ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพิพาทชายแดนที่ปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้แย่งชิงดินแดนตามปกติอีกต่อไป แต่ได้พัฒนาไปสู่
"โมเดลความขัดแย้งเรื้อรัง" ที่มีความซับซ้อนและน่าจับตามองอย่างยิ่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะไม่จบลงด้วยการเจรจาโดยง่าย แต่เป็นการปะทะที่ขับเคลื่อนด้วยการคำนวณความคุ้มค่าในระยะยาว และการสร้างหลักประกันจาก "
ความหวาดกลัว" เฉกเช่นที่เคยเห็นในเวทีโลก
"หลักประกัน" ในแบบฉบับ Conventional Warfare
ในโลกที่ประเทศมหาอำนาจต่างพึ่งพิงอาวุธนิวเคลียร์เพื่อค้ำประกันการไม่ถูกโจมตี หลักการ
"การป้องปราม" (Deterrence) ด้วยการข่มขู่ว่าจะสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถยอมรับได้ ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคง
เกาหลีเหนือคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด พวกเขาไม่ได้ทุ่มงบไปกับกองทัพอากาศที่ทันสมัย แต่กลับมุ่งเน้นที่อาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธพิสัยไกล ทำให้ประเทศที่แม้จะกังวลและอยาก "ลบออกจากแผนที่โลก" ก็ยังไม่กล้าลงมือ เพราะเกาหลีเหนือได้สร้างสมการที่ว่า
"หากคุณโจมตีเราในระดับที่เกินกว่าทหารราบ เราไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากกดปุ่มนิวเคลียร์" คือการตัด "ขั้นกลาง" ของบันไดการไต่ระดับความรุนแรงออกไป และทิ้งทางเลือกไว้เพียง
"การปะทะด้วยกำลังภาคพื้นดิน" หรือไม่ก็ "การทำลายล้างด้วยนิวเคลียร์" ทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยง
โมเดลนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นิวเคลียร์ อินเดียและปากีสถานก็คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ใช้ "หลักประกันนิวเคลียร์" เพื่อควบคุมความขัดแย้งที่ฝังรากลึกให้ไม่บานปลายไปสู่การทำลายล้างเต็มรูปแบบ
เมื่อกัมพูชา "อัปเกรด" กลยุทธ์ และเปลี่ยนเกม
ย้อนกลับมาที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน กัมพูชาได้นำหลักการที่คล้ายคลึงกันนี้มาปรับใช้ในรูปแบบของ
อาวุธแบบดั้งเดิม (Conventional Weapons)
ในอดีต ความขัดแย้งมักจบลงด้วยการหยุดยิงเมื่ออีกฝ่ายหมดกำลัง อย่างไรก็ตาม การปะทุในครั้งนี้ กัมพูชาได้เพิ่มเดิมพันด้วยการครอบครอง:
1️⃣ BM-21 (ระบบจรวดหลายลำกล้อง) ที่มากขึ้น: แม้จะเป็นอาวุธพื้นฐาน แต่มีจำนวนมากและสามารถยิงทำลาย
บ้านเรือนประชาชนชาวไทยในรัศมี 20-40 กิโลเมตร จากชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้สร้างความเสียหายมหาศาลต่อชีวิตผู้คน ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจชายแดนของไทย บังคับให้ผู้คนนับแสนต้องอพยพหนีตาย การโจมตีพลเรือนเช่นนี้
"คุ้มค่า" ในสายตาของกัมพูชา เพราะทำให้ไทยต้องแบกรับต้นทุนที่ไม่สามารถยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่สามารถตอบโต้ด้วยการ "บอมบ์บ้านชาวบ้าน" ของกัมพูชาได้อย่างง่ายดาย เพราะจะขาดความชอบธรรมในสายตาของประชาคมโลก นี่คือการใช้
"อาวุธต้นทุนต่ำ" เพื่อสร้างความปั่นป่วนและข้อได้เปรียบ เมื่อกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน
2️⃣ PHL-03 (ระบบจรวดหลายลำกล้องพิสัยไกล): แม้จะยังไม่สามารถยิงถึงกรุงเทพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในตอนนี้ แต่การที่กัมพูชาครอบครองและกล่าวอ้างถึงขีดความสามารถในการโจมตีเป้าหมายเชิงลึก เช่น เมืองสำคัญ ก็เป็นการ
"ข่มขวัญ" และ
"เพิ่มอำนาจต่อรอง" นี่คือ
"ไม้กันหมา" ที่ส่งสัญญาณว่า หากไทยส่ง F-16 หรือ Gripen ไปทิ้งระเบิดเมืองหลวงของกัมพูชาอย่างกรุงพนมเปญ หรือเมืองสำคัญอื่น ๆ กัมพูชาก็พร้อมที่จะตอบโต้ด้วย PHL-03 โจมตีเมืองสำคัญของไทยเป็นการแลกเปลี่ยน แม้จะไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่ก็สร้างความเสียหายที่ไทยต้องคิดหนัก
การตัดสินใจ: เดิมพันเพื่อ "สันติภาพที่ยาวนาน"
จากบริบทนี้ ปฏิบัติการทางทหารอาจยังไม่หยุดง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคาดหวังในตอนแรก มีเหตุผลที่หนักแน่นและมาจาก
การคำนวณความคุ้มค่าในระยะยาว ดังเช่นที่อิสราเอลกำลังทำสงครามกับฮามาส
อิสราเอลเลือกที่จะ "ถอนรากถอนโคน" ฮามาส แม้จะต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาลและแรงกดดันจากนานาชาติ เพราะพวกเขาทนไม่ได้แล้วกับ "วงจร" ที่ฮามาสจะกลับมาคุกคามอีกครั้งในอนาคต
เช่นเดียวกัน
ไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ "ยุง" ที่กลับมาแล้วกลับมาอีก สร้างความรำคาญและโรคร้าย (ความเสียหายต่อพลเรือนและเศรษฐกิจ)
📌 วิเคราะห์ความเสี่ยง:
📍 ความเสี่ยงในอนาคต: หากไม่กำราบภัยคุกคามนี้ในตอนนี้ อีกฝ่ายอาจมีเวลา
"อัปเกรด PHL-03 ให้ยิงได้ถึงกรุงเทพฯ จริง ๆ และมีเป็นร้อยลูก" ในอนาคต ซึ่งเมื่อนั้นจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ยากจะรับมือได้อย่างแท้จริง
📍 ต้นทุนที่ "ดูเหมือนไม่คุ้ม" แต่ "คุ้มค่าในระยะยาว": แม้การทำสงครามเพื่อทำลายกำลังและอาวุธของอีกฝ่ายจะดูเหมือน "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" และใช้งบประมาณมหาศาล แต่ก็เป็นการลงทุนเพื่อ
"การอยู่อย่างสงบสุขยาวนานกว่าเดิมสัก 20-30 ปี" เป็นการซื้อความมั่นคงในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่อาจสูงกว่าหลายเท่าหากปล่อยให้ภัยคุกคามเติบโตเต็มที่
ดังนั้น ตราบใดที่ทหารไทยสามารถปฏิบัติการโดยมุ่งเน้นทำลายเพียงกำลังทหารและอาวุธของกัมพูชา โดยไม่โจมตีพลเรือน ก็จะยังคงได้รับความชอบธรรมและสามารถดำเนินการต่อไปได้เรื่อย ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าภัยคุกคามนี้จะถูกกำจัดไปถึงรากถึงโคน
นี่คือภาพที่ซับซ้อนของความขัดแย้งในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ แต่เป็นการเดิมพันที่ต้องใช้ทั้งกำลังทหาร การคำนวณทางการเมือง และการมองการณ์ไกล เพื่อแลกมาซึ่ง "
สันติภาพ" ที่อาจไม่ได้เกิดจากการประนีประนอม แต่มาจาก
การบังคับใช้และการกำจัดภัยคุกคามอย่างเด็ดขาด เพื่อให้ประเทศสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างแท้จริงในระยะยาว
วิเคราะห์สถานการณ์สู้รบ ไทย - กัมพูชา
"หลักประกัน" ในแบบฉบับ Conventional Warfare
ในโลกที่ประเทศมหาอำนาจต่างพึ่งพิงอาวุธนิวเคลียร์เพื่อค้ำประกันการไม่ถูกโจมตี หลักการ "การป้องปราม" (Deterrence) ด้วยการข่มขู่ว่าจะสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถยอมรับได้ ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคง
เกาหลีเหนือคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด พวกเขาไม่ได้ทุ่มงบไปกับกองทัพอากาศที่ทันสมัย แต่กลับมุ่งเน้นที่อาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธพิสัยไกล ทำให้ประเทศที่แม้จะกังวลและอยาก "ลบออกจากแผนที่โลก" ก็ยังไม่กล้าลงมือ เพราะเกาหลีเหนือได้สร้างสมการที่ว่า "หากคุณโจมตีเราในระดับที่เกินกว่าทหารราบ เราไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากกดปุ่มนิวเคลียร์" คือการตัด "ขั้นกลาง" ของบันไดการไต่ระดับความรุนแรงออกไป และทิ้งทางเลือกไว้เพียง "การปะทะด้วยกำลังภาคพื้นดิน" หรือไม่ก็ "การทำลายล้างด้วยนิวเคลียร์" ทำให้ไม่มีใครกล้าเสี่ยง
โมเดลนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นิวเคลียร์ อินเดียและปากีสถานก็คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ใช้ "หลักประกันนิวเคลียร์" เพื่อควบคุมความขัดแย้งที่ฝังรากลึกให้ไม่บานปลายไปสู่การทำลายล้างเต็มรูปแบบ
เมื่อกัมพูชา "อัปเกรด" กลยุทธ์ และเปลี่ยนเกม
ย้อนกลับมาที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน กัมพูชาได้นำหลักการที่คล้ายคลึงกันนี้มาปรับใช้ในรูปแบบของ อาวุธแบบดั้งเดิม (Conventional Weapons)
ในอดีต ความขัดแย้งมักจบลงด้วยการหยุดยิงเมื่ออีกฝ่ายหมดกำลัง อย่างไรก็ตาม การปะทุในครั้งนี้ กัมพูชาได้เพิ่มเดิมพันด้วยการครอบครอง:
1️⃣ BM-21 (ระบบจรวดหลายลำกล้อง) ที่มากขึ้น: แม้จะเป็นอาวุธพื้นฐาน แต่มีจำนวนมากและสามารถยิงทำลาย บ้านเรือนประชาชนชาวไทยในรัศมี 20-40 กิโลเมตร จากชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้สร้างความเสียหายมหาศาลต่อชีวิตผู้คน ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจชายแดนของไทย บังคับให้ผู้คนนับแสนต้องอพยพหนีตาย การโจมตีพลเรือนเช่นนี้ "คุ้มค่า" ในสายตาของกัมพูชา เพราะทำให้ไทยต้องแบกรับต้นทุนที่ไม่สามารถยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่สามารถตอบโต้ด้วยการ "บอมบ์บ้านชาวบ้าน" ของกัมพูชาได้อย่างง่ายดาย เพราะจะขาดความชอบธรรมในสายตาของประชาคมโลก นี่คือการใช้ "อาวุธต้นทุนต่ำ" เพื่อสร้างความปั่นป่วนและข้อได้เปรียบ เมื่อกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน
2️⃣ PHL-03 (ระบบจรวดหลายลำกล้องพิสัยไกล): แม้จะยังไม่สามารถยิงถึงกรุงเทพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในตอนนี้ แต่การที่กัมพูชาครอบครองและกล่าวอ้างถึงขีดความสามารถในการโจมตีเป้าหมายเชิงลึก เช่น เมืองสำคัญ ก็เป็นการ "ข่มขวัญ" และ "เพิ่มอำนาจต่อรอง" นี่คือ "ไม้กันหมา" ที่ส่งสัญญาณว่า หากไทยส่ง F-16 หรือ Gripen ไปทิ้งระเบิดเมืองหลวงของกัมพูชาอย่างกรุงพนมเปญ หรือเมืองสำคัญอื่น ๆ กัมพูชาก็พร้อมที่จะตอบโต้ด้วย PHL-03 โจมตีเมืองสำคัญของไทยเป็นการแลกเปลี่ยน แม้จะไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่ก็สร้างความเสียหายที่ไทยต้องคิดหนัก
การตัดสินใจ: เดิมพันเพื่อ "สันติภาพที่ยาวนาน"
จากบริบทนี้ ปฏิบัติการทางทหารอาจยังไม่หยุดง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคาดหวังในตอนแรก มีเหตุผลที่หนักแน่นและมาจาก การคำนวณความคุ้มค่าในระยะยาว ดังเช่นที่อิสราเอลกำลังทำสงครามกับฮามาส
อิสราเอลเลือกที่จะ "ถอนรากถอนโคน" ฮามาส แม้จะต้องแลกมาด้วยต้นทุนมหาศาลและแรงกดดันจากนานาชาติ เพราะพวกเขาทนไม่ได้แล้วกับ "วงจร" ที่ฮามาสจะกลับมาคุกคามอีกครั้งในอนาคต
เช่นเดียวกัน ไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ "ยุง" ที่กลับมาแล้วกลับมาอีก สร้างความรำคาญและโรคร้าย (ความเสียหายต่อพลเรือนและเศรษฐกิจ)
📌 วิเคราะห์ความเสี่ยง:
📍 ความเสี่ยงในอนาคต: หากไม่กำราบภัยคุกคามนี้ในตอนนี้ อีกฝ่ายอาจมีเวลา "อัปเกรด PHL-03 ให้ยิงได้ถึงกรุงเทพฯ จริง ๆ และมีเป็นร้อยลูก" ในอนาคต ซึ่งเมื่อนั้นจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ยากจะรับมือได้อย่างแท้จริง
📍 ต้นทุนที่ "ดูเหมือนไม่คุ้ม" แต่ "คุ้มค่าในระยะยาว": แม้การทำสงครามเพื่อทำลายกำลังและอาวุธของอีกฝ่ายจะดูเหมือน "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" และใช้งบประมาณมหาศาล แต่ก็เป็นการลงทุนเพื่อ "การอยู่อย่างสงบสุขยาวนานกว่าเดิมสัก 20-30 ปี" เป็นการซื้อความมั่นคงในอนาคต เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนที่อาจสูงกว่าหลายเท่าหากปล่อยให้ภัยคุกคามเติบโตเต็มที่
ดังนั้น ตราบใดที่ทหารไทยสามารถปฏิบัติการโดยมุ่งเน้นทำลายเพียงกำลังทหารและอาวุธของกัมพูชา โดยไม่โจมตีพลเรือน ก็จะยังคงได้รับความชอบธรรมและสามารถดำเนินการต่อไปได้เรื่อย ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าภัยคุกคามนี้จะถูกกำจัดไปถึงรากถึงโคน
นี่คือภาพที่ซับซ้อนของความขัดแย้งในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ แต่เป็นการเดิมพันที่ต้องใช้ทั้งกำลังทหาร การคำนวณทางการเมือง และการมองการณ์ไกล เพื่อแลกมาซึ่ง "สันติภาพ" ที่อาจไม่ได้เกิดจากการประนีประนอม แต่มาจาก การบังคับใช้และการกำจัดภัยคุกคามอย่างเด็ดขาด เพื่อให้ประเทศสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้อย่างแท้จริงในระยะยาว