KS Strategy – เวียดนามขนาดถอยสุดซอยยังโดน 20%
https://www.facebook.com/share/p/16HeAVyQPy/
หากไทยต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 20% จะกระทบกับความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อาหารทะเลแปรรูป, และสินค้าเกษตรอื่นๆ โดยสินค้าจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นสินค้าส่งออกหลักของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ที่มีความใกล้เคียงหรือทับซ้อนกับไทย
ขณะที่กลุ่มสินค้าส่งออกไทยไปยังเวียดนามบางกลุ่มอาจเผชิญการแข่งขันที่มากขึ้นจากสินค้าที่มาจากสหรัฐฯ เข้ามาแข่ง เนื่องจากเวียดนามมีข้อตกลงในการเปิดรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นเช่น เครื่องจักรกลและอุปกรณ์อุตสาหกรรม, อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สินค้าเกษตร, รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์พลาสติกและเคมีภัณฑ์
แต่ทั้งนี้ เวียดนามส่วนใหญ่นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นสินค้าที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ที่เวียดนามยังไม่มีการผลิตเพียงพอ ดังนั้นความเสี่ยงจากประเด็นการแข่งส่งออกของไทยกับสหรัฐฯ อาจจะจำกัดแค่บางสินค้าและอุตสาหกรรมการผลิตที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับข้อเสนอการเจรจากการค้าของไทย-สหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องมีความน่าสนในที่มากกว่าในปัจจุบันหากอยากได้ข้อตกลงที่ดี เพราะพิจารณาข้อตกลงการค้าของเวียดนาม-สหรัฐฯ ที่เวียดนามยอมเปิดตลาดในระดับสูงด้วยการลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% บนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปเวียดนาม และยอมให้เก็บภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าจากเวียดนามส่งออกไปสหรัฐฯ รวมถึงสินค้าจากจีนที่ส่งออกผ่านเวียดนามที่อัตรา 40% (Transshipping tariff)
หากไทยเจรจาการค้าแล้วสุดท้ายต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 20% จะส่งผลกระทบเชิงลบกับภาพเศรษฐกิจไทยในเชิงความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบของต้นทุนทางภาษีที่จะส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ, และหากไทยไม่สามารถบรรลุการเจรจาข้อตกลงการค้าได้เลยจนต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงถึง 36% จะเป็นกรณีแย่ที่สุด เพราะไม่เพียงไทยอาจจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ได้น้อยลงจากราคาสินค้าส่งออกไทยที่อาจสูงขึ้นตามต้นทุนทางภาษี รวมถึงความน่าสนใจที่จะมาลงทุนทางตรงเช่นเปิดโรงงานในไทยก็จะน้อยลงโดยเปรียบเทียบ แต่ไม่มี downside ในเชิงของคาดการณ์ GDP 1.4% ของปี 2025 ที่เรารวมผลของภาษีที่ระดับ 36% แล้ว
เวียดนามขนาดถอยสุดซอยยังโดน 20%
https://www.facebook.com/share/p/16HeAVyQPy/
หากไทยต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 20% จะกระทบกับความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, อาหารทะเลแปรรูป, และสินค้าเกษตรอื่นๆ โดยสินค้าจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นสินค้าส่งออกหลักของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ที่มีความใกล้เคียงหรือทับซ้อนกับไทย
ขณะที่กลุ่มสินค้าส่งออกไทยไปยังเวียดนามบางกลุ่มอาจเผชิญการแข่งขันที่มากขึ้นจากสินค้าที่มาจากสหรัฐฯ เข้ามาแข่ง เนื่องจากเวียดนามมีข้อตกลงในการเปิดรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นเช่น เครื่องจักรกลและอุปกรณ์อุตสาหกรรม, อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, สินค้าเกษตร, รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์พลาสติกและเคมีภัณฑ์
แต่ทั้งนี้ เวียดนามส่วนใหญ่นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นสินค้าที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ที่เวียดนามยังไม่มีการผลิตเพียงพอ ดังนั้นความเสี่ยงจากประเด็นการแข่งส่งออกของไทยกับสหรัฐฯ อาจจะจำกัดแค่บางสินค้าและอุตสาหกรรมการผลิตที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับข้อเสนอการเจรจากการค้าของไทย-สหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องมีความน่าสนในที่มากกว่าในปัจจุบันหากอยากได้ข้อตกลงที่ดี เพราะพิจารณาข้อตกลงการค้าของเวียดนาม-สหรัฐฯ ที่เวียดนามยอมเปิดตลาดในระดับสูงด้วยการลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% บนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปเวียดนาม และยอมให้เก็บภาษีนำเข้า 20% สำหรับสินค้าจากเวียดนามส่งออกไปสหรัฐฯ รวมถึงสินค้าจากจีนที่ส่งออกผ่านเวียดนามที่อัตรา 40% (Transshipping tariff)
หากไทยเจรจาการค้าแล้วสุดท้ายต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 20% จะส่งผลกระทบเชิงลบกับภาพเศรษฐกิจไทยในเชิงความสามารถในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบของต้นทุนทางภาษีที่จะส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ, และหากไทยไม่สามารถบรรลุการเจรจาข้อตกลงการค้าได้เลยจนต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่สูงถึง 36% จะเป็นกรณีแย่ที่สุด เพราะไม่เพียงไทยอาจจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ได้น้อยลงจากราคาสินค้าส่งออกไทยที่อาจสูงขึ้นตามต้นทุนทางภาษี รวมถึงความน่าสนใจที่จะมาลงทุนทางตรงเช่นเปิดโรงงานในไทยก็จะน้อยลงโดยเปรียบเทียบ แต่ไม่มี downside ในเชิงของคาดการณ์ GDP 1.4% ของปี 2025 ที่เรารวมผลของภาษีที่ระดับ 36% แล้ว