ย้อนกลับไป Boruto two vortex ตอนที่ 4-7
แมร่งงงงโครตบ้าเลยนะที่ จู่ ๆ ชิกามารุเลือกจะเชื่อ
และช่วยโบรุโตะแบบดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ในตอนที่ 4 ชิกามารุ
บอกเองว่าถ้าใครเป็นสปายเราจะรู้ได้ทันที !!!
หากมองในแง่พล็อต Two Blue Vortex ตอนที่ 7 ผมมองว่าสิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงการเปิดโปงความจริงระหว่างชิกามารุ อิโนะ โบรูโตะ และคาวากิ แต่มันคือ “สารตั้งต้นของการสั่นคลอน” ที่แท้จริงการสนทนาระหว่างซึมิเระกับอามาโดะ
ชิกามารุก็ยอมรับเองแบบไม่ปิดบังว่า เหตุผลที่เขาเอื้อมมือไปช่วยโบรูโตะ ส่วนหนึ่งเกิดจากบทสนทนานั้น ราวกับว่าคำพูดที่ซึมิเระตั้งใจโยนเข้าไปในห้องเงียบ ๆ ของอามาโดะ กลายเป็นระเบิดเวลาทางความคิดที่ทำให้กลยุทธ์ของผู้นำหมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนทิศ
มันคือความย้อนแย้งที่ชวนคิด ในโลกนินจาที่เต็มไปด้วยเทคนิคและพลังทำลายล้าง มันกลับไม่ใช่คาถา หรือเนตรพิเศษที่เปิดประตูสู่ความจริง แต่เป็น “การสนทนา” ที่ถูกออกแบบอย่างแยบคายให้คู่สนทนาคลายเกราะป้องกันตนเองออกทีละชั้น
การที่จะทำให้คนที่ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ อย่างอามาโดะยอม “พูด” นั้นไม่ใช่แค่เรื่องของทักษะการถาม แต่เป็นการสร้างสนามปลอดภัยทางอารมณ์ (emotional safe zone) ที่อีกฝ่ายรู้สึกว่าการเปิดเผยไม่ใช่การเสียเปรียบ มันเป็นศาสตร์ก่ำกึ่งระหว่าง ethics และ manipulation เส้นบาง ๆ ที่ใครจะมองว่าเป็นคุณธรรม หรือเป็นเล่ห์เหลี่ยม ก็แล้วแต่มุมมอง
การกระทำของซึมิเระยังเป็นตัวอย่างของ “อำนาจแบบไร้เสียง” (silent power) ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของเหตุการณ์ใหญ่ได้โดยไม่ต้องปรากฏตัวบนสนามรบ การโน้มน้าวใจในพื้นที่เล็ก ๆ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่สะเทือนไปถึงการตัดสินใจระดับผู้นำ
หากบทสนทนานั้นเป็นชนวนให้ชิกามารุเริ่มมองคดีของโบรูโตะด้วยเลนส์ใหม่ อาจจะเป็นกุญแจไขปริศนาใหญ่ในเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซึมิเระอาจเป็น “ผู้เล่นเกม” ที่แยบยลที่สุดในมังงะโบรูโตะ ณ ขณะนี้
แต่ถ้าเราลองมองด้วยกรอบ game theory ซึมิเระกำลังเล่นเกมที่คนส่วนใหญ่ในโบรูโตะไม่รู้ตัวว่ามีอยู่ด้วยซ้ำ
ในสนามนี้ ผู้เล่นหลักมีหลายฝ่ายคาวากิ, โบรูโตะ, ชิกามารุ, อามาโดะ, รวมถึงตัวแปรพิเศษอย่างเอด้าและมิตสึกิแต่ละฝ่ายมีเป้าหมาย ผลประโยชน์ และข้อมูลที่ถือครองไม่เท่ากัน เกมนี้ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อชัยชนะทันที แต่คือการสะสม “อำนาจต่อรอง” ผ่านข้อมูล (information advantage) และอิทธิพลทางจิตวิทยา
ซึมิเระเลือกใช้กลยุทธ์ที่ใน game theory ที่เรียกว่า strategic signaling ส่งสัญญาณทางคำพูดและพฤติกรรมให้คู่สนทนารู้สึกว่าเธออยู่ฝั่งเดียวกัน ทั้งที่ในความจริง เธอกำลังเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ท่าทีของอีกฝ่าย เพื่อประเมินว่าควรเดินหมากอย่างไรต่อ เธอไม่ได้กดดันให้อามาโดะเปิดเผยโดยตรง แต่สร้าง “payoff” ให้เขา ทำให้การพูดกลายเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและปลอดภัยกว่าเงียบ
ผลลัพธ์คือ อามาโดะยอมปริปาก ชิกามารุได้ข้อมูลใหม่ และเกมทั้งกระดานเริ่มเคลื่อนไปในทิศทางที่ซึมิเระอาจคาดไว้แล้วก็เป็นได้ มันคือการเปลี่ยน game state โดยไม่ต้องลงแรงมาก แต่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องขยับหมากใหม่ทั้งหมด
ถ้ามองในแง่ระดับจริยธรรม กลยุทธ์แบบนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความโปร่งใสกับการจัดฉาก (framing manipulation) คำถามคือ ถ้าเป้าหมายสุดท้ายคือการหยุดสงครามและรักษาชีวิตผู้บริสุทธิ์ การใช้วิธีนี้ยังถือว่าผิดหรือไม่? หรือในโลกนินจาที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม การไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างหากที่เป็นความเสี่ยง?
อีกทั้งมันแสดงให้เห็นชัดขึ้นว่า ซึมิเระไม่ได้เป็นเพียง “ผู้สนับสนุนโบรูโตะ” แต่เธออาจเป็น hidden strategist ที่กำหนดทิศทางเกมตั้งแต่ต้น
และเพราะอะไรกันนะ ในฐานะโฮคาเงะรุ่น 8 เขาเลือกที่จะช่วย “อาชญากรหมายเลขหนึ่งของหมู่บ้าน” (ตาม narrative ที่คาวากิสร้างไว้) ซึ่งเอาจริง ๆ มันมีความเสี่ยงใหญ่ 3 ด้านเลยนะ
1. ความเสี่ยงทางการเมือง
การช่วยโบรูโตะเท่ากับท้าทาย ความจริงทางการเมือง ที่ประชาชนและนินจาส่วนใหญ่เชื่อ ถ้าความลับนี้รั่ว เขาอาจถูกมองว่าทรยศ หรืออย่างน้อยก็ “ปกป้องคนผิด”
ในระบบนินจา ความไว้วางใจของหมู่บ้านสำคัญมาก ถ้าหมดไป เขาอาจถูกถอดจากตำแหน่งได้ทันที
2. ความเสี่ยงทางความมั่นคง
การสื่อสารกับโบรูโตะต้องผ่านดีลลับ (Uncharted Communication) การดึงอิโนะมาช่วยเท่ากับเพิ่ม “จุดเสี่ยง” ในเครือข่าย เพราะอิโนะคือคนกลางที่ถือกุญแจทั้งหมด ถ้าอินโนะถูกบีบคั้นหรือสะกดจิต (สมมติจากพลังของเอด้าหรือฝ่ายคาวากิ) ความลับอาจจะหลุดทันที
3. ความเสี่ยงทางจิตวิทยาและความสัมพันธ์
ชิกามารุกับอินโนะเป็นเพื่อนร่วมรบตั้งแต่เด็ก ที่อยู่หน่วยเดียวกัน ซึ่งความไว้ใจแบบส่วนตัว (personal trust)
แต่ในทางจิตวิทยาความภักดีส่วนตัว กับ ความรับผิดชอบต่อสังคมอาจสวนทางกัน ถ้าวันหนึ่งอิโนะเชื่อว่าการเปิดเผยความจริงจะช่วยหมู่บ้านมากกว่าเก็บเงียบ เธออาจเลือกหักหลังเพื่อนโดยไม่รู้สึกผิด และในฐานะผู้นำ ชิกามารุรู้ว่ามิตรภาพไม่ได้การันตีความลับรอดเสมอไป แต่อาจต้อง “เดิมพัน” เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงยังกล้าเสี่ยง?
ส่วนตัวมองว่า.. อาจเป็นไปได้เขามั่นใจว่าอิโนะเข้าใจ “ภาพรวม” พอจะรู้ว่าการเปิดเผยตอนนี้จะยิ่งทำให้โบรูโตะถูกล่า และชิกามารุอาจเตรียม “แผนป้องกันความเสียหาย” ไว้แล้วอย่าง ถ้าความลับรั่ว เขาจะบิดสถานการณ์ให้ดูเหมือนเป็นปฏิบัติการล่อจับโบรูโตะ นอกจากนี้ เขาอาจมองว่ามีเพียงอินโนะเท่านั้นที่เชื่อมต่อเครือข่ายสื่อสารได้โดยไม่ให้คาวากิหรือเอด้าจับสัญญาณได้
การกระทำของชิกามารุจึงเป็นการเดิมพันที่ก้าวข้ามเส้นเขตของ “หน้าที่ต่อระบบ” ไปสู่ “ความรับผิดชอบต่อความจริง” ที่มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ หากจำไม่ผิดเคยมีนักปรัชญาการเมืองเคยเตือนว่ามันอาจข้ามได้ก็จริง แต่ต้องพร้อมแลกด้วยชื่อเสียงและอำนาจที่อาจพังทลายชั่วข้ามคืน ในมันการท้าทาย collective memory ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ครองอำนาจ การประกาศว่า ความจริงไม่จำเป็นต้องตรงกับที่คนส่วนใหญ่จำได้
หากการช่วยโบรูโตะเป็นการปกป้องคนบริสุทธิ์และหมู่บ้าน แต่วิธีที่ใช้คือการโกหกทั้งหมู่บ้านมันคือความชอบธรรม หรือเป็นเพียงการเลือกโกหกที่เราพอใจ? บางทีในโลกนินจา ความสัตย์อาจไม่ใช่แสงสว่างตรงข้ามความมืด แต่เป็นเงาสีเทาที่เคลื่อนไปตามทิศที่หมากเดิน
และบางทีชิกามารุก็รู้…ว่าเขาอาจแพ้ในกระดานนี้ แต่ถ้าแพ้เพื่อให้ความจริงรอด มันอาจเป็นการแพ้ที่คุ้มที่สุดในชีวิต และมันคุ้มที่จะเสี่ยง ?
#Naruto #Boruto #นารูโตะ #โบรูโตะ
#BorutoTwoBlueVortex
หมากเก็บนี้ฉันก็รู้ว่าต้องลงเอยอย่างไร
แมร่งงงงโครตบ้าเลยนะที่ จู่ ๆ ชิกามารุเลือกจะเชื่อ
และช่วยโบรุโตะแบบดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ในตอนที่ 4 ชิกามารุ
บอกเองว่าถ้าใครเป็นสปายเราจะรู้ได้ทันที !!!
หากมองในแง่พล็อต Two Blue Vortex ตอนที่ 7 ผมมองว่าสิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงการเปิดโปงความจริงระหว่างชิกามารุ อิโนะ โบรูโตะ และคาวากิ แต่มันคือ “สารตั้งต้นของการสั่นคลอน” ที่แท้จริงการสนทนาระหว่างซึมิเระกับอามาโดะ
ชิกามารุก็ยอมรับเองแบบไม่ปิดบังว่า เหตุผลที่เขาเอื้อมมือไปช่วยโบรูโตะ ส่วนหนึ่งเกิดจากบทสนทนานั้น ราวกับว่าคำพูดที่ซึมิเระตั้งใจโยนเข้าไปในห้องเงียบ ๆ ของอามาโดะ กลายเป็นระเบิดเวลาทางความคิดที่ทำให้กลยุทธ์ของผู้นำหมู่บ้านเริ่มเปลี่ยนทิศ
มันคือความย้อนแย้งที่ชวนคิด ในโลกนินจาที่เต็มไปด้วยเทคนิคและพลังทำลายล้าง มันกลับไม่ใช่คาถา หรือเนตรพิเศษที่เปิดประตูสู่ความจริง แต่เป็น “การสนทนา” ที่ถูกออกแบบอย่างแยบคายให้คู่สนทนาคลายเกราะป้องกันตนเองออกทีละชั้น
การที่จะทำให้คนที่ไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ อย่างอามาโดะยอม “พูด” นั้นไม่ใช่แค่เรื่องของทักษะการถาม แต่เป็นการสร้างสนามปลอดภัยทางอารมณ์ (emotional safe zone) ที่อีกฝ่ายรู้สึกว่าการเปิดเผยไม่ใช่การเสียเปรียบ มันเป็นศาสตร์ก่ำกึ่งระหว่าง ethics และ manipulation เส้นบาง ๆ ที่ใครจะมองว่าเป็นคุณธรรม หรือเป็นเล่ห์เหลี่ยม ก็แล้วแต่มุมมอง
การกระทำของซึมิเระยังเป็นตัวอย่างของ “อำนาจแบบไร้เสียง” (silent power) ที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของเหตุการณ์ใหญ่ได้โดยไม่ต้องปรากฏตัวบนสนามรบ การโน้มน้าวใจในพื้นที่เล็ก ๆ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่สะเทือนไปถึงการตัดสินใจระดับผู้นำ
หากบทสนทนานั้นเป็นชนวนให้ชิกามารุเริ่มมองคดีของโบรูโตะด้วยเลนส์ใหม่ อาจจะเป็นกุญแจไขปริศนาใหญ่ในเนื้อเรื่อง ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซึมิเระอาจเป็น “ผู้เล่นเกม” ที่แยบยลที่สุดในมังงะโบรูโตะ ณ ขณะนี้
แต่ถ้าเราลองมองด้วยกรอบ game theory ซึมิเระกำลังเล่นเกมที่คนส่วนใหญ่ในโบรูโตะไม่รู้ตัวว่ามีอยู่ด้วยซ้ำ
ในสนามนี้ ผู้เล่นหลักมีหลายฝ่ายคาวากิ, โบรูโตะ, ชิกามารุ, อามาโดะ, รวมถึงตัวแปรพิเศษอย่างเอด้าและมิตสึกิแต่ละฝ่ายมีเป้าหมาย ผลประโยชน์ และข้อมูลที่ถือครองไม่เท่ากัน เกมนี้ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อชัยชนะทันที แต่คือการสะสม “อำนาจต่อรอง” ผ่านข้อมูล (information advantage) และอิทธิพลทางจิตวิทยา
ซึมิเระเลือกใช้กลยุทธ์ที่ใน game theory ที่เรียกว่า strategic signaling ส่งสัญญาณทางคำพูดและพฤติกรรมให้คู่สนทนารู้สึกว่าเธออยู่ฝั่งเดียวกัน ทั้งที่ในความจริง เธอกำลังเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ท่าทีของอีกฝ่าย เพื่อประเมินว่าควรเดินหมากอย่างไรต่อ เธอไม่ได้กดดันให้อามาโดะเปิดเผยโดยตรง แต่สร้าง “payoff” ให้เขา ทำให้การพูดกลายเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและปลอดภัยกว่าเงียบ
ผลลัพธ์คือ อามาโดะยอมปริปาก ชิกามารุได้ข้อมูลใหม่ และเกมทั้งกระดานเริ่มเคลื่อนไปในทิศทางที่ซึมิเระอาจคาดไว้แล้วก็เป็นได้ มันคือการเปลี่ยน game state โดยไม่ต้องลงแรงมาก แต่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องขยับหมากใหม่ทั้งหมด
ถ้ามองในแง่ระดับจริยธรรม กลยุทธ์แบบนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความโปร่งใสกับการจัดฉาก (framing manipulation) คำถามคือ ถ้าเป้าหมายสุดท้ายคือการหยุดสงครามและรักษาชีวิตผู้บริสุทธิ์ การใช้วิธีนี้ยังถือว่าผิดหรือไม่? หรือในโลกนินจาที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม การไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างหากที่เป็นความเสี่ยง?
อีกทั้งมันแสดงให้เห็นชัดขึ้นว่า ซึมิเระไม่ได้เป็นเพียง “ผู้สนับสนุนโบรูโตะ” แต่เธออาจเป็น hidden strategist ที่กำหนดทิศทางเกมตั้งแต่ต้น
และเพราะอะไรกันนะ ในฐานะโฮคาเงะรุ่น 8 เขาเลือกที่จะช่วย “อาชญากรหมายเลขหนึ่งของหมู่บ้าน” (ตาม narrative ที่คาวากิสร้างไว้) ซึ่งเอาจริง ๆ มันมีความเสี่ยงใหญ่ 3 ด้านเลยนะ
1. ความเสี่ยงทางการเมือง
การช่วยโบรูโตะเท่ากับท้าทาย ความจริงทางการเมือง ที่ประชาชนและนินจาส่วนใหญ่เชื่อ ถ้าความลับนี้รั่ว เขาอาจถูกมองว่าทรยศ หรืออย่างน้อยก็ “ปกป้องคนผิด”
ในระบบนินจา ความไว้วางใจของหมู่บ้านสำคัญมาก ถ้าหมดไป เขาอาจถูกถอดจากตำแหน่งได้ทันที
2. ความเสี่ยงทางความมั่นคง
การสื่อสารกับโบรูโตะต้องผ่านดีลลับ (Uncharted Communication) การดึงอิโนะมาช่วยเท่ากับเพิ่ม “จุดเสี่ยง” ในเครือข่าย เพราะอิโนะคือคนกลางที่ถือกุญแจทั้งหมด ถ้าอินโนะถูกบีบคั้นหรือสะกดจิต (สมมติจากพลังของเอด้าหรือฝ่ายคาวากิ) ความลับอาจจะหลุดทันที
3. ความเสี่ยงทางจิตวิทยาและความสัมพันธ์
ชิกามารุกับอินโนะเป็นเพื่อนร่วมรบตั้งแต่เด็ก ที่อยู่หน่วยเดียวกัน ซึ่งความไว้ใจแบบส่วนตัว (personal trust)
แต่ในทางจิตวิทยาความภักดีส่วนตัว กับ ความรับผิดชอบต่อสังคมอาจสวนทางกัน ถ้าวันหนึ่งอิโนะเชื่อว่าการเปิดเผยความจริงจะช่วยหมู่บ้านมากกว่าเก็บเงียบ เธออาจเลือกหักหลังเพื่อนโดยไม่รู้สึกผิด และในฐานะผู้นำ ชิกามารุรู้ว่ามิตรภาพไม่ได้การันตีความลับรอดเสมอไป แต่อาจต้อง “เดิมพัน” เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงยังกล้าเสี่ยง?
ส่วนตัวมองว่า.. อาจเป็นไปได้เขามั่นใจว่าอิโนะเข้าใจ “ภาพรวม” พอจะรู้ว่าการเปิดเผยตอนนี้จะยิ่งทำให้โบรูโตะถูกล่า และชิกามารุอาจเตรียม “แผนป้องกันความเสียหาย” ไว้แล้วอย่าง ถ้าความลับรั่ว เขาจะบิดสถานการณ์ให้ดูเหมือนเป็นปฏิบัติการล่อจับโบรูโตะ นอกจากนี้ เขาอาจมองว่ามีเพียงอินโนะเท่านั้นที่เชื่อมต่อเครือข่ายสื่อสารได้โดยไม่ให้คาวากิหรือเอด้าจับสัญญาณได้
การกระทำของชิกามารุจึงเป็นการเดิมพันที่ก้าวข้ามเส้นเขตของ “หน้าที่ต่อระบบ” ไปสู่ “ความรับผิดชอบต่อความจริง” ที่มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ หากจำไม่ผิดเคยมีนักปรัชญาการเมืองเคยเตือนว่ามันอาจข้ามได้ก็จริง แต่ต้องพร้อมแลกด้วยชื่อเสียงและอำนาจที่อาจพังทลายชั่วข้ามคืน ในมันการท้าทาย collective memory ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ครองอำนาจ การประกาศว่า ความจริงไม่จำเป็นต้องตรงกับที่คนส่วนใหญ่จำได้
หากการช่วยโบรูโตะเป็นการปกป้องคนบริสุทธิ์และหมู่บ้าน แต่วิธีที่ใช้คือการโกหกทั้งหมู่บ้านมันคือความชอบธรรม หรือเป็นเพียงการเลือกโกหกที่เราพอใจ? บางทีในโลกนินจา ความสัตย์อาจไม่ใช่แสงสว่างตรงข้ามความมืด แต่เป็นเงาสีเทาที่เคลื่อนไปตามทิศที่หมากเดิน
และบางทีชิกามารุก็รู้…ว่าเขาอาจแพ้ในกระดานนี้ แต่ถ้าแพ้เพื่อให้ความจริงรอด มันอาจเป็นการแพ้ที่คุ้มที่สุดในชีวิต และมันคุ้มที่จะเสี่ยง ?
#Naruto #Boruto #นารูโตะ #โบรูโตะ
#BorutoTwoBlueVortex