัวเลย) ไปจนถึงตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ตับวาย และสุดท้ายคือมะเร็งตับ คนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกคนแม้จะเป็นแค่พาหะก็มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไป
ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อกันได้ยังไง?
หลักๆ แล้วไวรัสตับอักเสบบีติดต่อกันได้ 3 ทาง คือ
* ติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์
* ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
* ติดต่อจากการสัมผัสเลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือด เช่น น้ำเหลือง เกล็ดเลือด เป็นต้น
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อตั้งแต่ในวัยเด็กโดยได้รับมาจากมารดาที่เป็นพาหะ การติดเชื้อตั้งแต่ในวัยเด็กขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์เต็มที่จะทำให้เป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง และมักไม่แสดงอาการ การติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่มักเป็นแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการ ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายพยายามกำจัดเชื้อออกไป และส่วนใหญ่คนที่ติดเชื้อตอนโตร่างกายมักจะกำจัดเชื้อไปได้เอง
จะรู้ได้ไงว่าเราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี?
ส่วนใหญ่แล้วคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมักจะไม่มีอาการเลย หรือมีแค่อาการทั่วไปที่ใครๆ ก็เป็นได้ เช่น มีไข้ต่ำๆ เพลียๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน พอตับเริ่มแย่ลงมากๆ ถึงจะเริ่มมีอาการชัดเจนอย่างตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต ขาบวม หรืออาเจียนเป็นเลือด
แล้วจะรู้ได้ยังไง?... ว่าเรามีเชื้อ วิธีเดียวที่จะรู้ได้คือการเจาะเลือดตรวจเท่านั้น นี่แหละ! คือเหตุผลว่าทำไมเดี๋ยวนี้โรงพยาบาลหลายๆ แห่งถึงได้ใส่การตรวจการทำงานของตับ หรือตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีไว้ในโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีด้วยนั่นเอง
ใครบ้าง?... ที่ควรตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
สำหรับประเทศไทยมีคนเป็นโรคนี้เยอะมากๆ แนะนำว่าทุกคนควรได้รับการตรวจหาเชื้อแม้จะไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม เพราะการตรวจเลือดแค่ครั้งเดียวก็รู้ได้แล้วว่าเรามีเชื้อไหม (ไม่ต้องตรวจทุกปีเหมือนตรวจสุขภาพทั่วไป) โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้
* มีคนในครอบครัว (สามี/ภรรยา/พี่น้อง) เป็นไวรัสตับอักเสบบี
* คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
* ผู้ที่มีผลเลือดตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่รู้สาเหตุ
* ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย ตัวเหลืองตาเหลือง
* อุจจาระสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือดที่สงสัยว่าเกิดจากตับแข็ง
ถ้ารู้ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ต้องทำยังไง?
ปัจจุบันวงการแพทย์ได้มีการคิดค้นและพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินว่าเราควรได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ สำหรับผู้ที่อยู่ในระยะพาหะอาจยังไม่ต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส
ทั้งนี้ไม่ว่าจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีควรได้รับการตรวจคัดกรองเพื่อหามะเร็งตับระยะเริ่มต้นด้วยการตรวจเลือดและทำอัลตราซาวดน์ตับเป็นระยะๆ ทุก 6 เดือน เพราะหากพบโรคแต่เนิ่นๆ จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม
เข็มที่ 1: วันที่มาฉีดเข็มแรก
เข็มที่ 2: ห่างจากเข็มแรกประมาณ 1 เดือน
เข็มที่ 3: ห่างจากเข็มแรกประมาณ 6 เดือน
** ใครที่มีความเสี่ยงหรือยังไม่เคยตรวจอย่าลืมไปตรวจสุขภาพกันด้วยนะ เพื่อสุขภาพตับที่ดีของเราเอง ใครมีคำถามอะไรเพิ่มเติมหรืออยากแชร์ข้อมูล คอมเมนต์มาพูดคุยได้เลยนะคะ
ไวรัสตับอักเสบบี รีบรักษาก่อนกลายเป็นมะเร็งตับ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >>
https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/269
“ไวรัสตับอักเสบบี”... โรคร้ายใกล้ตัวที่คนเป็นเยอะ แต่กลับถูกมองข้าม!
“ไวรัสตับอักเสบบี”... โรคร้ายใกล้ตัวที่คนเป็นเยอะ แต่กลับถูกมองข้าม!
หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “ไวรัสตับอักเสบบี” ผ่านหูมาบ้าง และอาจคิดว่าเป็นโรคของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเรา…แต่เดี๋ยวก่อน! ความจริงคือมันใกล้กว่าที่คิดมาก และคนจำนวนไม่น้อยก็มีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
โรคนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ตับอักเสบเฉยๆ แต่ยังเสี่ยงลามไปถึงตับแข็ง และมะเร็งตับ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทยเลยนะ และที่น่าตกใจคือบางคนติดตั้งแต่เด็ก เพราะรับเชื้อมาจากแม่ตอนคลอด หรือจากการใช้ของร่วมกันแบบไม่รู้ตัวเลย... วันนี้เลยอยากชวนมารู้จักไวรัสตับอักเสบบีให้มากขึ้นว่ามันติดต่อยังไง อันตรายขนาดไหน และเราจะป้องกันตัวเองได้ยังไง
ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร?
ไวรัสตับอักเสบบีไม่ใช่แค่โรคตับอักเสบธรรมดาๆ แต่มันคือสาเหตุหลักของตับอักเสบและตับแข็ง แม้แต่คนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอร์ก็เป็นได้ ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับด้วย การแสดงอาการของไวรัสตับอักเสบบีมีหลายระยะตั้งแต่เป็นพาหะ คือมีเชื้อแต่ตับไม่เป็นอะไรเลย (อันนี้น่ากลัวตรงที่เราจะไม่รู้ตัวเลย) ไปจนถึงตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ตับวาย และสุดท้ายคือมะเร็งตับ คนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกคนแม้จะเป็นแค่พาหะก็มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไป
ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อกันได้ยังไง?
หลักๆ แล้วไวรัสตับอักเสบบีติดต่อกันได้ 3 ทาง คือ
* ติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์
* ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
* ติดต่อจากการสัมผัสเลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือด เช่น น้ำเหลือง เกล็ดเลือด เป็นต้น
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อตั้งแต่ในวัยเด็กโดยได้รับมาจากมารดาที่เป็นพาหะ การติดเชื้อตั้งแต่ในวัยเด็กขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์เต็มที่จะทำให้เป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง และมักไม่แสดงอาการ การติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่มักเป็นแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการ ไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายพยายามกำจัดเชื้อออกไป และส่วนใหญ่คนที่ติดเชื้อตอนโตร่างกายมักจะกำจัดเชื้อไปได้เอง
จะรู้ได้ไงว่าเราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี?
ส่วนใหญ่แล้วคนที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมักจะไม่มีอาการเลย หรือมีแค่อาการทั่วไปที่ใครๆ ก็เป็นได้ เช่น มีไข้ต่ำๆ เพลียๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน พอตับเริ่มแย่ลงมากๆ ถึงจะเริ่มมีอาการชัดเจนอย่างตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต ขาบวม หรืออาเจียนเป็นเลือด
แล้วจะรู้ได้ยังไง?... ว่าเรามีเชื้อ วิธีเดียวที่จะรู้ได้คือการเจาะเลือดตรวจเท่านั้น นี่แหละ! คือเหตุผลว่าทำไมเดี๋ยวนี้โรงพยาบาลหลายๆ แห่งถึงได้ใส่การตรวจการทำงานของตับ หรือตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีไว้ในโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีด้วยนั่นเอง
ใครบ้าง?... ที่ควรตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
สำหรับประเทศไทยมีคนเป็นโรคนี้เยอะมากๆ แนะนำว่าทุกคนควรได้รับการตรวจหาเชื้อแม้จะไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม เพราะการตรวจเลือดแค่ครั้งเดียวก็รู้ได้แล้วว่าเรามีเชื้อไหม (ไม่ต้องตรวจทุกปีเหมือนตรวจสุขภาพทั่วไป) โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้
* มีคนในครอบครัว (สามี/ภรรยา/พี่น้อง) เป็นไวรัสตับอักเสบบี
* คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
* ผู้ที่มีผลเลือดตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่รู้สาเหตุ
* ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย ตัวเหลืองตาเหลือง
* อุจจาระสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือดที่สงสัยว่าเกิดจากตับแข็ง
ถ้ารู้ว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ต้องทำยังไง?
ปัจจุบันวงการแพทย์ได้มีการคิดค้นและพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินว่าเราควรได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ สำหรับผู้ที่อยู่ในระยะพาหะอาจยังไม่ต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส
ทั้งนี้ไม่ว่าจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีควรได้รับการตรวจคัดกรองเพื่อหามะเร็งตับระยะเริ่มต้นด้วยการตรวจเลือดและทำอัลตราซาวดน์ตับเป็นระยะๆ ทุก 6 เดือน เพราะหากพบโรคแต่เนิ่นๆ จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงที
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน โดยฉีดทั้งหมด 3 เข็ม
เข็มที่ 1: วันที่มาฉีดเข็มแรก
เข็มที่ 2: ห่างจากเข็มแรกประมาณ 1 เดือน
เข็มที่ 3: ห่างจากเข็มแรกประมาณ 6 เดือน
** ใครที่มีความเสี่ยงหรือยังไม่เคยตรวจอย่าลืมไปตรวจสุขภาพกันด้วยนะ เพื่อสุขภาพตับที่ดีของเราเอง ใครมีคำถามอะไรเพิ่มเติมหรืออยากแชร์ข้อมูล คอมเมนต์มาพูดคุยได้เลยนะคะ
ไวรัสตับอักเสบบี รีบรักษาก่อนกลายเป็นมะเร็งตับ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/269