ชาติแรกถึงชาติสุดท้ายถูกกำหนดมาหมดยังครับ ครบ500ชาติ(พระเจ้า500ชาติ)ถึงหลุดพ้นใช่ไหมครับ?

มีพระพุทธเจ้าอนันต์ก็หลุดพ้นไม่หมด แสดงว่ามีวิญญาณใหม่ๆเข้ามาเติมตลอด วิญญาณมาจากไหนถ้าไม่ใช่วิญญาณที่เคยหลุดพ้นไปนิพพานแล้วเข้ามาเกิดซ้ำ หรือวิญญาณเพิ่มจำนวนได้ไม่จำกัด มาจากที่อื่นที่ไม่ใช่นิพพาน(ปัญหาอจินไตย)
จะหาทางปิดวัฏสงสารนี้อย่างไร จะได้ไม่เข้ามาเกิดอีก
พระเจ้าเคยเป็นมนุษย์มาก่อน คนที่หลุดพ้นไปนิพพานก็เปลี่ยนสถานะเป็นพระเจ้า ทำไมไม่ออกแบบวัฏสงสารใหม่ ทำไมไม่ช่วยมนุษย์บนโลก ทำไมไม่ปิดวัฏสงสาร พระเจ้าไม่กลัวว่าวันนึงตัวเองอาจจะต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ซ้ำในวัฏสงสารแห่งนี้หรือครับ?
ทำไมพระเจ้าห้ามฆ่าสัตว์เพราะมันเป็นบาป แต่ให้มนุษย์กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ผมอยากเจอพระเจ้าจังครับ ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับที่สุด ถ้าผมนิพพาน จิตผมเปลี่ยนสถานะย้ายดินแดน จะเจอพระเจ้าไหมครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
"วิญญาณ" เป็นเหมือนมายากล เพราะทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ที่จริง "วิญญาณ" เกิดจากปัจจัย มาจากที่ไม่ปรากฏ แล้วไปสู่ที่ไม่ปรากฏ เหมือนฟ้าแลบในอากาศ ฉะนั้น

คือ ถ้ามีใครถามว่าฟ้าแลบ มาจากไหน?  
ทิศเหนือ , ทิศใต้ , ตะวันออก , ตะวันตก , ทิศเบื้องบน , ทิศเบื้องล่าง?
จขกทจะตอบยังไง?

แล้วฟ้าแลบนั้น ไปสู่ทิศไหน? จขกท.จะตอบยังไง?

ถ้าถามแบบที่ว่ามามันตอบไม่ได้ แต่ถ้าเขาถามว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดฟ้าแลบนี้ขึ้น แบบนี้ถึงพอตอบได้

************************

"วิญญาณ" เกิดขึ้นมา ก็ดับไปหมดสิ้น ณ ที่ที่มันเกิด เหมือนฟ้าแลบนั้นแหล่ะ ไม่มีอะไรเหลือไว้เลย แม้นิดหน่อยก็ไม่มี
แต่ "วิญญาณ" นั้นไม่ได้เกิดเพียงลำพัง มันเกิดพร้อม "สัญญา" , "มนสิการ" และ "วิตก" เป็นต้น มันจึงสร้างความดำริว่า
ก่อนเกิด เราเคยมีอยู่หรือหนอ? แล้วหลังตาย เราจักมีอยู่หรือหนอ? เป็นต้น

ไอเชี้ย! พวก ม. ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น "สัญญา" , "มนสิการ" , "วิตก" หรือ "วิญญาณ" พึ่งเกิดเมื่อตะกี้ แค่ 0.00000...(ล้านตัว)1 วิ. ที่แล้ว
และยังไม่ทัน วิ.ที่ 0.00000...(ล้านตัว) 2 เลย พวก ม. ก็ม่องไปหมดแล้ว

แต่เพราะยังไม่บรรลุ ถึงธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งปัจจัย (อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ) ปัจจัยทั้งหลาย มีอนันตรปัจจัย เป็นต้น
ก็ยังจิตที่สมควรแก่ความเป็นไปแห่งขันธสันดานนั้นๆ ให้เกิดขึ้น อย่างเช่น โวฏฐัพพนะจิตที่ทำหน้าที่มนสิการ
มสิการแล้วว่าขาว , สวย , หุ่นดี โลภะมูลจิต ก็เกิดต่อเนื่องไปทันที ด้วยอำนาจอนันตรปัจจัย คือ การเกิดติดต่อไปโดยไม่มีระหว่างคั่น

ซึ่งเมื่อ "โลภะมูลจิต" ที่ทำหน้าที่ซ่องเสพ "ปิยรูปสาตรูป" --- สิ่งอันเป็นที่รัก ที่ชอบใจของตัณหา --- เกิดขึ้น
"โวฏฐัพพนะจิต" ที่ทำหน้าที่มนสิการถึงความขาว สวย หุ่นดี ก็ดับไปหมดสิ้นแล้ว
แต่อาจวนลูปนรกได้หลายรอบ ตามความใหญ่ ความเล็กของงูบนหัว 555+

ปล. ต้องยอมรับว่ารูปเขาเป็นตัวตึงจริง เพราะนาม มี "วิญญาณ" เป็นต้น ตายห่านไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
รูปก็ยังอยู่ยงคงกระพัน ไม่ตายห่านตามชาวบ้านชาวช่องไปซักที 555+ เพราะอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"ปุถุชนยึดรูปโดยความเป็นตน เป็นของของตน ยังชอบกว่าไปยึดนามโดยความเป็นตน เป็นของของตน"

************************

อัสสุตวาสูตร

      “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วพึงเบื่อหน่ายได้บ้าง พึง
คลายกำหนัดได้บ้าง พึงหลุดพันได้บ้าง ในร่างกายซึ่งเกิดมาจากมหาภูตรูป ๔
นี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี ความ
เกิดก็ดี ความตายก็ดีย่อมปรากฎแก่ร่างกายซึ่งเกิดมาจากมหาภูตรูป ๔ นี้
ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วจึงเบื่อหน่ายได้บ้าง คลายกำหนัดได้บ้าง
พ้นได้บ้างในร่างกายนั้น

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ว่าในสิ่งที่ตถาคตเรียกว่า 'จิต'บ้าง 'มโน'บ้าง
วิญญาณ' บ้างนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วไม่อาจที่จะเบื่อหน่ายได้ ไม่
อาจที่จะคลายกำหนัดได้ ไม่อาจที่จะหลุดพ้นได้เลย ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร
เพราะเหตุว่าจิตนี้อันปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วรวบไว้ ถือไว้ ยึดไว้ด้วยตัณหาทิฏฐิ
มาเป็นเวลาช้านานแล้วว่า 'นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา'
ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วจึงไม่อาจที่จะเบื่อหน่ายได้ ไม่อาจที่จะคลาย
กำหนัดได้ ไม่อาจที่จะหลุดพ้นในจิตนั้นได้เลย

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วพึงยึดมั่นร่างกายซึ่งเกิด
มาจากมหาภูตรูป ๔ นี้โดยความเป็นอัตตายังดีกว่า แต่การยึดมั่นจิตโดยความ
เป็นอัตตาไม่ดีเลย ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่าร่างกายซึ่งเกิดมา
จากมหาภูตรูป ๔ นี้ย่อมปรากฎว่าดำรงอยู่ได้ ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง ๓ ปีบ้าง
๔ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง
๕๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง เกิน ๑๐๐ ปีบ้าง

       แต่ว่าสิ่งที่ตถาคตเรียกว่า 'จิต' บ้าง 'มโน' บ้าง 'วิญญาณ' บ้าง นั้น
ในตอนกลางคืนและตอนกลางวัน ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งก็ดับไป ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อท่องเที่ยวไปในป่าใหญ่ย่อมยึดกิ่งไม้ไว้ ปล่อยกิ่งนั้น
แล้วก็ยึดกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งอื่นนั้นแล้วก็เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด สิ่งที่
ตถาคตเรียกว่า 'จิต' บ้าง 'มโน' บ้าง 'วิญญาณ' บ้างนั้นในตอนกลางคืน
และตอนกลางวัน ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ฉันนั้นเหมือนกันแล

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้วย่อมใสใจโดยแยบคายด้วยดี
ซึ่งปฏิจจสมุปบาทในร่างกายและจิตนั้นว่า 'เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้
จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะ
สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขาร
เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมเกิด
มีได้ด้วยอาการอย่างนี้ อนึ่ง เพราะอวิชชาดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือ
วิราคะ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... เป็นอันว่ากอง
ทุกข์ทั้งหมดนี้ย่อมดับได้ด้วยอาการอย่างนี้'

       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อ
หน่ายทั้งในรูป ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัญญา ย่อม
เบื่อหน่ายทั้งในสังขารทั้งหลาย  ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็มี
ญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า 'ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก' ดังนี้แล”

https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=230
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่