“การดำเนินธุรกิจของทรูวิชั่นส์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ไม่ใช่เราเติบโตลดลง แต่มองว่าเรายังเติบโตไม่พอ“ ว่าไปนั่นครับ
แต่วิเคราะห์ได้ดีนะครับ
การตลาด - วันนี้ไม่มีพรีเมียร์ลีก อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ และก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทรูวิชั่นส์ สถานการณ์แบบนี้เคยเจอมาแล้วเมื่อ 12 ปีก่อน หลุดมือครั้งนี้อาจจะช่วยให้หายใจโล่งขึ้นกว่าเดิมเพราะพรีเมียร์ลีกอาจไม่ใช่ Content is Kings อีกต่อไป เหตุต้นทุนสูงแต่ทำรายรับต่ำ แถมฐานสมาชิกหดตัว เพราะพฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนดูทีวีน้อยลงแต่ดูผ่านสื่ออื่นที่ไม่ใช่ทีวีมากขึ้น ทำให้ฐานสมาชิกที่เคยมีสูงสุดเกิน 4 ล้านราย ลดลงต่อเนื่องจนล่าสุดเหลือ 1.1 ล้านราย กลายเป็น “ความท้าทาย” ใหม่ (New Challenge) ของทรูวิชั่นส์ จากผู้นำ Pay TV สู่น่านน้ำใหม่ OTT ในชื่อ “TrueVisions NOW” เบนเข็มจากสมาชิกแพลทินัมพ่อเงินทุ่ม มุ่งสู่ฐานเจน Z ที่พร้อมเปย์แบบไม่อั้นถ้าโดนใจ เปิดฉากเพียงปีกว่า มีสมาชิกแล้ว 1.2 ล้านราย ตอกย้ำไม่จำเป็น EPL เดินหน้าผนึกพันธมิตรทั่วทุกมุมโลก ชูคอนเทนต์แบบจัดเต็ม พร้อมปรับโฉมแพ็กเกจใหม่ ตอกย้ำ “Home of Entertainment” มั่นใจสิ้นปี 68 สมาชิกทรูวิชั่นส์ นาว เพิ่มขึ้นอีก 50%
ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในไทยสร้างเรื่องอีกแล้ว ปีนี้ที่ว่าร้อนแรงเชื่อว่าไม่แรงเท่ากับครั้งแรกที่ทรูวิชั่นส์เสียพรีเมียร์ลีกไป หากใครยังจำกันได้ ย้อนกลับไป 12 ปีก่อน ที่กลุ่มเคเบิลทีวีในนาม CTH ทุ่มงบสูงถึง 9,000 ล้านบาท คว้าสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ หรือ EPL ในปี พ.ศ. 2556 – 2559 (ค.ศ.2013-2016) (รวม 3 ฤดูกาล) มาอยู่ในมือแทนทรูวิชั่นส์ที่ถือครองสิทธิ์นี้มาตลอด
ใครจะไปคิดว่าทรูวิชั่นส์จะเสียสิทธิ์นี้ไป และใครจะไปคิดว่าระดับเคเบิลท้องถิ่นจะกล้าทุ่มและวัดพลังกับทรูวิชั่นส์ได้ นี่นับว่าเป็นการเสียหน้าสุดๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นทางทรูวิชั่นส์ต้องเร่งกู้หน้า แก้เกมส์ อย่างเต็มกำลัง และทำทุกวิถีทาง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ฐานสมาชิกร่วม 2.37 ล้านรายในปี 2556 ให้เกิดการยกเลิกใช้บริการน้อยที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มแพลทินัม แพ็กเกจ ที่มีจำนวนถึง 3.42 แสนราย หรือคิดเป็น 15% ของฐานสมาชิกทั้งหมด
เหตุการณ์ในปีนั้นได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่กับทรูวิชั่นส์ เป็นบททดสอบที่ทำให้เกิดความตระหนักรู้ มองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น กับสถานการณ์และอุปสรรครอบด้านที่กำลังถาโถมเข้าใส่ตลาดเพย์ทีวี และเพราะเคยผ่านมันมาแล้ว เพราะเคยเรียนรู้มาแล้ว จะมาเสียพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ก็ไม่สำคัญไปกว่า “คอนเทนท์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องแพง คอนเท้นท์ที่ดีย่อมสร้างผลกำไรมากกว่าสร้างความลำบากใจให้ผู้ลงทุน“
การเสียพรีเมียร์ลีกในวันนี้ จึงมองเป็นเรื่องดี เพราะในวันนี้ การแบกรับต้นทุนที่ต่ำลง แต่มีรายได้และฐานสมาชิกเพิ่มขึ้น นั่นถือเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริง
** การซื้อขาย EPL ตลอด 20 ปี **
ย้อนรอย 20 ปีลิขสิทธิ์ EPL ในประเทศไทย เกิดขึ้นเพราะคนไทยชื่นชอบที่จะรับชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งมีมานานนับสิบๆ ปี โดยในช่วงแรกสุดคนไทยจะดูพรีเมียร์ลีกผ่านทีวีระบบบอกรับสมาชิก หรือ Pay TV ผ่านทางแพลตฟอร์ม ทรูวิชั่นส์ โดยรับชมทางช่อง ESPN บ้าง สตาร์สปอร์ตบ้าง หลังจากนั้นทางทรูวิชั่นส์ได้เข้าประมูลสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกเอง และได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007/2008 จนถึง 2012/2013 ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาทรูวิชั่นส์ผูกขาดลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกแต่เพียงรายเดียวในไทย และถือได้ว่าพรีเมียร์ลีกเป็นคอนเทนต์แม่เหล็กสำคัญที่ทำให้ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกที่แข็งแกร่ง และเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ในระดับต้นๆ จนมาเสียให้กับ CTH เป็นครั้งแรกในปี 2013 และกลับมาอยู่ในมือทรูวิชั่นส์อีกครั้งในปี 2019 จนมาในปีนี้ที่ทาง JAS เป็นผู้คว้าสิทธิ์ปี 2025-2074 ไปแทน
ทั้งนี้หากย้อนข้อมูลกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปีค.ศ. 2010 พบว่า มูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในไทย มีมูลค่าสูงขึ้นมาก เปลี่ยนผ่านผู้ได้สิทธิ์อยู่หลายราย โดยทางทรูวิชั่นส์ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่พร้อมเข้าสู้ให้ได้สิทธิ์นี้มา โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ปี 2010- 2013 ทรูวิชั่นส์ มูลค่า 2,000 ล้านบาท
2.ปี 2013-2016 CTH มูลค่า 9,000 ล้านบาท
3.ปี 2016-2019 beIN SPORTS ไม่ปรากฏมูลค่าการซื้อขาย
4.ปี 2019-2022 ทรูวิชั่นส์ มูลค่า 10,000 ล้านบาท
5.ปี 2022- 2025 ทรูวิชั่นส์ มูลค่า 10,000 ล้านบาท
6.ปี 2025-2031 JAS มูลค่า 19,000 ล้านบาท (รวม 6 ฤดูกาล + เอฟเอ คัพ)
จะเห็นได้ว่า มูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด EPL พุ่งสูงขึ้นกว่า 3 ตัวเท่าตัว นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ที่ทาง CTH เข้ามาชิงซื้อไป จากนั้นเรตราคานี้ก็ไม่เคยขยับลงมาอีกเลย นี่อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทรูวิชั่นส์มีการทบทวน ปรับแผน และปรับทัพใหม่ เพราะหากยังดันทุรังเลือกที่จะแบกรับพรีเมียร์ลีกที่มีต้นทุนสูงมากๆนี้อยู่ แต่สมาชิกกลับไม่ขยับสูงขึ้นตาม มีแต่ทยอยลดถอยลง คงมีแต่ขาดทุน การยอมให้พรีเมียร์ลีกหลุดมือไปครั้งนี้ ย่อมมีการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว การที่ JAS ได้พรีเมียร์ลีกไป อาจเป็นทรูวิชั่นส์เองที่ยอมปล่อยมือ เพื่ออนาคตที่ลากเส้นขึ้นมาใหม่แทน
**รายได้และฐานสมาชิกทรูวิชั่นส์ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา
จากราคาพรีเมียร์ลีกที่สูง เมื่อนำข้อมูลนี้มาประกอบกับรายได้และฐานสมาชิกของทรูวิชั่นส์ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ย่อมเข้าใจได้ที่ทางทรูวิชั่นส์ยอมปล่อยให้พรีเมียร์ลีกหลุดลอยไป โดยนับตั้งแต่ปี 2556-2567 มานี้ พบว่าทั้งรายได้และฐานสมาชิกทรูวิชั่นส์ลดลงอย่างต่อเนื่อง รายละเอียด ดังต่อไปนี้
1. ปี 2556 รายได้ 10,055 ล้านบาท สมาชิก 2.37 ล้านราย
2. ปี 2557 รายได้ 8,995 ล้านบาท สมาชิก 2.47 ล้านราย
3. ปี 2558 รายได้ 9,494 ล้านบาท สมาชิก 3.1 ล้านราย
4. ปี 2559 รายได้ 15,710 ล้านบาท สมาชิก 3.9 ล้านราย
5. ปี 2560 รายได้ 15,038 ล้านบาท สมาชิก 4 ล้านราย
6. ปี 2561 รายได้ 13,300 ล้านบาท สมาชิก 4.1 ล้านราย
7. ปี 2562 รายได้ 12,000 ล้านบาท สมาชิก 4 ล้านราย
8. ปี 2563 รายได้ 10,662 ล้านบาท สมาชิก 3.9 ล้านราย
9. ปี 2564 รายได้ 9,838 ล้านบาท สมาชิก 3.5 ล้านราย
10. ปี 2565 มีรายได้ 9,280 ล้านบาท สมาชิก 3.2 ล้านราย
11. ปี 2566 รายได้ 6,311 ล้านบาท สมาชิก 1.4 ล้านราย
12. ปี 2567 รายได้ 6,637 ล้านบาท สมาชิก 1.23 ล้านราย
ตัวเลขล่าสุด ณ. ปัจจุบัน ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกอยู่ที่ 1.1 ล้านราย
***ทรูวิชั่นส์ปักธง OTT เมิน EPL มุ่งเจาะเจน Z
ที่ผ่านมารากฐานของทรูวิชั่นส์ คือ เพย์ทีวี (Pay TV) คือ บริการโทรทัศน์ที่ผู้รับบริการต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อรับชมรายการต่างๆ ซึ่งเมื่อ 10 กว่าปีก่อนถือเป็นยุคทองของเพย์ทีวีเลยก็ว่าได้ เพราะมีมูลค่าสูงมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีทรูวิชั่นส์ เป็นผู้นำตลาด และมีแชร์ในตลาดเกิน 60% ด้วยจำนวนฐานสมาชิกกว่า 2.34 ล้านราย (ปี 2556) และกว่า 15% เป็นสมาชิกระดับพรีเมียม ที่รับชมใน 2 แพ็กเกจ คือ แพลทินัม แพ็กเกจ ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน และโกลด์ แพ็กเกจ ราคาประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน โดยมีพรีเมียร์ลีกเป็นคอนเท้นท์หลักในการดึงฐานสมาชิกกลุ่มนี้เอาไว้ จนมาเสียพรีเมียร์ลีกไปให้ CTH ในปี 2556 ทำให้ทรูวิชั่นส์สะดุดไป และแก้เกมส์กลับมาได้อีกครั้งในปี 2560 ส่งผลให้ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นร่วม 4 ล้านราย ประกอบด้วย 1.สมาชิกแบบบอกรับสมาชิก 2.1-2.2 ล้านราย และ 2. แบบกล่อง ฟรี ทู แอร์ อีก 2 ล้านราย ในรูปแบบการขายพ่วงไปกับบริการอื่นๆ อย่าง Internet บ้าน หรือบริการ 4G บนสมาร์ทโฟน
อย่างไรก็ตามตลอด 10 ปีมานี้ ตลาดเพย์ทีวีเริ่มสั่นคลอน กับการมาของ OTT หรือ Over-the-Top กับบริการคอนเทนต์แบบออนดีมานด์ (เช่น วิดีโอ, เพลง, รายการทีวี) ผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังแกดเจ็ตต่างๆ ซึ่งบริการเหล่านี้มีทั้งแบบดูฟรี แบบมีเงื่อนไข และแบบจ่ายค่าบริการที่ไม่แพง เข้าถึงได้ง่าย
นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่สำคัญของทรูวิชั่นส์อีกครั้ง เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากกว่าครั้งไหนๆ เรียกได้ว่าสาหัสกว่าการเสียพรีเมียร์ลีกไปเสียอีก เพราะ OTT เป็นสาเหตุหลักที่ดูดสมาชิกทรูวิชั่นส์ให้ลดลงอย่างน่าใจหาย แม้หลายปีที่ผ่านมาจะได้พรีเมียร์ลีกกลับมาอยู่ในมือ แต่สมาชิกก็ยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขล่าสุด ทรูวิชั่นส์มีสมาชิกลดลงมาอยู่ที่ 1.1 ล้านรายแล้ว
ทรูวิชั่นส์จึงมุ่งเข้าสู้ในน่านน้ำใหม่ ยอมทิ้งพรีเมียร์ลีกเพื่อลดต้นทุน และย้ายจากฝั่ง Pay TV สู่ OTT หวังสร้างฐานสมาชิกใหม่และเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ขึ้นใหม่ โดยได้ปักหมุดลงศึกนี้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ในชื่อ ”TrueVisions NOW“ ก้าวสู่สังเวียน OTT อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ชมสามารถรับชมคอนเทนต์จากทาง TrueVisions ได้หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะคอนเท้นท์พรีเมียร์ลึกยังคงเป็นแม่เหล็กใหญ่ให้ผู้ชมได้รู้จักแอปลิเคชั่น TrueVisions NOW ได้เป็นอย่างดี ซี่งมีทั้งกลุ่มเดิมที่มาจากทรูวิชั่นส์ และกลุ่มใหม่อย่างเจน Z ส่งผลให้ปัจจุบัน TrueVisions NOW มีฐานสมาชิกแล้วถึง 1.2 ล้านราย
ล่าสุดวันนี้ไม่มีพรีเมียร์ลีก ทรูวิชั่นส์พร้อมเดินหน้าต่อเนื่อง เร่งอัดงบด้านคอนเท้นท์เพิ่มอีก 20% (งบคอนเท้นท์ที่ไม่เกี่ยวกับพรีเมียร์ลีก ปกติจะใช้ปีละ 1,500-2,000 ล้านบาท) จัดเต็มคอนเท้นท์ระดับโลกครอบคลุมทุกความบันเทิง เข้าถึงทุกเจน สู้ศึก OTT
นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากทรูวิชั่นส์ ได้เปิดตัวลงแข่งในศึก OTT ในชื่อ ”TrueVisions NOW“ (ทรูวิชั่นส์ นาว) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีฐานสมาชิกแล้วกว่า 1.2 ล้านราย
นอกจากพรีเมียร์ลีกที่เป็นคอนเท้นท์หลักในตลาด OTT แล้ว ส่วนสำคัญอีกอย่าง คือ ฐานผู้ชมหลักของ OTT ซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างเจน Z ที่เน้นอะไรที่ง่ายๆ ชอบดูรายการผ่านแกดเจ็ตต่างๆ อย่าง มือถือหรือแท็บแล็ต มากกว่าดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์ เป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายเพื่อดูคอนเท้นท์ที่ชอบ โดยพบว่าชื่นชอบคอนเท้นท์ประเภทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มากที่สุด เป็นตลาดใหญ่ที่สร้างรายได้ให้ TrueVisions NOW ถึง 40% เมื่อเทียบกับคอนเท้นท์อื่นๆ ทั้งหมด แต่เทียบกับความคุ้มค้าค่าแล้ว แพ็กเกจ NOW MAX คุ้มสุด
ล่าสุดในวันนี้ทรูวิชั่นส์จะไม่มีพรีเมียร์ลีก แต่ก็พร้อมอัดงบเพิ่มอีก 20% เพื่อลงทุนด้านคอนเท้นท์ โดยในเดือนสิงหาคมนี้ TrueVisions NOW พร้อมปรับโฉมความบันเทิงใหม่ รวมคอนเทนต์เด็ดจากพันธมิตรระดับโลกที่สุดของคอนเทนต์เต็มรูปแบบ ทั้งบันเทิงกว่า 2,000 รายการ มากกว่า 30,000 ชั่วโมง และกีฬากว่า 11,000 แมตช์ ชูเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ตอบโจทย์ครบทั้งสายบันเทิง กีฬา และข่าวสาร พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ทั้งหมดที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เข้าถึงง่ายทุกเจน
“TrueVisions NOW พร้อมเปิดประสบการณ์ที่สุดของคอนเทนต์ใหม่เต็มรูปแบบ ตอกย้ำความเป็น ‘NOWtainment – ครบ จบ ทุกความบันเทิง’ เต็มอิ่มไปกับประสบการณ์การรับชมแบบไม่มีขีดจำกัด สตรีมมิ่งแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของไทย เดินหน้าสู่ความเป็น Home of Entertainment ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชันในยุคดิจิทัล มาพร้อมโฉมใหม่ของทุกแพ็กเก็จที่เข้าถึงง่าย ลูกค้ายังสามารถเลือกจำนวนของอุปกรณ์ จำนวนของจอที่จะรับชมได้ตามความต้องการ ชูไฮไลท์คอนเทนต์ที่เหมาะสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ หนัง ซีรีส์ เด็ดจากทุกมุมโลก เอาใจคนสายบันเทิงกว่า 2,000 รายการ มากกว่า 30,000 ชั่วโมง ทั้ง TrueVisions NOW Original หนังไทยจากโรงภาพยนตร์ที่ส่งตรงมาทุกเดือน เต็มอิ่มไปกับซีรีส์ฟอร์มยักษ์คุณภาพระดับพรีเมียมจากโซนเอเซีย ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่นกว่า 200 เรื่อง เพลิดเพลินไปกับคอนเทนต์จากฝั่งอเมริกา และยุโรป ไม่ว่าจะเป็นหนัง ซีรีส์ ที่คัดสรรมาให้แล้วกว่า 400 เรื่องพร้อมพากย์ไทย และซับไทย รวมถึง
TrueVisions NOW” พลิกเกมสู้ รู้ทางรอด จัดเต็มแพคเกจOTT
แต่วิเคราะห์ได้ดีนะครับ
การตลาด - วันนี้ไม่มีพรีเมียร์ลีก อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ และก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทรูวิชั่นส์ สถานการณ์แบบนี้เคยเจอมาแล้วเมื่อ 12 ปีก่อน หลุดมือครั้งนี้อาจจะช่วยให้หายใจโล่งขึ้นกว่าเดิมเพราะพรีเมียร์ลีกอาจไม่ใช่ Content is Kings อีกต่อไป เหตุต้นทุนสูงแต่ทำรายรับต่ำ แถมฐานสมาชิกหดตัว เพราะพฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนดูทีวีน้อยลงแต่ดูผ่านสื่ออื่นที่ไม่ใช่ทีวีมากขึ้น ทำให้ฐานสมาชิกที่เคยมีสูงสุดเกิน 4 ล้านราย ลดลงต่อเนื่องจนล่าสุดเหลือ 1.1 ล้านราย กลายเป็น “ความท้าทาย” ใหม่ (New Challenge) ของทรูวิชั่นส์ จากผู้นำ Pay TV สู่น่านน้ำใหม่ OTT ในชื่อ “TrueVisions NOW” เบนเข็มจากสมาชิกแพลทินัมพ่อเงินทุ่ม มุ่งสู่ฐานเจน Z ที่พร้อมเปย์แบบไม่อั้นถ้าโดนใจ เปิดฉากเพียงปีกว่า มีสมาชิกแล้ว 1.2 ล้านราย ตอกย้ำไม่จำเป็น EPL เดินหน้าผนึกพันธมิตรทั่วทุกมุมโลก ชูคอนเทนต์แบบจัดเต็ม พร้อมปรับโฉมแพ็กเกจใหม่ ตอกย้ำ “Home of Entertainment” มั่นใจสิ้นปี 68 สมาชิกทรูวิชั่นส์ นาว เพิ่มขึ้นอีก 50%
ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกในไทยสร้างเรื่องอีกแล้ว ปีนี้ที่ว่าร้อนแรงเชื่อว่าไม่แรงเท่ากับครั้งแรกที่ทรูวิชั่นส์เสียพรีเมียร์ลีกไป หากใครยังจำกันได้ ย้อนกลับไป 12 ปีก่อน ที่กลุ่มเคเบิลทีวีในนาม CTH ทุ่มงบสูงถึง 9,000 ล้านบาท คว้าสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ หรือ EPL ในปี พ.ศ. 2556 – 2559 (ค.ศ.2013-2016) (รวม 3 ฤดูกาล) มาอยู่ในมือแทนทรูวิชั่นส์ที่ถือครองสิทธิ์นี้มาตลอด
ใครจะไปคิดว่าทรูวิชั่นส์จะเสียสิทธิ์นี้ไป และใครจะไปคิดว่าระดับเคเบิลท้องถิ่นจะกล้าทุ่มและวัดพลังกับทรูวิชั่นส์ได้ นี่นับว่าเป็นการเสียหน้าสุดๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นทางทรูวิชั่นส์ต้องเร่งกู้หน้า แก้เกมส์ อย่างเต็มกำลัง และทำทุกวิถีทาง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ฐานสมาชิกร่วม 2.37 ล้านรายในปี 2556 ให้เกิดการยกเลิกใช้บริการน้อยที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มแพลทินัม แพ็กเกจ ที่มีจำนวนถึง 3.42 แสนราย หรือคิดเป็น 15% ของฐานสมาชิกทั้งหมด
เหตุการณ์ในปีนั้นได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่กับทรูวิชั่นส์ เป็นบททดสอบที่ทำให้เกิดความตระหนักรู้ มองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น กับสถานการณ์และอุปสรรครอบด้านที่กำลังถาโถมเข้าใส่ตลาดเพย์ทีวี และเพราะเคยผ่านมันมาแล้ว เพราะเคยเรียนรู้มาแล้ว จะมาเสียพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ก็ไม่สำคัญไปกว่า “คอนเทนท์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องแพง คอนเท้นท์ที่ดีย่อมสร้างผลกำไรมากกว่าสร้างความลำบากใจให้ผู้ลงทุน“
การเสียพรีเมียร์ลีกในวันนี้ จึงมองเป็นเรื่องดี เพราะในวันนี้ การแบกรับต้นทุนที่ต่ำลง แต่มีรายได้และฐานสมาชิกเพิ่มขึ้น นั่นถือเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริง
** การซื้อขาย EPL ตลอด 20 ปี **
ย้อนรอย 20 ปีลิขสิทธิ์ EPL ในประเทศไทย เกิดขึ้นเพราะคนไทยชื่นชอบที่จะรับชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งมีมานานนับสิบๆ ปี โดยในช่วงแรกสุดคนไทยจะดูพรีเมียร์ลีกผ่านทีวีระบบบอกรับสมาชิก หรือ Pay TV ผ่านทางแพลตฟอร์ม ทรูวิชั่นส์ โดยรับชมทางช่อง ESPN บ้าง สตาร์สปอร์ตบ้าง หลังจากนั้นทางทรูวิชั่นส์ได้เข้าประมูลสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกเอง และได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007/2008 จนถึง 2012/2013 ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาทรูวิชั่นส์ผูกขาดลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกแต่เพียงรายเดียวในไทย และถือได้ว่าพรีเมียร์ลีกเป็นคอนเทนต์แม่เหล็กสำคัญที่ทำให้ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกที่แข็งแกร่ง และเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ในระดับต้นๆ จนมาเสียให้กับ CTH เป็นครั้งแรกในปี 2013 และกลับมาอยู่ในมือทรูวิชั่นส์อีกครั้งในปี 2019 จนมาในปีนี้ที่ทาง JAS เป็นผู้คว้าสิทธิ์ปี 2025-2074 ไปแทน
ทั้งนี้หากย้อนข้อมูลกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปีค.ศ. 2010 พบว่า มูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในไทย มีมูลค่าสูงขึ้นมาก เปลี่ยนผ่านผู้ได้สิทธิ์อยู่หลายราย โดยทางทรูวิชั่นส์ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่พร้อมเข้าสู้ให้ได้สิทธิ์นี้มา โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.ปี 2010- 2013 ทรูวิชั่นส์ มูลค่า 2,000 ล้านบาท
2.ปี 2013-2016 CTH มูลค่า 9,000 ล้านบาท
3.ปี 2016-2019 beIN SPORTS ไม่ปรากฏมูลค่าการซื้อขาย
4.ปี 2019-2022 ทรูวิชั่นส์ มูลค่า 10,000 ล้านบาท
5.ปี 2022- 2025 ทรูวิชั่นส์ มูลค่า 10,000 ล้านบาท
6.ปี 2025-2031 JAS มูลค่า 19,000 ล้านบาท (รวม 6 ฤดูกาล + เอฟเอ คัพ)
จะเห็นได้ว่า มูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด EPL พุ่งสูงขึ้นกว่า 3 ตัวเท่าตัว นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ที่ทาง CTH เข้ามาชิงซื้อไป จากนั้นเรตราคานี้ก็ไม่เคยขยับลงมาอีกเลย นี่อาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทรูวิชั่นส์มีการทบทวน ปรับแผน และปรับทัพใหม่ เพราะหากยังดันทุรังเลือกที่จะแบกรับพรีเมียร์ลีกที่มีต้นทุนสูงมากๆนี้อยู่ แต่สมาชิกกลับไม่ขยับสูงขึ้นตาม มีแต่ทยอยลดถอยลง คงมีแต่ขาดทุน การยอมให้พรีเมียร์ลีกหลุดมือไปครั้งนี้ ย่อมมีการคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว การที่ JAS ได้พรีเมียร์ลีกไป อาจเป็นทรูวิชั่นส์เองที่ยอมปล่อยมือ เพื่ออนาคตที่ลากเส้นขึ้นมาใหม่แทน
**รายได้และฐานสมาชิกทรูวิชั่นส์ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา
จากราคาพรีเมียร์ลีกที่สูง เมื่อนำข้อมูลนี้มาประกอบกับรายได้และฐานสมาชิกของทรูวิชั่นส์ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ย่อมเข้าใจได้ที่ทางทรูวิชั่นส์ยอมปล่อยให้พรีเมียร์ลีกหลุดลอยไป โดยนับตั้งแต่ปี 2556-2567 มานี้ พบว่าทั้งรายได้และฐานสมาชิกทรูวิชั่นส์ลดลงอย่างต่อเนื่อง รายละเอียด ดังต่อไปนี้
1. ปี 2556 รายได้ 10,055 ล้านบาท สมาชิก 2.37 ล้านราย
2. ปี 2557 รายได้ 8,995 ล้านบาท สมาชิก 2.47 ล้านราย
3. ปี 2558 รายได้ 9,494 ล้านบาท สมาชิก 3.1 ล้านราย
4. ปี 2559 รายได้ 15,710 ล้านบาท สมาชิก 3.9 ล้านราย
5. ปี 2560 รายได้ 15,038 ล้านบาท สมาชิก 4 ล้านราย
6. ปี 2561 รายได้ 13,300 ล้านบาท สมาชิก 4.1 ล้านราย
7. ปี 2562 รายได้ 12,000 ล้านบาท สมาชิก 4 ล้านราย
8. ปี 2563 รายได้ 10,662 ล้านบาท สมาชิก 3.9 ล้านราย
9. ปี 2564 รายได้ 9,838 ล้านบาท สมาชิก 3.5 ล้านราย
10. ปี 2565 มีรายได้ 9,280 ล้านบาท สมาชิก 3.2 ล้านราย
11. ปี 2566 รายได้ 6,311 ล้านบาท สมาชิก 1.4 ล้านราย
12. ปี 2567 รายได้ 6,637 ล้านบาท สมาชิก 1.23 ล้านราย
ตัวเลขล่าสุด ณ. ปัจจุบัน ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกอยู่ที่ 1.1 ล้านราย
***ทรูวิชั่นส์ปักธง OTT เมิน EPL มุ่งเจาะเจน Z
ที่ผ่านมารากฐานของทรูวิชั่นส์ คือ เพย์ทีวี (Pay TV) คือ บริการโทรทัศน์ที่ผู้รับบริการต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อรับชมรายการต่างๆ ซึ่งเมื่อ 10 กว่าปีก่อนถือเป็นยุคทองของเพย์ทีวีเลยก็ว่าได้ เพราะมีมูลค่าสูงมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีทรูวิชั่นส์ เป็นผู้นำตลาด และมีแชร์ในตลาดเกิน 60% ด้วยจำนวนฐานสมาชิกกว่า 2.34 ล้านราย (ปี 2556) และกว่า 15% เป็นสมาชิกระดับพรีเมียม ที่รับชมใน 2 แพ็กเกจ คือ แพลทินัม แพ็กเกจ ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน และโกลด์ แพ็กเกจ ราคาประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน โดยมีพรีเมียร์ลีกเป็นคอนเท้นท์หลักในการดึงฐานสมาชิกกลุ่มนี้เอาไว้ จนมาเสียพรีเมียร์ลีกไปให้ CTH ในปี 2556 ทำให้ทรูวิชั่นส์สะดุดไป และแก้เกมส์กลับมาได้อีกครั้งในปี 2560 ส่งผลให้ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นร่วม 4 ล้านราย ประกอบด้วย 1.สมาชิกแบบบอกรับสมาชิก 2.1-2.2 ล้านราย และ 2. แบบกล่อง ฟรี ทู แอร์ อีก 2 ล้านราย ในรูปแบบการขายพ่วงไปกับบริการอื่นๆ อย่าง Internet บ้าน หรือบริการ 4G บนสมาร์ทโฟน
อย่างไรก็ตามตลอด 10 ปีมานี้ ตลาดเพย์ทีวีเริ่มสั่นคลอน กับการมาของ OTT หรือ Over-the-Top กับบริการคอนเทนต์แบบออนดีมานด์ (เช่น วิดีโอ, เพลง, รายการทีวี) ผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังแกดเจ็ตต่างๆ ซึ่งบริการเหล่านี้มีทั้งแบบดูฟรี แบบมีเงื่อนไข และแบบจ่ายค่าบริการที่ไม่แพง เข้าถึงได้ง่าย
นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่สำคัญของทรูวิชั่นส์อีกครั้ง เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากกว่าครั้งไหนๆ เรียกได้ว่าสาหัสกว่าการเสียพรีเมียร์ลีกไปเสียอีก เพราะ OTT เป็นสาเหตุหลักที่ดูดสมาชิกทรูวิชั่นส์ให้ลดลงอย่างน่าใจหาย แม้หลายปีที่ผ่านมาจะได้พรีเมียร์ลีกกลับมาอยู่ในมือ แต่สมาชิกก็ยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขล่าสุด ทรูวิชั่นส์มีสมาชิกลดลงมาอยู่ที่ 1.1 ล้านรายแล้ว
ทรูวิชั่นส์จึงมุ่งเข้าสู้ในน่านน้ำใหม่ ยอมทิ้งพรีเมียร์ลีกเพื่อลดต้นทุน และย้ายจากฝั่ง Pay TV สู่ OTT หวังสร้างฐานสมาชิกใหม่และเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ขึ้นใหม่ โดยได้ปักหมุดลงศึกนี้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ในชื่อ ”TrueVisions NOW“ ก้าวสู่สังเวียน OTT อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ชมสามารถรับชมคอนเทนต์จากทาง TrueVisions ได้หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะคอนเท้นท์พรีเมียร์ลึกยังคงเป็นแม่เหล็กใหญ่ให้ผู้ชมได้รู้จักแอปลิเคชั่น TrueVisions NOW ได้เป็นอย่างดี ซี่งมีทั้งกลุ่มเดิมที่มาจากทรูวิชั่นส์ และกลุ่มใหม่อย่างเจน Z ส่งผลให้ปัจจุบัน TrueVisions NOW มีฐานสมาชิกแล้วถึง 1.2 ล้านราย
ล่าสุดวันนี้ไม่มีพรีเมียร์ลีก ทรูวิชั่นส์พร้อมเดินหน้าต่อเนื่อง เร่งอัดงบด้านคอนเท้นท์เพิ่มอีก 20% (งบคอนเท้นท์ที่ไม่เกี่ยวกับพรีเมียร์ลีก ปกติจะใช้ปีละ 1,500-2,000 ล้านบาท) จัดเต็มคอนเท้นท์ระดับโลกครอบคลุมทุกความบันเทิง เข้าถึงทุกเจน สู้ศึก OTT
นายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากทรูวิชั่นส์ ได้เปิดตัวลงแข่งในศึก OTT ในชื่อ ”TrueVisions NOW“ (ทรูวิชั่นส์ นาว) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีฐานสมาชิกแล้วกว่า 1.2 ล้านราย
นอกจากพรีเมียร์ลีกที่เป็นคอนเท้นท์หลักในตลาด OTT แล้ว ส่วนสำคัญอีกอย่าง คือ ฐานผู้ชมหลักของ OTT ซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างเจน Z ที่เน้นอะไรที่ง่ายๆ ชอบดูรายการผ่านแกดเจ็ตต่างๆ อย่าง มือถือหรือแท็บแล็ต มากกว่าดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์ เป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายเพื่อดูคอนเท้นท์ที่ชอบ โดยพบว่าชื่นชอบคอนเท้นท์ประเภทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มากที่สุด เป็นตลาดใหญ่ที่สร้างรายได้ให้ TrueVisions NOW ถึง 40% เมื่อเทียบกับคอนเท้นท์อื่นๆ ทั้งหมด แต่เทียบกับความคุ้มค้าค่าแล้ว แพ็กเกจ NOW MAX คุ้มสุด
ล่าสุดในวันนี้ทรูวิชั่นส์จะไม่มีพรีเมียร์ลีก แต่ก็พร้อมอัดงบเพิ่มอีก 20% เพื่อลงทุนด้านคอนเท้นท์ โดยในเดือนสิงหาคมนี้ TrueVisions NOW พร้อมปรับโฉมความบันเทิงใหม่ รวมคอนเทนต์เด็ดจากพันธมิตรระดับโลกที่สุดของคอนเทนต์เต็มรูปแบบ ทั้งบันเทิงกว่า 2,000 รายการ มากกว่า 30,000 ชั่วโมง และกีฬากว่า 11,000 แมตช์ ชูเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ตอบโจทย์ครบทั้งสายบันเทิง กีฬา และข่าวสาร พร้อมเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ทั้งหมดที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เข้าถึงง่ายทุกเจน
“TrueVisions NOW พร้อมเปิดประสบการณ์ที่สุดของคอนเทนต์ใหม่เต็มรูปแบบ ตอกย้ำความเป็น ‘NOWtainment – ครบ จบ ทุกความบันเทิง’ เต็มอิ่มไปกับประสบการณ์การรับชมแบบไม่มีขีดจำกัด สตรีมมิ่งแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งของไทย เดินหน้าสู่ความเป็น Home of Entertainment ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชันในยุคดิจิทัล มาพร้อมโฉมใหม่ของทุกแพ็กเก็จที่เข้าถึงง่าย ลูกค้ายังสามารถเลือกจำนวนของอุปกรณ์ จำนวนของจอที่จะรับชมได้ตามความต้องการ ชูไฮไลท์คอนเทนต์ที่เหมาะสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ หนัง ซีรีส์ เด็ดจากทุกมุมโลก เอาใจคนสายบันเทิงกว่า 2,000 รายการ มากกว่า 30,000 ชั่วโมง ทั้ง TrueVisions NOW Original หนังไทยจากโรงภาพยนตร์ที่ส่งตรงมาทุกเดือน เต็มอิ่มไปกับซีรีส์ฟอร์มยักษ์คุณภาพระดับพรีเมียมจากโซนเอเซีย ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่นกว่า 200 เรื่อง เพลิดเพลินไปกับคอนเทนต์จากฝั่งอเมริกา และยุโรป ไม่ว่าจะเป็นหนัง ซีรีส์ ที่คัดสรรมาให้แล้วกว่า 400 เรื่องพร้อมพากย์ไทย และซับไทย รวมถึง