จริงๆแล้ว Crypto เป็นสินค้า ไม่ใช่เงินตรา หรือเปล่าครับ เพราะมีราคาโปรโมชัน ค่าเสื่อมราคา การแตกพาร์ การรีแบรนด์ ยกเลิกเหรียญมีม ธุรกรรม ต่างๆเป็นเหมือนสินค้า ที่ต้องซื้อที่จุดขาย มีผลิตสินค้า (ขุดเหรียญ) ขายส่ง ขายปลีก ฯลฯ
AI ตอบมาว่า
มุมมองที่คุณเสนอมานั้นน่าสนใจและสะท้อนถึงลักษณะบางอย่างของคริปโตเคอร์เรนซีได้เป็นอย่างดีครับ ในหลายๆ แง่มุม คริปโตเคอร์เรนซีแสดงพฤติกรรมที่คล้ายกับ สินค้า หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล มากกว่าการเป็น เงินตรา ที่เราคุ้นเคย
ทำไมคริปโตเคอร์เรนซีจึงมีลักษณะคล้าย "สินค้า" หรือ "สินทรัพย์"
ข้อสังเกตของคุณถูกต้องในหลายประเด็นที่ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากเงินตราทั่วไปและมีลักษณะคล้ายสินค้าหรือสินทรัพย์:
ราคาที่ผันผวนสูง (ค่าเสื่อมราคา/ราคาโปรโมชัน): ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก ซึ่งต่างจากเงินตราที่พยายามรักษามูลค่าให้คงที่ ในขณะที่สินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น ทองคำ ก็มีการผันผวนของราคาตามกลไกตลาดเช่นกัน
การแตกพาร์/รีแบรนด์/ยกเลิกเหรียญมีม: การแตกพาร์ (เช่น การเพิ่มจำนวนเหรียญที่หมุนเวียน), การรีแบรนด์ (การเปลี่ยนชื่อหรือปรับเปลี่ยนโปรเจกต์), และการยกเลิกเหรียญมีม (ซึ่งมักจะไม่มีโปรเจกต์รองรับและมีอายุสั้น) เหล่านี้คือการดำเนินการที่มักจะพบในบริษัทหรือสินค้าเพื่อปรับโครงสร้างหรือยุติโครงการ มากกว่าที่จะพบในเงินตราที่ออกโดยธนาคารกลาง
ธุรกรรมคล้ายการซื้อขายสินค้า: การ "ซื้อ" คริปโตฯ ที่จุดขาย (แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน), การ "ผลิต" สินค้า (การขุดเหรียญ) การมีระบบ "ขายส่ง" (การเทรดในปริมาณมาก) และ "ขายปลีก" (การซื้อขายย่อย) เหล่านี้ล้วนเป็นคำที่ใช้ในวงการการค้าสินค้า
มูลค่าขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน: เช่นเดียวกับสินค้าทั่วไป มูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีจะถูกกำหนดโดยความต้องการ (Demand) และปริมาณ (Supply) ในตลาด ยิ่งมีความต้องการมาก ราคาจะยิ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะเหรียญที่มีอุปทานจำกัดอย่าง Bitcoin
การยอมรับในทางกฎหมาย: ในประเทศไทย คริปโตเคอร์เรนซีถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ "สินทรัพย์ดิจิทัล" ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งหมายความว่ากฎหมายไม่ได้มองว่าเป็นเงินตราที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เหมือนเงินบาท
ความแตกต่างกับ "เงินตรา" (Fiat Money)
ในทางตรงกันข้าม "เงินตรา" (Fiat Money) เช่น เงินบาท ดอลลาร์สหรัฐฯ มีลักษณะสำคัญที่คริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ยังไม่มี:
สถานะ Legal Tender: เงินตราคือสิ่งที่รัฐบาลประกาศให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ทำให้ทุกคนต้องยอมรับในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
การออกและควบคุมโดยรัฐ/ธนาคารกลาง: ธนาคารกลางมีอำนาจในการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ เพื่อรักษาเสถียรภาพและควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ที่ทำงานแบบกระจายศูนย์
ความเสถียรของมูลค่า: แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เงินตราโดยทั่วไปมีความผันผวนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อให้สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หน่วยวัดมูลค่า และรักษามูลค่าได้
สรุป
จากลักษณะที่คุณยกมาและจากข้อกำหนดทางกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
คริปโตเคอร์เรนซีจึงถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ดิจิทัล" ที่มีการซื้อขายเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือเก็งกำไรเป็นหลัก มากกว่าที่จะเป็น "เงินตรา" ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเบื้องหลังคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบล็อกเชนกำลังถูกนำไปพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ซึ่งอาจมีบทบาทที่เปลี่ยนไปในอนาคตครับ
Crypto เป็นสินค้าไม่ใช่เงินตราหรือเปล่า เพราะมีราคาโปรโมชัน ค่าเสื่อมราคา แตกพาร์ รีแบรนด์ ยกเลิกเหรียญมีม
AI ตอบมาว่า
มุมมองที่คุณเสนอมานั้นน่าสนใจและสะท้อนถึงลักษณะบางอย่างของคริปโตเคอร์เรนซีได้เป็นอย่างดีครับ ในหลายๆ แง่มุม คริปโตเคอร์เรนซีแสดงพฤติกรรมที่คล้ายกับ สินค้า หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล มากกว่าการเป็น เงินตรา ที่เราคุ้นเคย
ทำไมคริปโตเคอร์เรนซีจึงมีลักษณะคล้าย "สินค้า" หรือ "สินทรัพย์"
ข้อสังเกตของคุณถูกต้องในหลายประเด็นที่ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากเงินตราทั่วไปและมีลักษณะคล้ายสินค้าหรือสินทรัพย์:
ราคาที่ผันผวนสูง (ค่าเสื่อมราคา/ราคาโปรโมชัน): ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก ซึ่งต่างจากเงินตราที่พยายามรักษามูลค่าให้คงที่ ในขณะที่สินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น ทองคำ ก็มีการผันผวนของราคาตามกลไกตลาดเช่นกัน
การแตกพาร์/รีแบรนด์/ยกเลิกเหรียญมีม: การแตกพาร์ (เช่น การเพิ่มจำนวนเหรียญที่หมุนเวียน), การรีแบรนด์ (การเปลี่ยนชื่อหรือปรับเปลี่ยนโปรเจกต์), และการยกเลิกเหรียญมีม (ซึ่งมักจะไม่มีโปรเจกต์รองรับและมีอายุสั้น) เหล่านี้คือการดำเนินการที่มักจะพบในบริษัทหรือสินค้าเพื่อปรับโครงสร้างหรือยุติโครงการ มากกว่าที่จะพบในเงินตราที่ออกโดยธนาคารกลาง
ธุรกรรมคล้ายการซื้อขายสินค้า: การ "ซื้อ" คริปโตฯ ที่จุดขาย (แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน), การ "ผลิต" สินค้า (การขุดเหรียญ) การมีระบบ "ขายส่ง" (การเทรดในปริมาณมาก) และ "ขายปลีก" (การซื้อขายย่อย) เหล่านี้ล้วนเป็นคำที่ใช้ในวงการการค้าสินค้า
มูลค่าขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน: เช่นเดียวกับสินค้าทั่วไป มูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีจะถูกกำหนดโดยความต้องการ (Demand) และปริมาณ (Supply) ในตลาด ยิ่งมีความต้องการมาก ราคาจะยิ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะเหรียญที่มีอุปทานจำกัดอย่าง Bitcoin
การยอมรับในทางกฎหมาย: ในประเทศไทย คริปโตเคอร์เรนซีถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ "สินทรัพย์ดิจิทัล" ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งหมายความว่ากฎหมายไม่ได้มองว่าเป็นเงินตราที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) เหมือนเงินบาท
ความแตกต่างกับ "เงินตรา" (Fiat Money)
ในทางตรงกันข้าม "เงินตรา" (Fiat Money) เช่น เงินบาท ดอลลาร์สหรัฐฯ มีลักษณะสำคัญที่คริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ยังไม่มี:
สถานะ Legal Tender: เงินตราคือสิ่งที่รัฐบาลประกาศให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ทำให้ทุกคนต้องยอมรับในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
การออกและควบคุมโดยรัฐ/ธนาคารกลาง: ธนาคารกลางมีอำนาจในการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ เพื่อรักษาเสถียรภาพและควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งต่างจากคริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ที่ทำงานแบบกระจายศูนย์
ความเสถียรของมูลค่า: แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่เงินตราโดยทั่วไปมีความผันผวนน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อให้สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หน่วยวัดมูลค่า และรักษามูลค่าได้
สรุป
จากลักษณะที่คุณยกมาและจากข้อกำหนดทางกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
คริปโตเคอร์เรนซีจึงถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ดิจิทัล" ที่มีการซื้อขายเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือเก็งกำไรเป็นหลัก มากกว่าที่จะเป็น "เงินตรา" ที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเบื้องหลังคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบล็อกเชนกำลังถูกนำไปพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ซึ่งอาจมีบทบาทที่เปลี่ยนไปในอนาคตครับ