รู้สึกเหมือนขาดความภูมิใจในตนเอง ไม่ proud ในตัวเองเหมือนอย่างที่เคยเป็น

เล่าให้ฟังก่อนว่า ตลอดมาตั้งแต่เด็กจนโต เรารู้สึกมั่นใจ ภูมิใจในตนเองมาตลอด
ชีวิตก็สุขบ้างทุกข์บ้าง สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง อันนี้ก็รับได้ แต่สมัยวัยรุ่นก็ Hot พอตัว
เราก็มีภูมิใจในตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะสอบที่ไหน เรียนที่ไหน เสนอความคิดอะไรเราก็มักได้รับคำชมเชยเสมอ
ความภูมิใจแรกที่โดนทำลายคือสามีนอกใจ คือเรามั่นใจมากว่าเลือกดีแล้ว มั่นใจแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง
ตอนนั้นก็ออกจากงาน วิทยานิพนธ์มีปัญหา แท้งลูก เรื่องมันพันกันไปหมด
แต่พอเราตั้งใจจนจบโทแล้ว เราเริ่มปฏิวัติตัวเอง ลดน้ำหนัก เพิ่มความรู้ หางานทำ เราได้ทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เราเริ่มกลับภูมิใจในตัวเอง ดูแลตัวเอง แต่งตัว แต่งหน้า จนมั่นใจว่าสวย มั่นใจว่าเก่ง มีพี่ข้างบ้านสนิทกันมาช่วยทั้งซ้อมสอบ พาแต่งหน้า ทำผม แต่งตัว พาไปเรียนขับรถ พาเขียนบทความวิชาการจนได้รับการตีพิมพ์
การทำงานก็มีปัญหาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร กลับมาใช้ชีวิตครอบครัวกันอีกครั้ง พยายามทำลูกแต่ก็ไม่มี
จนกระทั่งเราเองออกจากงาน มาช่วยสามีทำธุรกิจ ดูแลหลังบ้าน จนกระทั่งสามีมานอกใจอีกครั้ง  ตอนนั้นคือไม่เอาอะไรแล้วเตรียมเลิกรา
เรารับงานวิทยากร ร่วมงานกับองค์กรระดับโลก ทำงานวิจัยด้านวิชาการ มีคนเข้ามาหาทั้งหนุ่มทั้งสูงวัย แต่ด้วยโควิด ก็กลับมาอยู่บ้านเดียวกัน แล้วเราก็ท้อง ทั้งๆ ที่พยายามมาก่อนหน้านี้ก็ไม่มี เลยกลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง ช่วงท้องด้วยความอายุเยอะ ประกอบกับช่วงโควิด เราดูแลรักษาตัวอย่างดี ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต ธุรกิจก็ไม่ค่อยได้ดูหลังบ้านเท่าไหร่ ให้เพื่อนที่ทำงานด้านบัญชีมาช่วยดูแล ให้น้องสาวมาดูแลช่วยกัน
หลังคลอด เราเลี้ยงเองได้ 2 สัปดาห์ เหนื่อยมา เครียด ร้องไห้เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีใครมาเลย ไม่ว่าจะบ้านเรา หรือบ้านแฟน อาจเพราะโควิดด้วย ดีที่มีน้องสาวอีกคนอยู่ด้วย แต่เราก็ต้องเลี้ยงเอง ดูแลเองตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ไหว ขอสามีว่าขอหาพี่เลี้ยง จนมีพี่เลี้ยงซึ่งดูแลดีมาก นมไม่ไหล ก็บำรุงกันไป จนน้ำหนักขึ้น ไม่อยากออกไปเจอใครเพราะไม่มั่นใจเลย กินๆ นอนๆ ปั้มนม พอพี่เลี้ยงมีปัญหา เราก็ได้น้องสาวอีกคนมาช่วยดูแล จนน้องก็กลับไปอยู่บ้านกับแม่
ต่อมา เราป่วย เต้านมอักเสบหลังเลิกให้นมลูกไปเป็นปี หมอว่าไม่น่าเกี่ยวกับการปั้มนม รักษาโดยการ เจาะบีบคว้าน ไปล้างแผลทุกวัน เจ็บ ทรมาน รักษาอยู่เป็นปี จนตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว
มาปีนี้ เราป่วยอีก เกี่ยวกับมดลูก ต้องกินยา ผลข้างเคียงคือ มีเลือดออกกะปริบกระปรอยทุกวัน ทำให้อึดอัดรำคาญ นอกจากนี้ยังเป็นโรคเกี่ยวไขมันพอกตับ ต้องลดน้ำหนัก มีผลข้างเคียงต่อกัน ทำให้ตั้งแต่กินยาน้ำหนักที่ตั้งใจลดก็ไม่ลดอีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น 2 เดือนลดได้ 4 กก. มันไม่มีแรง เพลีย อ้วน ไม่ดีต่อสุขภาพ แถมยังไม่สวยอีก  ไม่อยากเจอใครอีกแล้ว ทุกคนรอบข้างเคยเห็นเราก่อนมีลูก เป็นคนสวย หุ่นดี เก่ง แต่ตอนนี้ตรงกันข้าม
ปีนี้อีกเหมือนกันที่ธุรกิจก็เริ่มมีปัญหา ยอดขายตกลง และหลังบ้านที่เราดูก็โดนเบี้ยปรับเงินเพิ่มจากสรรพากรไปอีกเกือบล้าน ทำให้เรานอยส์มาก เพราะเกิดจากการสะเพร่าไม่ยื่นประมาณการรายได้ และยื่นยอดขายไม่ตรงของสำนักงานบัญชีที่ดูแลซึ่งก็เป็นเพื่อนเราที่เปลี่ยนมาให้ดูแลช่วงเราดูลูก โดนย้อนไป 3 ปี ช่วงที่เขามาดู
เรื่องลูกพอสบายขึ้นบ้างเพราะส่งลูกไปเรียน แต่ก็เริ่มมีปัญหากับเราอีก เพราะเราเริ่มคุยกับครู(ต่างชาติ)ของลูกไม่รู้เรื่อง รู้สึกสติปัญญาที่เคยมีลดลง บางครั้งลูกก็คุยเป็นภาษาอังกฤษด้วย เราก็งงไป
ลูกก็คือเด็ก บางครั้งเราควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ก็ปั่นป่วน ยิ่งช่วงนี้ลูกปิดเทอม อยากหนีไปให้ไกลๆ เหนื่อย
วันๆ ตื่น อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวพร้อมลูก ไปส่งลูกเรียน กลับมาออฟฟิส แป้บๆ ไปรับลูก ดูลูก จนลูกเข้านอน ดีที่งานบ้านบางอย่างน้องสาวมาช่วย
รู้สึกชีวิตไม่มีค่า ไม่มีความหมาย ไปอบรม ไปเที่ยวก็แล้ว ไม่ดีขึ้นเลย อยากร้องไห้
ล่าสุด ใบขับขี่หมดอายุ เกิน 3 ปี ต้องสอบใหม่ ดีที่อย่างอื่นเราผ่าน แต่เราไปสอบปฏิบัติท่าเดียว 4 รอบแล้วยังไม่ผ่าน
ซ้อมก็แล้ว ฝึกก็แล้ว ไม่เหมือนตอนสอบครั้งแรกเมื่อ 10กว่าปีที่แล้ว เราสอบครั้งเดียวผ่านเลยไม่มีปัญหา
ชีวิตนี้เรื่องอื่นเราอาจแย่บ้าง แต่เรื่องสอบปกติเราผ่านทุกครั้ง เรามั่นใจมาก แต่ครั้งนี้ 4 รอบแล้ว
เป็นเพราะอายุเยอะขึ้น
เป็นเพราะเราหมดพลัง
เป็นเพราะเราเหนื่อยเกินไป
หรือเป็นเพราะเราขี้เกียจ
เราไม่อยากทำอะไร รู้สึกทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มันเหนื่อย มันเพลีย
ตอนนี้จะทำแผนพัฒนาบริษัทฯ / แผนการตลาด / การอบรมพนักงาน ซึ่งเคยเป็นสิ่งที่เราชำนาญ เชี่ยวชาญมาก ก็ตันไปหมด

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่