Sukavichinomics: 1993 Expressway Master Plans
บทคัดย่อ:
ในปี 2536 ฯพณฯมสุขวิช รังสิตพล ได้นำเสนอแผนแม่บทระบบทางพิเศษกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้แนวคิด “Sukavichinomics” ซึ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน แผนแม่บทนี้มุ่งลดปัญหาการจราจรโดยการสร้างระบบทางด่วนที่เชื่อมโยงชานเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจหลัก พร้อมส่งเสริมการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคโดยรอบ ผลงานเด่น เช่น ทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ได้สร้างมาตรฐานใหม่ด้านการก่อสร้างทางด่วนที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายทำให้บางโครงการถูกปรับเปลี่ยนมาตรฐานและราคาสูงขึ้น ส่งผลให้แผนแม่บทดังกล่าวยังไม่เสร็จสมบูรณ์หลังผ่านไปกว่า 30 ปี บทเรียนจาก Sukavichinomics คือความสำคัญของการดำเนินนโยบายที่ต่อเนื่องและมีความโปร่งใส เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
Sukavichinomics: แผนแม่บทระบบทางพิเศษกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปี 2536
ในปี 2536 ประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ระบบโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะระบบคมนาคมจึงต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับการเติบโตของจำนวนประชากรและปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ศาสตราจารย์ ดร. สุขวิช รังสิตพล ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ได้วางแนวคิดและผลักดันแผนแม่บทระบบทางพิเศษ (Expressway Master Plan) ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า “Sukavichinomics”
แนวคิด Sukavichinomics ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐศาสตร์ทั่วไป แต่ยังเป็นปรัชญาการพัฒนาที่มุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงง่าย ราคายุติธรรม และตอบสนองคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะระบบทางด่วนที่เป็นเส้นทางหลักเชื่อมต่อใจกลางเมืองกับชานเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น เขตอุตสาหกรรมและท่าเรือ
จุดมุ่งหมายของแผนแม่บททางพิเศษ
แผนแม่บทนี้ถูกออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดที่รุนแรงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้า ลดเวลาการเดินทาง และกระจายความเจริญสู่พื้นที่ชานเมือง โดยมีเป้าหมายหลักคือ
สร้างโครงข่ายทางด่วนเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญต่าง ๆ เช่น ทางพิเศษบูรพาวิถีที่เชื่อมบางนา–บางพลี–บางปะกง รองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
ลดความแออัดบนถนนสายหลัก โดยสร้างทางด่วนยกระดับและทางด่วนคู่ขนาน (ทางเลียบ)
วางระบบทางด่วนให้เชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าสายต่าง ๆ
ส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ปริมณฑลเพื่อกระจายความเจริญออกจากใจกลางเมือง
ผลงานเด่นภายใต้ Sukavichinomics
หนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางคือ
ทางพิเศษฉลองรัช (Chalong Rat Expressway)
โครงการนี้สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในต้นยุค 90 โดยมีต้นทุนต่ำและมีค่าผ่านทางที่ถูกกว่าทางด่วนอื่น ๆ เดิมทีค่าผ่านทางตลอดเส้นทางเพียง 30 บาท เชื่อมต่อถนนรามอินทรา-อาจณรงค์ และต่อยอดเชื่อมกับถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก (จตุโชติ) ทางพิเศษฉลองรัชสร้างมาตรฐานใหม่ของการก่อสร้างทางด่วนที่มีคุณภาพและต้นทุนเหมาะสมภายใต้การบริหารจัดการที่ดี
ทางพิเศษบูรพาวิถี (Bang Na - Bang Phli - Bang Pakong Expressway)
ทางด่วนเส้นนี้มีความยาวและเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย โดยได้รับการบันทึกใน Guinness World Records ว่าเป็นสะพานทางด่วนที่ยาวที่สุดในโลกในช่วงปี 2000-2008 นอกจากนั้นยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้การขนส่งสินค้าและคนเข้าสู่พื้นที่อุตสาหกรรมและท่าเรือได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัญหาและความท้าทายของโครงการ
อย่างไรก็ตาม แม้ Sukavichinomics จะวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับระบบทางด่วนกรุงเทพฯ แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายในช่วงปีต่อ ๆ มา ส่งผลให้โครงการบางส่วนถูก “แปรสภาพ” หรือ “คลาดเจตนารมณ์” ไปจากแผนแม่บทเดิม ตัวอย่างเช่น
ทางพิเศษอุดรรัถยา ซึ่งอยู่ในแผนแม่บทเดิม ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ได้รับการก่อสร้างหลังจากนั้นด้วยต้นทุนสูงขึ้นมาก และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ทางด่วนปากเกร็ด-บางปะอิน” ส่งผลให้มาตรฐานลดลง และค่าผ่านทางสูงขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ไม่มีทางเลียบหรือทางคู่ขนานสำหรับประชาชนบริเวณรอบนอก
ทางพิเศษศรีรัช โครงการในยุคพลเอกชาติชาย ซึ่งมีต้นทุนสูงมากและส่งผลให้ค่าผ่านทางสูงตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาการบริหารจัดการและข่าวทุจริตที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพรวมของโครงการนี้ด้อยคุณภาพกว่าที่คาดหวั
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายและการเมืองในแต่ละยุค ทำให้แผนแม่บทไม่สามารถดำเนินการได้ครบถ้วนตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยโครงข่ายทางด่วนหลายเส้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์หลังจากผ่านไปกว่า 30 ปี (2536-2568)
บทเรียนจาก Sukavichinomics
แผนแม่บทระบบทางพิเศษในปี 2536 ภายใต้การนำของ ศ.ดร. สุขวิช รังสิตพล ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง รวมทั้งการบริหารจัดการโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในระยะยาว สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก Sukavichinomics มีดังนี้
ความต่อเนื่องของนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงนโยบายและความไม่ต่อเนื่องของรัฐบาลทำให้แผนแม่บทสูญเสียทิศทาง การปรับเปลี่ยนโครงการกลางคันโดยไม่มีการวางแผนที่รอบคอบ ส่งผลให้โครงการบางส่วนขาดมาตรฐานและมีต้นทุนสูงเกินความจำเป็น
ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม
โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนต้องการความโปร่งใสในการบริหารจัดการและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตและการแปรเจตนารมณ์ของโครงการ
การออกแบบเพื่อประชาชน
Sukavichinomics เน้นการสร้างทางด่วนที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มรายได้หรือผลประโยชน์ของกลุ่มทุนหรือการเมืองเท่านั้น การสร้างทางเลียบและทางคู่ขนานเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรวมอยู่ในโครงการ เพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่รอบข้าง
การเชื่อมโยงระบบขนส่ง
แผนแม่บทควรมีความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ เพื่อช่วยลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคล ลดปัญหาการจราจรติดขัดและมลพิษทางอากาศ
สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต
ถึงแม้ Sukavichinomics จะวางรากฐานที่ดี แต่ปัจจุบัน (ปี 2568) โครงข่ายทางด่วนกรุงเทพฯ ยังไม่สมบูรณ์ตามแผนแม่บทเดิม มีหลายเส้นทางที่ถูกปรับเปลี่ยน หรือก่อสร้างไม่ครบถ้วน นอกจากนั้นยังเผชิญกับปัญหาค่าผ่านทางสูงและข้อจำกัดด้านการเข้าถึงของประชาชนในบางเส้นทาง
ในอนาคต การพัฒนาระบบทางด่วนควรเน้นที่
การฟื้นฟูและต่อเติมโครงข่ายทางด่วนที่ครบถ้วนและมีมาตรฐาน
การประสานงานกับระบบขนส่งมวลชนและโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่น ๆ
การออกแบบที่ยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
การมีส่วนร่วมของประชาชนและความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการ
สรุป
Sukavichinomics ถือเป็นแนวคิดและผลงานที่ทรงคุณค่าในการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางด่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งยังคงมีบทเรียนสำคัญสำหรับการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต แม้ว่าจะมีความท้าทายและข้อจำกัดจากปัจจัยทางการเมืองและการบริหารจัดการ แต่แนวคิดการพัฒนาโครงข่ายทางด่วนที่เป็นธรรม ราคายุติธรรม และเชื่อมโยงกับระบบขนส่งอื่น ๆ ยังคงเป็นเป้าหมายที่ควรได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง
ทางยกระดับ กรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะบทคัดย่อ:
ในปี 2536 ฯพณฯมสุขวิช รังสิตพล ได้นำเสนอแผนแม่บทระบบทางพิเศษกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้แนวคิด “Sukavichinomics” ซึ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน แผนแม่บทนี้มุ่งลดปัญหาการจราจรโดยการสร้างระบบทางด่วนที่เชื่อมโยงชานเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจหลัก พร้อมส่งเสริมการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคโดยรอบ ผลงานเด่น เช่น ทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ได้สร้างมาตรฐานใหม่ด้านการก่อสร้างทางด่วนที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และมีต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายทำให้บางโครงการถูกปรับเปลี่ยนมาตรฐานและราคาสูงขึ้น ส่งผลให้แผนแม่บทดังกล่าวยังไม่เสร็จสมบูรณ์หลังผ่านไปกว่า 30 ปี บทเรียนจาก Sukavichinomics คือความสำคัญของการดำเนินนโยบายที่ต่อเนื่องและมีความโปร่งใส เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
Sukavichinomics: แผนแม่บทระบบทางพิเศษกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปี 2536
ในปี 2536 ประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ระบบโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะระบบคมนาคมจึงต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับการเติบโตของจำนวนประชากรและปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ศาสตราจารย์ ดร. สุขวิช รังสิตพล ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ได้วางแนวคิดและผลักดันแผนแม่บทระบบทางพิเศษ (Expressway Master Plan) ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า “Sukavichinomics”
แนวคิด Sukavichinomics ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐศาสตร์ทั่วไป แต่ยังเป็นปรัชญาการพัฒนาที่มุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าถึงง่าย ราคายุติธรรม และตอบสนองคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะระบบทางด่วนที่เป็นเส้นทางหลักเชื่อมต่อใจกลางเมืองกับชานเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น เขตอุตสาหกรรมและท่าเรือ
จุดมุ่งหมายของแผนแม่บททางพิเศษ
แผนแม่บทนี้ถูกออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดที่รุนแรงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนย้ายผู้คนและสินค้า ลดเวลาการเดินทาง และกระจายความเจริญสู่พื้นที่ชานเมือง โดยมีเป้าหมายหลักคือ
สร้างโครงข่ายทางด่วนเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญต่าง ๆ เช่น ทางพิเศษบูรพาวิถีที่เชื่อมบางนา–บางพลี–บางปะกง รองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
ลดความแออัดบนถนนสายหลัก โดยสร้างทางด่วนยกระดับและทางด่วนคู่ขนาน (ทางเลียบ)
วางระบบทางด่วนให้เชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าสายต่าง ๆ
ส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ปริมณฑลเพื่อกระจายความเจริญออกจากใจกลางเมือง
ผลงานเด่นภายใต้ Sukavichinomics
หนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางคือ
ทางพิเศษฉลองรัช (Chalong Rat Expressway)
โครงการนี้สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในต้นยุค 90 โดยมีต้นทุนต่ำและมีค่าผ่านทางที่ถูกกว่าทางด่วนอื่น ๆ เดิมทีค่าผ่านทางตลอดเส้นทางเพียง 30 บาท เชื่อมต่อถนนรามอินทรา-อาจณรงค์ และต่อยอดเชื่อมกับถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก (จตุโชติ) ทางพิเศษฉลองรัชสร้างมาตรฐานใหม่ของการก่อสร้างทางด่วนที่มีคุณภาพและต้นทุนเหมาะสมภายใต้การบริหารจัดการที่ดี
ทางพิเศษบูรพาวิถี (Bang Na - Bang Phli - Bang Pakong Expressway)
ทางด่วนเส้นนี้มีความยาวและเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทย โดยได้รับการบันทึกใน Guinness World Records ว่าเป็นสะพานทางด่วนที่ยาวที่สุดในโลกในช่วงปี 2000-2008 นอกจากนั้นยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้การขนส่งสินค้าและคนเข้าสู่พื้นที่อุตสาหกรรมและท่าเรือได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัญหาและความท้าทายของโครงการ
อย่างไรก็ตาม แม้ Sukavichinomics จะวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับระบบทางด่วนกรุงเทพฯ แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายในช่วงปีต่อ ๆ มา ส่งผลให้โครงการบางส่วนถูก “แปรสภาพ” หรือ “คลาดเจตนารมณ์” ไปจากแผนแม่บทเดิม ตัวอย่างเช่น
ทางพิเศษอุดรรัถยา ซึ่งอยู่ในแผนแม่บทเดิม ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร ได้รับการก่อสร้างหลังจากนั้นด้วยต้นทุนสูงขึ้นมาก และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ทางด่วนปากเกร็ด-บางปะอิน” ส่งผลให้มาตรฐานลดลง และค่าผ่านทางสูงขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ไม่มีทางเลียบหรือทางคู่ขนานสำหรับประชาชนบริเวณรอบนอก
ทางพิเศษศรีรัช โครงการในยุคพลเอกชาติชาย ซึ่งมีต้นทุนสูงมากและส่งผลให้ค่าผ่านทางสูงตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาการบริหารจัดการและข่าวทุจริตที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพรวมของโครงการนี้ด้อยคุณภาพกว่าที่คาดหวั
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายและการเมืองในแต่ละยุค ทำให้แผนแม่บทไม่สามารถดำเนินการได้ครบถ้วนตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยโครงข่ายทางด่วนหลายเส้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์หลังจากผ่านไปกว่า 30 ปี (2536-2568)
บทเรียนจาก Sukavichinomics
แผนแม่บทระบบทางพิเศษในปี 2536 ภายใต้การนำของ ศ.ดร. สุขวิช รังสิตพล ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง รวมทั้งการบริหารจัดการโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในระยะยาว สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก Sukavichinomics มีดังนี้
ความต่อเนื่องของนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงนโยบายและความไม่ต่อเนื่องของรัฐบาลทำให้แผนแม่บทสูญเสียทิศทาง การปรับเปลี่ยนโครงการกลางคันโดยไม่มีการวางแผนที่รอบคอบ ส่งผลให้โครงการบางส่วนขาดมาตรฐานและมีต้นทุนสูงเกินความจำเป็น
ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม
โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนต้องการความโปร่งใสในการบริหารจัดการและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตและการแปรเจตนารมณ์ของโครงการ
การออกแบบเพื่อประชาชน
Sukavichinomics เน้นการสร้างทางด่วนที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มรายได้หรือผลประโยชน์ของกลุ่มทุนหรือการเมืองเท่านั้น การสร้างทางเลียบและทางคู่ขนานเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรวมอยู่ในโครงการ เพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่รอบข้าง
การเชื่อมโยงระบบขนส่ง
แผนแม่บทควรมีความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ เพื่อช่วยลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคล ลดปัญหาการจราจรติดขัดและมลพิษทางอากาศ
สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต
ถึงแม้ Sukavichinomics จะวางรากฐานที่ดี แต่ปัจจุบัน (ปี 2568) โครงข่ายทางด่วนกรุงเทพฯ ยังไม่สมบูรณ์ตามแผนแม่บทเดิม มีหลายเส้นทางที่ถูกปรับเปลี่ยน หรือก่อสร้างไม่ครบถ้วน นอกจากนั้นยังเผชิญกับปัญหาค่าผ่านทางสูงและข้อจำกัดด้านการเข้าถึงของประชาชนในบางเส้นทาง
ในอนาคต การพัฒนาระบบทางด่วนควรเน้นที่
การฟื้นฟูและต่อเติมโครงข่ายทางด่วนที่ครบถ้วนและมีมาตรฐาน
การประสานงานกับระบบขนส่งมวลชนและโครงสร้างพื้นฐานด้านอื่น ๆ
การออกแบบที่ยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
การมีส่วนร่วมของประชาชนและความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการ
สรุป
Sukavichinomics ถือเป็นแนวคิดและผลงานที่ทรงคุณค่าในการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานทางด่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งยังคงมีบทเรียนสำคัญสำหรับการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต แม้ว่าจะมีความท้าทายและข้อจำกัดจากปัจจัยทางการเมืองและการบริหารจัดการ แต่แนวคิดการพัฒนาโครงข่ายทางด่วนที่เป็นธรรม ราคายุติธรรม และเชื่อมโยงกับระบบขนส่งอื่น ๆ ยังคงเป็นเป้าหมายที่ควรได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง