ที่สุดตลาดหุ้นไทยปี 2568 บอบช้ำหนักมรสุมรุมเร้า! ทุนไหลออก–การเมืองปั่นป่วน ผลตอบแทนติดลบ รั้งท้ายตลาดโลก
.
ปี 2568 กลายเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวกอย่างชัดเจน ทั้งเศรษฐกิจโลก–เศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จนสร้างความกังวลต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน สภาพคล่องลดลงในระดับน่าห่วง ขณะที่สัดส่วนการลงทุนของรายย่อยก็ลดลงตามไปด้วย
ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็น “ตลาดที่ผลตอบแทนติดลบรั้งท้ายตลาดหุ้นโลก” อีกหนึ่งปี
.
จุดเริ่มต้นความผันผวนมาจากมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เก็บภาษีประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ โดยไทยถูกตั้งภาษีสูงถึง 39% ทำให้ช่วง 3 เดือนแรก เงินทุนต่างชาติไหลออกจากไทย–เวียดนาม–อินโดนีเซีย–ฟิลิปปินส์ รวมกว่า 4,160 ล้านดอลลาร์ ต่อมาภาษีไทยปรับลดเหลือ 19% แต่ยังสะท้อนทิศทางการค้าโลกใหม่ การโยกย้ายฐานการผลิต และแผนธุรกิจเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงภาษี
.
การเมืองไทยก็สร้างแรงสะเทือนตลอดปี มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน จาก “เศรษฐา–แพทองธาร–อนุทิน” ดัชนีเหวี่ยงแรง เคยขึ้นแตะ 1,320 จุด ก่อนร่วงลงที่ 1,238.98 จุด หลังปมคลิปเสียงชายแดนและคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ปลายปีปิดท้ายด้วยการยุบสภา สะเทือนความเชื่อมั่นรอบใหม่
.
ในทางกลับกัน “ทองคำ–โลหะมีค่า” กลายเป็นสินทรัพย์ดาวเด่น ทำผลตอบแทนทิ้งห่างทุกสินทรัพย์ แพลตินัม +160% โลหะเงิน +150% พัลลาเดียม +100% ส่วนทองคำสร้างสถิติออลไทม์ไฮกว่า 50 ครั้ง ผลตอบแทน +70% ราคาทองไทยจาก 42,000 บาท ปิดปีที่ 66,500 บาท/บาททองคำ แรงหนุนจากธนาคารกลางทั่วโลกสะสมทองคำมากขึ้นเป็นปีที่ 15 โดยเฉพาะจีน
.
ตลาดไอพีโอไทยปีนี้วูบหนัก สภาพคล่องหาย นักลงทุนติดหุ้น หุ้นใหม่เปิดต่ำจอง เกิดไอพีโอเพียง 18 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวม 8,991.70 ล้านบาท Market Cap 77,759.68 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบหลายปี ขณะที่ญี่ปุ่น–ฮ่องกง–เกาหลีใต้ยังเดินหน้าระดมทุนขนาดใหญ่
.
ปิดท้ายปีด้วยคดีหุ้นฉาว “JKN” จากการเบี้ยวหนี้หุ้นกู้ 3,300 ล้านบาท นำไปสู่การตรวจพบการตกแต่งบัญชีทางธุรกิจและธุรกรรมไม่สมเหตุสมผล จนนำไปสู่การเพิกถอนหุ้นวันที่ 26 ธ.ค. 2568 กลายเป็นบาดแผลใหญ่ต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน
.
อ่าน:
https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1214670
ปีหน้าไปลุ้นรัฐบาลใหม่
ที่สุดตลาดหุ้นไทยปี 2568
ที่สุดตลาดหุ้นไทยปี 2568 บอบช้ำหนักมรสุมรุมเร้า! ทุนไหลออก–การเมืองปั่นป่วน ผลตอบแทนติดลบ รั้งท้ายตลาดโลก
.
ปี 2568 กลายเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวกอย่างชัดเจน ทั้งเศรษฐกิจโลก–เศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จนสร้างความกังวลต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน สภาพคล่องลดลงในระดับน่าห่วง ขณะที่สัดส่วนการลงทุนของรายย่อยก็ลดลงตามไปด้วย
ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็น “ตลาดที่ผลตอบแทนติดลบรั้งท้ายตลาดหุ้นโลก” อีกหนึ่งปี
.
จุดเริ่มต้นความผันผวนมาจากมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เก็บภาษีประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ โดยไทยถูกตั้งภาษีสูงถึง 39% ทำให้ช่วง 3 เดือนแรก เงินทุนต่างชาติไหลออกจากไทย–เวียดนาม–อินโดนีเซีย–ฟิลิปปินส์ รวมกว่า 4,160 ล้านดอลลาร์ ต่อมาภาษีไทยปรับลดเหลือ 19% แต่ยังสะท้อนทิศทางการค้าโลกใหม่ การโยกย้ายฐานการผลิต และแผนธุรกิจเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงภาษี
.
การเมืองไทยก็สร้างแรงสะเทือนตลอดปี มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน จาก “เศรษฐา–แพทองธาร–อนุทิน” ดัชนีเหวี่ยงแรง เคยขึ้นแตะ 1,320 จุด ก่อนร่วงลงที่ 1,238.98 จุด หลังปมคลิปเสียงชายแดนและคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ปลายปีปิดท้ายด้วยการยุบสภา สะเทือนความเชื่อมั่นรอบใหม่
.
ในทางกลับกัน “ทองคำ–โลหะมีค่า” กลายเป็นสินทรัพย์ดาวเด่น ทำผลตอบแทนทิ้งห่างทุกสินทรัพย์ แพลตินัม +160% โลหะเงิน +150% พัลลาเดียม +100% ส่วนทองคำสร้างสถิติออลไทม์ไฮกว่า 50 ครั้ง ผลตอบแทน +70% ราคาทองไทยจาก 42,000 บาท ปิดปีที่ 66,500 บาท/บาททองคำ แรงหนุนจากธนาคารกลางทั่วโลกสะสมทองคำมากขึ้นเป็นปีที่ 15 โดยเฉพาะจีน
.
ตลาดไอพีโอไทยปีนี้วูบหนัก สภาพคล่องหาย นักลงทุนติดหุ้น หุ้นใหม่เปิดต่ำจอง เกิดไอพีโอเพียง 18 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวม 8,991.70 ล้านบาท Market Cap 77,759.68 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบหลายปี ขณะที่ญี่ปุ่น–ฮ่องกง–เกาหลีใต้ยังเดินหน้าระดมทุนขนาดใหญ่
.
ปิดท้ายปีด้วยคดีหุ้นฉาว “JKN” จากการเบี้ยวหนี้หุ้นกู้ 3,300 ล้านบาท นำไปสู่การตรวจพบการตกแต่งบัญชีทางธุรกิจและธุรกรรมไม่สมเหตุสมผล จนนำไปสู่การเพิกถอนหุ้นวันที่ 26 ธ.ค. 2568 กลายเป็นบาดแผลใหญ่ต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน
.
อ่าน: https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1214670
ปีหน้าไปลุ้นรัฐบาลใหม่