ลูกพระเอกที่ไม่มีเสน่ห์พอจะเป็นพระเอก

บางคนบอกว่า... oneshot นิยาย หรือแม้แต่เรื่องสั้นที่ถูกแต่งเสริมจากเนื้อเรื่องหลัก กลับมีเสน่ห์มากกว่า โบรูโตะ ทั้งเรื่องเสียอีก เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปสู่นารูโตะยุคที่หัวใจยังเต้นตามความฝัน ไม่ใช่ตามแผนการตลาด ใครบางคนยังพูดถึงลายเส้นว่า “โคตรดี” เห็นแล้วใจสั่น เสียดายที่อาจารย์คิชิโมโตะเลือกส่งไม้ต่อให้ “ลูกรัก” วาดภาคลูกซะเอง ทั้งที่ลายเส้นของอิเคโมโตะก็ดีในแบบของตัวเอง แต่พอเป็นภาคหลัก คนคาดหวังมากขึ้น กลับกลายเป็นว่า first impression ของโบรูโตะดันสะดุดตั้งแต่หน้าแรก ด้วยลายเส้นที่หลายคนบอกว่า “อิหยังวะ” และนี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของการหลุดโค้ง

เอาเข้าจริง..คนเราย่อมผูกพันกับความทรงจำมากกว่าความเป็นจริงที่เปลี่ยนไป ยิ่งเมื่อต้นฉบับยังตราตรึงในใจ ภาคต่อย่อมถูกเปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วงที่โบรูโตะเริ่มตีพิมพ์ในปี 2016 ขณะที่ อนิเมะ Naruto ยังไม่จบ (จนถึงปี 2017) ทำให้หลายคนยังมูฟออนจากโลกของนารูโตะไม่ได้ แล้วพอมาเจอลายเส้นที่ไม่ใช่ฝีมือคิชิโมโตะแบบเต็ม ๆ คนจึงถอยห่างโดยไม่ทันได้ให้โอกาส

แต่ถ้ามองอีกมุม อิเคโมโตะเองก็เป็นคนที่เคยวาดซีนรักและฉากสำคัญใน Naruto มาหลายตอน เป็นมือวาดที่คิชิโมโตะไว้ใจ ไม่ใช่แค่วาดตามสั่ง แต่ร่วมสร้างโลกนินจามาด้วยกัน เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจลืมไปว่าความคาดหวังของเราเปลี่ยน… แต่ความพยายามของคนทำงานเบื้องหลังยังคงเหมือนเดิม

บางครั้ง…เรื่องราวของพวกเขาที่อยู่ข้างทาง อาจดูสนุกกว่า ไม่ใช่เพราะมันดีกว่า แต่เพราะมันไม่ต้องแบกรับ “ความคาดหวัง” เท่าภาคหลักก็เป็นได้..

ถ้าไม่นับ one-shot พายุหมุนในวังวน—เรื่องราวภาคแยกของ มินาโตะ ที่ถูกแต่งขึ้นมาอย่างงดงามในฐานะของขวัญจากแฟน ๆ ทั่วโลก ผ่านกิจกรรม NARUTOP99 ที่เปิดให้โหวตตัวละครขวัญใจอันดับหนึ่ง และมินาโตะก็คว้าแชมป์ไปครองอย่างสง่างาม จน อาจารย์มาซาชิ คิชิโมโตะ ต้องกลับมาลงมือวาดและเขียนด้วยตัวเอง...นี่ไม่ใช่แค่ของขวัญให้แฟนคลับ แต่มันคือการคืนชีพของ “วิญญาณต้นฉบับ” ที่แฟนเดนตายของ Naruto รู้สึกผูกพันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ที่พาเราย้อนกลับไปก่อนเสียงลมหายใจแรกของนารูโตะในวันที่มินาโตะยังไม่รู้จักคำว่า “พ่อ” และคุชินะยังเชื่อว่าโชคชะตาอาจจะใจดีบ้างซักวัน และเรื่องราวที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงนิยายดัดแปลงอีกสองเล่ม กลับกลายเป็นภาพสะท้อน “โลกยุคใหม่” ที่ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยสงคราม แต่ขับเคลื่อนด้วยคำถามภายในใจของเหล่านินจาที่รอดชีวิตมาแล้ว เราจะยังมีความหมายอะไรในยุคที่ไม่มีศัตรูอีกต่อไป

แต่หารู้ไม่ว่า…ในขณะที่หลายคนมัวแต่ยึดติดอยู่กับอดีต มังงะที่ดัดแปลงจากนิยายอีกสองเล่ม คัมภีร์ลับฉบับน้ำพุร้อนนินจาคาถาโอ้โฮเฮะ และ ตำนานระห่ำซาสึเกะกลับซ่อนตัวอย่างเงียบงันในไทม์ไลน์ของโบรูโตะ ไทม์ไลน์ที่บางคนถึงกับประกาศสาปแช่งว่า “ไม่ควรมีอยู่” ด้วยซ้ำ เพราะมันคือโลกของ “รุ่นลูก” ที่ถูกมองว่าเลอะเทอะ ออกทะเล และไร้หัวใจ

แต่นั่นแหละ...นี่คือจุดที่ความย้อนแย้งเริ่มแทรกซึม เพราะในขณะที่ภาคหลักของโบรูโตะพยายามเร่งฝีเท้าให้ทันกระแสโลก นิยายสองเล่มนี้กลับค่อย ๆ ก้าวอย่างระมัดระวัง พูดคุยกับผู้อ่านเหมือนเพื่อนเก่า ไม่ตะโกน ไม่โวยวาย แค่เปิดหน้าหนังสือแล้วถามเบา ๆ ว่า “เธอยังคิดถึงโลกนินจาอยู่ไหม?”

น้ำพุร้อนธรรมดา ๆ ในเรื่องของมิไร กลายเป็นพื้นที่เยียวยาความรู้สึกที่โลกภายนอกไม่ยอมให้รักษา ส่วนภารกิจของซาสึเกะกับซากุระ กลับกลายเป็นการสำรวจจิตใจคนที่แบกรับบาปมายาวนาน และกำลังค้นหาความหมายใหม่ให้ตัวเองในโลกที่ไม่มีศัตรูชัดเจนอีกต่อไป

มันน่าขันไหม? ว่าในไทม์ไลน์ที่หลายคนอยากจะลบออกจากสารบบจักรวาล กลับมีเรื่องราวที่ลึกซึ้งและเข้าใจความเป็นมนุษย์มากกว่าภาคหลักที่เกิดก่อนมันเสียอีก

บางที...เราไม่ได้เกลียดโบรูโตะหรอก เราแค่โหยหาโลกเก่าที่ไม่กลับมาแล้ว และนิยายพวกนี้ มันคือเศษเสี้ยวความทรงจำที่ยังเหลืออยู่ พอให้เราเชื่อว่า...แม้โลกจะเปลี่ยน แต่ใจของตัวละครบางคนยังเหมือนเดิม

และบางครั้ง...ความสงบเงียบในไทม์ไลน์ที่คนเกลียด อาจซ่อนคำตอบของความวุ่นวายไว้มากกว่าที่เราคิดก็ได้

บางทีสิ่งที่เราเรียกว่า นิยายภาคเสริม ก็คือร่องรอยความเป็นมนุษย์ที่ตกหล่นจากเรื่องหลัก และในโลกที่หมุนไวเกินไป นิยายเหล่านี้อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ยังคอยกระซิบว่า "เราเคยรักนารูโตะ เพราะเราเคยเข้าใจเขา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นพระเอก"

บางที...มันไม่ใช่ว่าโบรูโตะแย่ แต่คนอ่านไม่ได้อยากอ่านแค่ “เรื่องราวของรุ่นลูก” พวกเขายังโหยหา “วิญญาณของรุ่นพ่อ” ที่หายไปต่างหาก..

บางทีคำถามสุดท้ายที่เราไม่กล้าถามตัวเองก็คือ—เรากำลังโกรธโบรูโตะจริง ๆ หรือ...เรากำลังโกรธเวลาที่มันไม่ย้อนกลับมาเป็นเหมือนเดิม?

หรือเราแค่โหยหาความรู้สึกแรกตอนเห็นเด็กชายผมเหลืองผูกผ้าคาดหน้าผากครั้งแรกในหมู่บ้านโคโนฮะ แล้วพอเด็กอีกคนที่เป็นลูกชายของเขา ก้าวออกมาด้วยเส้นทางของตัวเอง เรากลับตะโกนใส่ทันทีว่า “นั่นไม่ใช่นารูโตะ”

บางทีมันเจ็บเหมือนกันนะ…เวลาที่ตัวละครที่เราเคยรัก เคยโตมากับเขา กลับถูกทำให้ดูไร้น้ำหนัก ถูกใช้เป็นเพียง “เครื่องมือปูทาง” ให้รุ่นลูกเด่นขึ้น ไม่ใช่ด้วยวิธีที่ให้เกียรติหรือส่งต่อ แต่เหมือนถูก “ยำ” ใส่หม้อรวมมิตร ทั้งบทบาทลดลง ความเท่าหาย ความลึกหด หรือบางทีถึงขั้น “ไร้เหตุผล” จนเสียตัวตนที่เคยมี และก็เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงรู้สึกว่าโบรุโตะ เหยียบเงา “รุ่นพ่อ” โดยไม่เข้าใจว่าร่มเงานั้นเคยปกป้องอะไรไว้บ้าง

แต่ในอีกมุมหนึ่ง...มันก็สะท้อนความเจ็บจริงของ “การเติบโต” ที่คนรุ่นใหม่หลายคนต้องเจอ ต้องดิ้นรนจะเป็นตัวเอง แต่ก็ถูกตัดสินอยู่ดีว่า “ไม่เท่ารุ่นก่อน”

บางทีโบรุโตะอาจไม่ได้ผิด ผิดที่เรา(คนดู)เอง...
ที่ยังอยากเห็นนารูโตะวิ่ง ทั้งที่เขาควรได้พัก

และก็ใช่บางครั้ง ลายเส้นมังงะนิยาย หรือ oneshot ที่อยู่ข้างนอก กลับดูเคารพแก่นเดิมมากกว่าเรื่องหลัก จนเราต้องถามว่า...จริง ๆ แล้ว "ใครกันแน่" ที่เข้าใจต้นไม้
ระหว่างคนที่ปลูกมัน กับคนที่เขียนบทให้ตัดมันทิ้งเพื่อปลูกต้นใหม่

บางที ความผิดไม่ได้อยู่ที่โบรูโตะเลยด้วยซ้ำ
แต่เพราะเรานั่นแหละ...ไม่ยอมให้ “รุ่นลูก” เติบโตโดยไม่ต้องยืนอยู่ใต้เงาของ “รุ่นพ่อ”

เราอยากให้เขาแตกต่าง แต่ก็โกรธเมื่อเขาไม่เหมือนเดิม
เราเรียกร้องพล็อตใหม่ แต่ก็โหยหาภาพเก่าในทุกฉาก
เราอยากให้เรื่องมัน "ลึก" ขึ้น แต่กลับไม่ยอมเปิดใจให้อะไรที่ไม่ใช่สงครามโลกนินจา

แล้วใครกันแน่...ที่ไม่ยอมโตไปพร้อมตัวละคร?

บางทีถึงเวลาที่เราจะหยุดตัดสินทุกอย่างด้วยความทรงจำ และลองฟังเสียงของตัวละครใหม่ดูบ้างไม่ใช่เพื่อเปรียบเทียบ แต่เพื่อเข้าใจ

เพราะโลกนินจาไม่ได้จบแค่วันที่นารูโตะได้เป็นโฮคาเงะ…
มันยังดำเนินต่อไป ในมือของรุ่นลูก ที่แม้จะเดินสะดุด แต่มันก็คือ “ก้าวต่อ” ไม่ใช่แค่เงาสะท้อนของก้าวเดิม..

คุณพร้อมจะมองเขาอย่างที่เขาเป็น...ไม่ใช่ในแบบที่คุณเคยรักได้หรือเปล่า?

และ...เรื่องนี้อาจไม่มี “ตรงกลาง” ให้ยืน เพราะมันคือการปะทะกันของสองยุคของคนที่เติบโตมากับ “รุ่นพ่อ” ที่ถูกยกให้เป็นตำนาน กับ “รุ่นลูก” ที่พยายามจะเป็นอะไรมากกว่านั้น แต่ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหน ก็มักถูกหาว่า “ทำลายของเก่า” หรือ “ไม่เคารพต้นฉบับ”

การเอาตัวละครรุ่นพ่อมายำ อาจไม่ใช่แค่ปัญหาของโบรูโตะ แต่อาจสะท้อนอะไรบางอย่างในคนดูด้วย เรายังไม่พร้อมจะ “ปล่อยมือ”เรายังอยากให้ตัวละครเก่าอยู่ในจุดสูงสุดตลอดไป ทั้งที่พวกเขาเอง...ก็แก่ลง เหนื่อยล้า และควรได้พักอย่างสมศักดิ์ศรี

ขณะที่รุ่นลูกพยายามตะเกียกตะกายจะ “เป็นตัวเอง”
แต่ถูกคาดหวังให้เป็นเงาสะท้อนของรุ่นพ่อ และนั่นแหละบางที ความผิดมันไม่ใช่ที่ตัวโบรูโตะเลย แต่มันอาจอยู่ที่ใจของเราที่ยังไม่ยอมให้เขาเติบโตในแบบของตัวเอง

…บางเรื่องต้องปล่อยให้ “จบ” ก่อน ถึงจะมองย้อนกลับมาแล้วเข้าใจ ว่าเราเคยคาดหวังอะไรเกินไป หรือกลัวการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหรือเปล่า...

#Naruto #Boruto #นารูโตะ #โบรูโตะ
#BorutoTwoBlueVortex

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่