ไทยลุ้นภาษีทรัมป์ 19% ส่ง Final draft ตรวจก่อนเสนอ ‘ทรัมป์



การเจรจาภาษีตอบโต้ระหว่างไทยกับสหรัฐที่ใกล้ถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.2568 ถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจากภาครัฐและภาคเอกชนไทย หลังจากที่ไทยได้ยื่นข้อเสนอสุดท้ายไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเหลือเพียงการปรับรายละเอียดปลีกย่อย
ในขณะที่หลายประเทศในอาเซียนได้ข้อสรุปการเจรจาแล้ว โดยเวียดนามได้อัตราภาษี 20%, อินโดนีเซีย19% และฟิลิปปินส์ 19% ซึ่งหลายฝ่ายของไทยประเมินว่าไทยจะได้รับอัตราภาษีใกล้เคียงภูมิภาคที่ 19-20%
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังจากไทย และกัมพูชาทำข้อตกลงหยุดยิงกันตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.2568 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แสดงความพอใจ และสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบของสหรัฐเดินหน้าเจรจาภาษีกับไทย
ทั้งนี้ ล่าสุดคืนวันที่ 29 ก.ค.2568 ทีมไทยแลนด์ได้หารือสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยสหรัฐส่งร่างเอกสารสุดท้าย (Final draft) ซึ่งเป็นร่างเอกสารที่จะส่งให้ประธานาธิบดีสหรัฐมาให้ฝ่ายไทยตรวจ และไทยได้ส่งกลับไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนช่วงท้ายก่อนประธานาธิบดีสหรัฐจะประกาศอัตราภาษีอย่างเป็นทางการ
“เขาได้ส่งร่างสุดท้ายมาให้เราดู และตรวจความเรียบร้อยแล้ว ไทยเราได้แก้เล็กน้อยแล้วส่งกลับไปให้สหรัฐแล้ว จากนี้ทางฝั่งของไทยจะไม่มีการแก้ไขอะไรแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ถือว่าเป็นขั้นตอนท้ายๆ ก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะประกาศอัตราภาษีออกมา ซึ่งในส่วนของประเทศไทยน่าจะทราบได้ภายใน 1-2 วันนี้” แหล่งข่าวกล่าว
 

คาดไทยได้ภาษีใกล้เคียงภูมิภาค
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเจรจาเดินหน้าต่อเนื่องแม้กัมพูชาจะละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยการเจรจาไม่เกี่ยวข้องกับชายแดนหรืออธิปไตย แต่จะเป็นเรื่องการค้าเท่านั้น ดังนั้น การเจรจาการต่อรองก็ทำไปตามหลักการ แต่ไทยมีจุดยืนของไทย รวมถึงมองภาพรวมของประชาชน และเกษตรกรเป็นสำคัญ 
ทั้งนี้ ไทยยื่นข้อเสนอสุดท้ายให้สหรัฐแล้วหลังจากสหรัฐมีข้อเสนอเพิ่มให้ไทย แต่ยืนยันไม่เกี่ยวกับความมั่นคง โดยเป็นรายละเอียดการเจรจาปลีกย่อย ซึ่งมั่นใจว่าการเจรจาจะได้ข้อสรุปทันเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.2568
“ตอนนี้เดาไม่ได้ว่าไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีอัตราเท่าไร แต่สหรัฐจะมองเป็นภูมิภาคจึงเชื่อว่าจะเป็นอัตราใกล้เคียงประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนข้อมูลเต็มที่” นายจตุพร กล่าว
ส.อ.ท.ลุ้นภาษีทรัมป์ 19-20%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การเจรจากับสหรัฐมีแนวโน้มดีตามที่รัฐบาลระบุจะสรุปทันเส้นตาย 1 ส.ค.2568 และได้อัตราใกล้เคียงภูมิภาคถือเป็นสัญญาณดี ภายหลังบทบาทสำคัญของประธานาธิบดีสหรัฐในการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้ จากการที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงทันทีเวลา 00.00 น.วันที่ 29 ก.ค.2568 แต่กัมพูชายังยิงต่อเนื่องจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น จึงเชื่อว่าผู้นำสหรัฐเห็นถึงความตั้งใจของไทยในการปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจรจาภาษีที่กำลังจะมาถึง

ส.อ.ท.คาดหวังว่าผลการเจรจาออกมาดี โดยคาดว่าอัตราภาษีของไทยจะอยู่ที่ 19-20% ซึ่งเท่ากับหรือใกล้เคียงประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น เวียดนามที่ได้อัตรา 20%, อินโดนีเซีย 19%, ฟิลิปปินส์ 19% และมาเลเซีย 25% และหวังว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพิจารณาให้รางวัลพิเศษกับไทยด้วยการลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
“ไทยแสดงให้เห็นถึงความเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือ และรักษาสัญญาเคร่งครัด และหวังว่าไทยจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีอัตราสูงถึง 36%  แน่นอน และเชื่อว่าการที่ไทยแสดงความน่าเชื่อถือนี้จะเพิ่มแต้มต่อการเจรจาได้มาก ตรงข้ามกับกัมพูชาที่ยังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งสหรัฐอาจพิจารณาในอีกมุม”
ทั้งนี้ ภาคเอกชนกำลังจับตาอัตราภาษีที่สหรัฐจะประกาศอย่างใกล้ชิด โดยหากผลการเจรจาเป็นบวก และไทยได้อัตราภาษีต่ำกว่าที่คาดไว้มาอยู่ที่ 15% จะเป็นผลดีอย่างมากต่อการส่งออกไทย 
แต่ถ้าอัตราภาษีของไทยยังสูงถึง 36% และไม่ได้รับลดหย่อนจะมีความเสียหายจากการขึ้นภาษี 8-9 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ และจัดหาแพ็กเกจช่วยผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยใช้เงินสนับสนุนตามความเหมาะสม
สรท.ชี้จบสวยรักษาตลาดสหรัฐได้
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า หากข้อเสนอไทยดีพอมีโอกาสที่ไทยจะปิดดีลภาษีสหรัฐได้ก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.2568 ซึ่งไทยเสนอให้สินค้าสหรัฐเข้ามาด้วยอัตราภาษีที่เหมาะสม โดยที่ผู้ประกอบการ เกษตรกรไม่เดือดร้อนมาก ขณะที่ไทยส่งออกไปสหรัฐได้เช่นเดิมจึงหวังว่าจะดีลกันจบเร็ว และมีอัตราภาษีใกล้เคียงประเทศในภูมิภาค
“หากไทยจบดีลทัน 1 ส.ค.นี้ และได้อัตราภาษีใกล้เคียงประเทศภูมิภาคเดียวกัน ก็ส่งออกสินค้าไปสหรัฐได้ และรักษาฐานส่งออกตลาดสหรัฐได้ และไม่เสียหายมากนัก ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงเดือนมิ.ย.นี้ ผู้นำเข้าสหรัฐเร่งนำเข้าเพื่อเลี่ยงภาษีทรัมป์ และเริ่มชะลอนำเข้ารอความชัดเจน หากว่าชัดเจนในอัตราภาษีแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผู้นำเข้าจะไปสั่งซื้อสินค้าจากประเทศคู่แข่ง”นายธนากร กล่าว
ลุ้นภาษีใกล้เคียงประเทศอาเซียน
นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย บรรยายสรุปการเจรจาภาษีทรัมป์ให้บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยระบุถึงภาษีนำเข้าของไทยจะใกล้เคียงประเทศอาเซียน (20% หรือต่ำกว่านั้นเล็กน้อย) และเป็นไปได้ที่จะมีข้อยกเว้นเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งอาจได้อัตราภาษีต่ำกว่า 20% 
รวมถึงอาจกำหนดภาษีพิเศษสำหรับสินค้าผ่านแดน (transshipment) เช่นเดียวกับเวียดนาม ซึ่งสินค้าผ่านแดนมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบการส่งออกไทยไปสหรัฐ โดยคาดว่าภาษีนี้จะประกาศในอนาคตอันใกล้เหลือเพียงรายละเอียดเล็กน้อยที่ต้องตกลงกัน
รวมทั้งไทยอาจต้องยอมรับบางเงื่อนไข เช่น การเปิดตลาดในประเทศให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งเป็นโอกาสเปลี่ยนแปลงและปฏิรูป  รวมถึงประเด็นกฎระเบียบหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมมีความล้าสมัย และเป็นอุปสรรคต่อขีดความสามารถการแข่งขันไทย
ขณะที่ผลจากข้อตกลงด้านภาษีจะทำให้ไทยเปลี่ยนแปลง 5 ประการ ได้แก่ 1.การปฏิรูปเชิงนโยบาย และการลดกฎระเบียบ 2.โอกาสเข้าสู่ตลาดใหม่ 3.การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 4.แหล่งจัดหาทรัพยากรต้นทุนต่ำแห่งใหม่ 5.การเพิ่มนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา
“ศุภวุฒิ”ชี้เจรจาทรัมป์ไม่ง่าย
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตอบคำถามประเด็นการเจรจาภาษีสหรัฐว่า “ไม่น่าจะได้ข่าวดี” ส่วนจะทันวันที่ 1 ส.ค.2568 หรือไม่ "ไม่ทราบแต่ไม่น่าใช่ข่าวดี ไม่ง่ายนะการเจรจากับอเมริกา เจรจากับทรัมป์ไม่ง่ายขนาดนั้น”
นายศุภวุฒิ กล่าวในงานสัมมนาเพื่อเผยแพร่รายงาน “Human Capital Development in Thailand: An Examination of Gaps and Policy Options” จัดโดย สศช.ว่า สหรัฐเป็นตลาดใหญ่ของโลก และใช้ภาษีนำเข้าสูงมาก โดยปัจจุบันสินค้า 80% ที่สหรัฐนำเข้าต้องเสียภาษี 40% เท่ากับปิดตลาดแบบหนึ่งทำให้ทุกประเทศได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาส่งออกสูงมากอย่างไทย
ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยพึ่งการส่งออกสูงมาก โดยตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งไทยเพิ่มการพึ่งพาการส่งออกถึง 60-70% ของจีดีพี ขณะที่สัดส่วนการพึ่งพาการส่งออกของโลกอยู่ที่ 30% ต่อจีดีพี นอกจากนั้นค่าเงินบาทแข็งค่ามากเมื่อเทียบประเทศคู่แข่ง และคู่ค้า ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตต่ำ และเมื่อรวมเงินเฟ้อซึ่งหมายถึงการเพิ่มขึ้นยอดขายของภาคเอกชนด้วยส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ 2.1% เท่านั้น
สศค.ปรับเพิ่มจีดีพีไทยเป็น 2.2%
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค.ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าขยายตัว 2.2% ดีขึ้นจากผลประมาณการเดือนเม.ย.ที่ 2.1% สอดคล้องกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยจาก 1.8% เป็น 2% ขณะที่ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้จะขยายตัว 3%
ทั้งนี้ คาดว่าไทยได้รับผ่อนปรนภาษีนำเข้า Reciprocal Tariffs ช่วงอัตราภาษี 15-36% โดยอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับคงจะไม่ใช่ 36% อย่างแน่นอนและคงจะไม่ต่ำกว่า 15% โดยคาดว่าอยู่ทิศทางเดียวกับประเทศอื่นที่ได้รับผ่อนปรน รวมทั้งการกำหนดสมมติฐานอัตราภาษีได้พิจารณาแนวทางจากประเทศอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งสหรัฐให้เงื่อนไขการผ่อนปรนกับทุกประเทศที่บรรลุข้อตกลง
ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังเตรียมรับมือ และบรรเทาสถานการณ์ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท เพื่อลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก รวมถึงมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ SMEs ในห่วงโซ่อุปทานการส่งออกไปสหรัฐผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และลดภาระการเงิน

https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1192138

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่