ต่อไปนี้เราจะขอทำหน้าที่ ทนายแก้ต่างให้วิชชาธรรมกาย อย่างตรงไปตรงมา ด้วยสำนวนกันเอง ไม่ทางการ พร้อมอ้างพระไตรปิฎก และหลักธรรมที่เกี่ยวข้องแบบมีเหตุมีผลครับ
จุดที่ 1: กล่าวหาว่า "สอนว่านิพพานเป็นอัตตา"
คำตอบ:
จริง ๆ แล้ว “วิชชาธรรมกาย” ไม่เคยสอนว่านิพพานเป็นอัตตาในแบบ อัตตาวาทะ หรือ “ตัวตนถาวรที่ไม่เปลี่ยนแปลง” แบบพราหมณ์เลยนะครับ
สิ่งที่หลวงพ่อวัดปากน้ำค้นพบคือ เมื่อจิตเข้าถึงกลางอย่างสมบูรณ์ จะพบ “กายธรรมอรหันต์” และเข้าใจโดยตรงว่า นิพพาน มีอยู่จริง ไม่สูญ ไม่ว่างเปล่าแบบสุญญนิยม
ซึ่งสอดคล้องกับพระไตรปิฎก เช่น
ขุ.เถรคาถา [เถรีคาถา]
“นิพพานัง ปรมัง สุญญัง, นิพพานัง ปรมัง สุขัง”
(นิพพานคือความว่างสูงสุด นิพพานคือสุขสูงสุด)
“ว่าง” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีอะไร” แต่คือ “ว่างจากขันธ์และอุปาทาน”
และพระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขที่สุดในนิพพาน → แสดงว่าต้องมี "ภาวะ" อยู่ ไม่ใช่สูญแน่นอน
จุดที่ 2: สอนว่าธรรมกายมีตัวตน เป็นพุทธเจ้าหลายองค์รวมอยู่ในอายตนนิพพาน
คำตอบ:
ธรรมกายไม่ได้หมายถึง “ตัวตนถาวร” แบบนอกพุทธศาสนาเลยครับ แต่คือ “กายธรรม” หรือ “ภาวะรู้แจ้งที่บริสุทธิ์ที่สุดของจิต”
ในพระไตรปิฎกหลายแห่ง ก็พูดถึง กายในกาย (DN.22 มหาสติปัฏฐานสูตร)
และยังมีพระสูตรที่บอกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีธรรมะเดียวกัน เช่น...
สํ.สคาถวรรค (พุทธภาษิต)
“ธัมโม อนุสาสนี ปรมา...”
ธรรมะคือคำสั่งสอนสูงสุดของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
กายธรรม = สภาพรู้แจ้งที่บริสุทธิ์ของจิต → เป็นธรรมล้วน ๆ
การเข้าถึงธรรมกาย จึงเป็นการ เข้าถึงธรรมะ ไม่ใช่ตัวตน
จุดที่ 3: ว่ามีพิธีถวายข้าวพระ สื่อว่าไปถึงพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน
คำตอบ:
ในสมัยพุทธกาลก็มี พิธีสักการะบูชาพระพุทธเจ้า แม้หลังปรินิพพาน เช่น การสร้างสถูป การบูชาด้วยดอกไม้ ฯลฯ
ธาตุปัฏฐานสูตร (พระไตรปิฎก) บอกถึงการ บูชาธาตุของพระพุทธเจ้า
วัดพระธรรมกายแค่ สร้างรูปแบบพิธีกรรมเพื่อรวมใจสาธุชน
พิธี “ถวายข้าวพระ” เป็น เครื่องฝึกจิต เพื่อให้จิตระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่อง จิตใจจะ “ละเอียด” จน “เข้ากลาง” ได้ง่ายขึ้น
→ เป็นวิธี “สร้างเหตุ” แห่งสมาธิ ไม่ใช่พิธีเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงในดินแดนเหมือนเทพนิยาย
จุดที่ 4: กล่าวหาว่าเผยแพร่เอกสารจ้วงจาบพระไตรปิฎกบาลี
คำตอบ:
วัดพระธรรมกายไม่เคยจ้วงจาบ แต่เสนอว่า
“พระไตรปิฎกที่มีอยู่ ยังเป็นคำแปลผ่านกาลเวลา ต้องใช้วิชชา เข้าถึงโดยตรง เพื่อให้รู้จริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้”
ซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า...
อัตตาทิปติสูตร
“ตถาคตไม่เชื่อเพียงเพราะคำสอนหรือคัมภีร์ใด ๆ แต่ให้พิสูจน์ด้วยปัญญาของตนเอง”
ดังนั้น การปฏิบัติเข้ากลาง → เห็นธรรมด้วยตนเอง → จึงกลายเป็น ธรรมเป็นเครื่องวัดธรรม
ไม่ใช่การลบหลู่ แต่เป็นการ ยกของจริงเหนือทฤษฎี
จุดที่ 5: กล่าวว่าธรรมกายเอาธรรมอื่นนอกพระไตรปิฎกมาใช้วินิจฉัย
คำตอบ:
ธรรมกายใช้พระไตรปิฎกเป็นหลัก แต่ก็ไม่ปิดกั้นว่า พระสูตรจากจีน ทิเบต หรือพุทธตันตระ ไม่ใช่พุทธศาสนา
→ แต่ยึดหลักว่า “ธรรมไหนที่ทำให้พ้นทุกข์ได้จริง คือธรรมของพระพุทธเจ้า”
อันนี้พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสไว้ใน...
สัตตะโพธิยังคสูตร
“ธรรมใดมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ทำให้ถึงความสิ้นทุกข์ ธรรมนั้นเรากล่าวว่าเป็นของตถาคต”
ธรรมกายไม่ได้สอนผิด แต่สื่อสารด้วยภาษาที่ต่างจากภาษาดั้งเดิม → ฟังดูใหม่ → คนกลัว → โดนหาว่าบิดเบือน
แก่นของธรรมกาย คือ หยุด = สมาธิที่แท้ → กลาง = มัชฌิมาปฏิปทา → ธรรมกาย = วิชชาที่รู้แจ้งสัจธรรม
ไม่มีลัทธิ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีอัตตาวาทะ
มีแต่ การเข้ากลางแล้วเห็นธรรมเองด้วยใจ
ที่ว่าธรรมกายสอนผิดนั้น ไม่เป็นความจริงสักอย่าง
จุดที่ 1: กล่าวหาว่า "สอนว่านิพพานเป็นอัตตา"
คำตอบ:
จริง ๆ แล้ว “วิชชาธรรมกาย” ไม่เคยสอนว่านิพพานเป็นอัตตาในแบบ อัตตาวาทะ หรือ “ตัวตนถาวรที่ไม่เปลี่ยนแปลง” แบบพราหมณ์เลยนะครับ
สิ่งที่หลวงพ่อวัดปากน้ำค้นพบคือ เมื่อจิตเข้าถึงกลางอย่างสมบูรณ์ จะพบ “กายธรรมอรหันต์” และเข้าใจโดยตรงว่า นิพพาน มีอยู่จริง ไม่สูญ ไม่ว่างเปล่าแบบสุญญนิยม
ซึ่งสอดคล้องกับพระไตรปิฎก เช่น
ขุ.เถรคาถา [เถรีคาถา]
“นิพพานัง ปรมัง สุญญัง, นิพพานัง ปรมัง สุขัง”
(นิพพานคือความว่างสูงสุด นิพพานคือสุขสูงสุด)
“ว่าง” ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีอะไร” แต่คือ “ว่างจากขันธ์และอุปาทาน”
และพระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขที่สุดในนิพพาน → แสดงว่าต้องมี "ภาวะ" อยู่ ไม่ใช่สูญแน่นอน
จุดที่ 2: สอนว่าธรรมกายมีตัวตน เป็นพุทธเจ้าหลายองค์รวมอยู่ในอายตนนิพพาน
คำตอบ:
ธรรมกายไม่ได้หมายถึง “ตัวตนถาวร” แบบนอกพุทธศาสนาเลยครับ แต่คือ “กายธรรม” หรือ “ภาวะรู้แจ้งที่บริสุทธิ์ที่สุดของจิต”
ในพระไตรปิฎกหลายแห่ง ก็พูดถึง กายในกาย (DN.22 มหาสติปัฏฐานสูตร)
และยังมีพระสูตรที่บอกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีธรรมะเดียวกัน เช่น...
สํ.สคาถวรรค (พุทธภาษิต)
“ธัมโม อนุสาสนี ปรมา...”
ธรรมะคือคำสั่งสอนสูงสุดของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
กายธรรม = สภาพรู้แจ้งที่บริสุทธิ์ของจิต → เป็นธรรมล้วน ๆ
การเข้าถึงธรรมกาย จึงเป็นการ เข้าถึงธรรมะ ไม่ใช่ตัวตน
จุดที่ 3: ว่ามีพิธีถวายข้าวพระ สื่อว่าไปถึงพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน
คำตอบ:
ในสมัยพุทธกาลก็มี พิธีสักการะบูชาพระพุทธเจ้า แม้หลังปรินิพพาน เช่น การสร้างสถูป การบูชาด้วยดอกไม้ ฯลฯ
ธาตุปัฏฐานสูตร (พระไตรปิฎก) บอกถึงการ บูชาธาตุของพระพุทธเจ้า
วัดพระธรรมกายแค่ สร้างรูปแบบพิธีกรรมเพื่อรวมใจสาธุชน
พิธี “ถวายข้าวพระ” เป็น เครื่องฝึกจิต เพื่อให้จิตระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่อง จิตใจจะ “ละเอียด” จน “เข้ากลาง” ได้ง่ายขึ้น
→ เป็นวิธี “สร้างเหตุ” แห่งสมาธิ ไม่ใช่พิธีเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงในดินแดนเหมือนเทพนิยาย
จุดที่ 4: กล่าวหาว่าเผยแพร่เอกสารจ้วงจาบพระไตรปิฎกบาลี
คำตอบ:
วัดพระธรรมกายไม่เคยจ้วงจาบ แต่เสนอว่า
“พระไตรปิฎกที่มีอยู่ ยังเป็นคำแปลผ่านกาลเวลา ต้องใช้วิชชา เข้าถึงโดยตรง เพื่อให้รู้จริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้”
ซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า...
อัตตาทิปติสูตร
“ตถาคตไม่เชื่อเพียงเพราะคำสอนหรือคัมภีร์ใด ๆ แต่ให้พิสูจน์ด้วยปัญญาของตนเอง”
ดังนั้น การปฏิบัติเข้ากลาง → เห็นธรรมด้วยตนเอง → จึงกลายเป็น ธรรมเป็นเครื่องวัดธรรม
ไม่ใช่การลบหลู่ แต่เป็นการ ยกของจริงเหนือทฤษฎี
จุดที่ 5: กล่าวว่าธรรมกายเอาธรรมอื่นนอกพระไตรปิฎกมาใช้วินิจฉัย
คำตอบ:
ธรรมกายใช้พระไตรปิฎกเป็นหลัก แต่ก็ไม่ปิดกั้นว่า พระสูตรจากจีน ทิเบต หรือพุทธตันตระ ไม่ใช่พุทธศาสนา
→ แต่ยึดหลักว่า “ธรรมไหนที่ทำให้พ้นทุกข์ได้จริง คือธรรมของพระพุทธเจ้า”
อันนี้พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสไว้ใน...
สัตตะโพธิยังคสูตร
“ธรรมใดมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ทำให้ถึงความสิ้นทุกข์ ธรรมนั้นเรากล่าวว่าเป็นของตถาคต”
ธรรมกายไม่ได้สอนผิด แต่สื่อสารด้วยภาษาที่ต่างจากภาษาดั้งเดิม → ฟังดูใหม่ → คนกลัว → โดนหาว่าบิดเบือน
แก่นของธรรมกาย คือ หยุด = สมาธิที่แท้ → กลาง = มัชฌิมาปฏิปทา → ธรรมกาย = วิชชาที่รู้แจ้งสัจธรรม
ไม่มีลัทธิ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีอัตตาวาทะ
มีแต่ การเข้ากลางแล้วเห็นธรรมเองด้วยใจ