‘ตาปลา’ เรื่องไม่เล็ก ต้องรักษาก่อนลามติดเชื้อ, เผชิญมะเร็งร้าย...เมื่อยามเข้าสู่วัยชรา

อาการตาปลาเป็นปัญหาผิวหนังแข็งตัวเป็นก้อนนูน มีจุดดำตรงกลาง เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ เนื่องจากมีรากที่ฝังลึกลงไปในชั้นผิวหนัง หากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

“ตาปลา” เป็นอาการผิดปกติที่ผิวหนังมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ มักพบที่เท้าหรือมือ มาจากการเสียดสีหรือโดนแรงกดทับเป็นประจำ เกิดเป็นตุ่มแข็ง และอาจทำให้มีอาการเจ็บปวด รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

เกร็ดความรู้จาก “โรงพยาบาลสมิติเวช” บอกเล่าถึงอาการตาปลา ว่า เป็นลักษณะอาการที่ผิวหนังแข็งตัวเป็นก้อนนูน และมีจุดดำตรงกลางคล้ายมองผ่าน ๆ คล้ายตาของปลา เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ เนื่องจากมีรากที่ฝังลึกลงไปในชั้นผิวหนัง สำหรับอาการตาปลาที่เท้ามักพบบริเวณฝ่าเท้า ขอบเท้า หรือปลายนิ้วก้อยเท้า

“ตาปลาที่เท้า” อันตรายมากแค่ไหน

โดยทั่วไป โรคตาปลาที่เท้า ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา นอกจากทำให้เกิดอาการเจ็บปวดที่ส่งผลต่อการเดินและการทำกิจกรรมต่างๆแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการอักเสบ เลือดออก ติดเชื้อ เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลเบาหวานที่เท้า หรือผู้ที่แผลหายช้ากว่าปกติ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงได้ ดังนั้นเมื่อเริ่มมีอาการ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการรักษาด้วยตัวเองที่อาจทำให้เกิดบาดแผลและนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้


สาเหตุของ “ตาปลาที่เท้า”

-รองเท้าที่สวมรัดหรือหลวมเกินไป ไม่พอดีกับเท้า

-สวมรองเท้าโดยไม่สวมถุงเท้า อาจทำให้เท้าเสียดสีจนเกิดตาปลาได้

-เดินไกล หรือยืนนาน ๆ จนเกิดการกดทับ

-โครงสร้างของเท้าผิดปกติ เช่น นิ้วเท้าหงิกงอ นิ้วเท้างุ้ม


ลักษณะอาการของตาปลาที่เท้า

บางคนอาจพบว่าเท้าเป็นตุ่มแข็ง ๆ กดแล้วเจ็บแบบนี้เป็นตาปลาที่เท้ารึเปล่า? เพื่อให้สังเกตอาการได้ง่ายขึ้น เรามาดูกันว่าอาการของตาปลาที่เท้ามีลักษณะอย่างไรบ้าง

-มีก้อนกลมนูนแข็งที่ผิวหนังบริเวณเท้า

-มีจุดสีดำหรือสีน้ำตาลอยู่ตรงกลางก้อนแข็ง ๆ

-รู้สึกเจ็บเมื่อถูกกดหรือเมื่อเดิน

-ผิวหนังบริเวณนั้นหนาและแข็งกว่าปกติ

-เมื่อกดหรือบีบรอบ ๆ จะรู้สึกเจ็บเหมือนมีหนามแทง

-บางครั้งอาจมีอาการคันร่วมด้วย

-เมื่อแช่น้ำอุ่น ผิวหนังส่วนที่แข็งจะนิ่มลง

-อาการเจ็บจะรุนแรงขึ้นเมื่อเดินหรือยืนเป็นเวลานาน

-บางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปทั่วเท้าได้

-มักพบในบริเวณที่รับน้ำหนักมาก เช่น ส้นเท้า หรือใต้นิ้วเท้า

หากพบลักษณะอาการดังกล่าวนี้ เราสามารถประเมินในเบื้องต้นได้ว่าเป็นตาปลาที่เท้า ซึ่งควรดูแลบริเวณตาปลาให้ถูกต้องตามสุขลักษณะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นได้

วิธีป้องกันการเป็นตาปลาที่เท้า

-เลือกรองเท้าที่มีขนาดพอดี ไม่คับหรือหลวมเกินไป

-หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน

-สวมถุงเท้าที่พอดี ไม่รัดแน่นเกินไป

-ทาครีมบำรุงเท้าเป็นประจำเพื่อให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น


-หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินนาน ๆ โดยไม่พัก

-ใช้แผ่นรองเท้าเพื่อลดแรงกดที่ฝ่าเท้า

-ตรวจสอบเท้าเป็นประจำเพื่อสังเกตความผิดปกติ

-นั่งพักเป็นระยะหากต้องยืนทำงานเป็นเวลานาน

-แช่เท้าในน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ


วิธีรักษาตาปลาที่เท้า

การรักษาตาปลาที่เท้าสามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่วิธีการรักษาด้วยตัวเองง่าย ๆ อย่างการแช่เท้าในน้ำอุ่น 15-20 นาทีเพื่อให้ผิวหนังนุ่ม แล้วค่อย ๆ ขัดด้วยหินขัดเท้าเบา ๆ เพื่อให้ตาปลาบางลง ทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือใช้แผ่นรองเท้าเพื่อลดแรงกดทับ

นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาตาปลาที่เท้าด้วยการใช้ยา อย่างการใช้พลาสเตอร์สำหรับรักษาตาปลา ที่มีส่วนผสมของสารละลายกรดซาลิไซลิกที่ช่วยละลายเนื้อตาปลา

หากตาปลาที่เท้ามีขนาดใหญ่หรือเจ็บมาก แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการผ่าตาปลา ซึ่งจะเป็นการผ่าตัดเล็กๆ เพื่อเอาเนื้อตาปลาออก


ที่สำคัญ ไม่ควรตัดตาปลาเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดบาดแผล ติดเชื้อ หรือลุกลามเป็นแผลที่รักษาได้ยาก

ในกรณีที่เป็นตาปลาที่เท้ามานานและรักษาด้วยวิธีอื่นไม่หาย อย่างการจี้เย็นด้วยไนโตรเจนเหลวหรือการใช้เลเซอร์ ซึ่งจำเป็นต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญ....

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4904321/



KEY POINTS
ความเสี่ยงของโรคมะเร็งจะเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การสะสมความเสียหายของเซลล์ในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ผู้สูงวัยควรสังเกตสัญญาณเตือนของมะเร็ง เช่น น้ำหนักเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ, อ่อนเพลียเรื้อรัง, หรือพบก้อนเนื้อผิดปกติ เพื่อให้สามารถตรวจพบและรักษาได้อย่างทันท่วงที

ในยามที่อายุเริ่มเข้าสู่วัยสามสิบ งานที่เรามักจะถูกเชิญให้ไปร่วมงาน ส่วนใหญ่จะเป็น “งานแต่งงาน”ของเพื่อนๆ แต่พออายุเริ่มมากขึ้น สิ่งที่จะตามมาคือต้องไปร่วม “งานศพ”ของญาติผู้ใหญ่ หรือไม่ก็งานศพของเพื่อนๆ ทุกวันนี้พอผมไปงานศพ ผมก็มักจะสอบถามเจ้าภาพด้วยคำถามตามมารยาท เช่น ผู้เสียชีวิตอายุเท่าไหร่? เป็นโรคอะไรถึงเสียชีวิตเหรอ? คำตอบที่ได้รับ มักจะเป็นเพราะสาเหตุมาจากโรคมะเร็งเสียเป็นส่วนใหญ่เลยครับ นอกจากนี้ผมยังมีเพื่อนๆ อีกหลายท่าน ที่ยังคงเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งอยู่ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยครับ

ต้องยอมรับว่ามะเร็งเป็นโรคร้าย ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในแต่ละปี อีกทั้งความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ก็เพิ่มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น เมื่อเราก้าวเข้าสู่วัยชรา ร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์ได้กลายพันธุ์ ทำให้มีการพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวัยชรากับมะเร็ง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเรียนรู้ไว้บ้าง เพื่อที่เราจะได้เตรียมความพร้อม ไว้รับมือกับความท้าทายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนะครับ

เหตุผลที่คนวัยชราที่มีความเสี่ยงมะเร็งมากขึ้น ซึ่งก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้สูงวัย มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงกว่าคนหนุ่มสาว ปัจจัยหลักๆ ได้แก่ การสะสมของความเสียหายของเซลล์ (Accumulation of Cellular Damage) ตลอดช่วงชีวิตของคนเรา เซลล์ในร่างกายของเรา จะได้รับความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ เช่น สารเคมี สารก่อมะเร็ง รังสีอนุมูลอิสระ และการอักเสบเรื้อรัง เมื่ออายุมากขึ้น คนก็เหมือนรถยนต์คันหนึ่งนั่นแหละครับ เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป รถยนต์ที่ใช้มานาน ความเสียหายเหล่านี้จะสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่อะไหล่หรือยีนในตัวเราก็จะกลายพันธุ์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดมะเร็งก็จะมีมากขึ้นนั่นเอง

อีกประการหนึ่ง ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ในตัวเราก็จะอ่อนแอลง (Weakened Immune System) ระบบภูมิคุ้มกันในตัวเรา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็ง แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันก็จะลดลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถจัดการกับเซลล์ที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โอกาสที่เจ้าโรคร้ายที่จะก่อตัวก็มากขึ้นเป็นลำดับครับ อีกปัจจัยหนึ่ง ก็คือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (Hormonal Changes) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในเพศหญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ก็จะตามมาครับ นอกจากนี้ ยังมีโรคเรื้อรัง (Chronic Diseases)บางชนิด ซึ่งผู้สูงอายุจำนวนมาก มักมีโรคเรื้อรังประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งโรคเหล่านี้ อาจเป็นปัจจัยเสริมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดีเลยครับ

เรามาดูกันว่ามะเร็งชนิดใดที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ? แม้ว่ามะเร็งทุกชนิดจะสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย แต่มีมะเร็งบางชนิดที่พบได้บ่อยเป็นพิเศษในกลุ่มผู้สูงวัย อันได้แก่ 1,มะเร็งปอด ส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ และการสัมผัสสารก่อมะเร็งในระยะยาว 2, มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ซึ่งพบมากขึ้นในผู้ที่รับประทานอาหารไขมันสูง และขาดการออกกำลังกายเป็นส่วนใหญ่ครับ 3, มะเร็งเต้านม ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน แต่ผู้ชายเองก็มีโอกาสเป็นเช่นกันนะครับ 4, มะเร็งต่อมลูกหมาก เจ้าตัวนี้เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้ชายสูงวัยครับ เพื่อนผมหลายคนก็เป็นมะเร็งตัวนี้กันเยอะครับ 5, มะเร็งผิวหนัง ตัวนี้ส่วนใหญ่จะเกิดจากการสัมผัสแสงแดด ที่เราสะสมมาเป็นเวลานาน

สัญญาณเตือนของมะเร็งในผู้สูงวัย ซึ่งการสังเกตสัญญาณเตือนของมะเร็ง เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถตรวจพบและรักษาได้อย่างทันท่วงที สัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่
1, การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักที่ไม่ทราบสาเหตุ เช่น น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน นั่นคือสัญญาณเตือนจากพระเจ้ากำลังจะบอกเราว่า คุณควรไปพบแพทย์ได้แล้ว
2, การที่มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง โดยจะรู้สึกเหนื่อยล้าผิดปกติ แม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตามครับ
3, มีก้อนหรือตุ่มที่เกิดขึ้นในตัวเราอย่างผิดปกติ เมื่อคลำพบก้อนเนื้อหรือตุ่มตามร่างกาย ที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ควรต้องไปปรึกษาแพทย์ดูก็จะดีนะครับ
4, การเปลี่ยนแปลงในการขับถ่าย เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระมีเลือดปน หรือปัสสาวะลำบาก นี่ก็เป็นสัญญาณเตือนอีกเช่นกันครับ
5, มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหลบ่อย เลือดออกตามไรฟัน หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดหลังหมดประจำเดือน เป็นต้น นี่ก็ควรไปโรงพยาบาลปรึกษาแพทย์ได้แล้ว
6, อาการไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีไข้หรืออาการหวัด นี่ก็อันตรายนะครับ
7, แผลเรื้อรังที่ไม่หาย เช่น แผลในปาก หรือแผลตามผิวหนังที่ไม่หายภายในระยะเวลาอันควร นี่ก็ต้องเฝ้าระวังเช่นกันครับ

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นมะเร็งแล้วนะครับ แต่เป็นเพียงสัญญาณบอกให้เรารู้ตัวว่า เราเป็นผู้สูงวัย(ก็แก่แล้วนั่นแหละครับ)ที่ควรจะต้องทำตัวให้เป็นกระต่ายตื่นตูมบ้างก็ดีนะครับ เพราะการเผชิญกับมะเร็งเมื่อยามสูงวัย เป็นเรื่องที่ลำบากต่อการรักษามาก ดังนั้นต้องทำความเข้าใจและการเตรียมพร้อม ที่จะโอบรับและอยู่กับมันให้ได้ โดยต้องมีการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ และการรับรู้ถึงสัญญาณเตือนที่กล่าวมา เราก็สามารถลดความเสี่ยงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในวัยชรา ขอให้เพื่อนๆ ผู้สูงวัยทั้งหลาย จงตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพและมั่นปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสมกับตนเองครับ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่