สวัสดีทุกคน โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ที่เป็นความหวังของพี่น้องชาวอีสาน กับ
โครงการรถไฟทางคู่ช่วงบ้านไผ่-นครพนม ระยะทางยาวถึง 355 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณมหาศาลกว่า 66,000 ล้านบาท โปรเจกต์นี้ถูกวางเป้าไว้ว่าจะแล้วเสร็จในปี 2570 เพื่อยกระดับการคมนาคมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคอีสานให้ปังยิ่งขึ้น แต่...ข่าวร้ายคือ ตอนนี้มัน ล่าช้าไปถึง 35% จากแผนที่วางไว้ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงช้า แล้วมันจะส่งผลยังไงต่อชาวบ้านและอนาคตของพื้นที่
โครงการนี้คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?
โครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน ช่วง บ้านไผ่-นครพนม เป็นหนึ่งในโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานที่ถูกจับตามองมากที่สุดในตอนนี้ เพราะมันไม่ได้เป็นแค่รางรถไฟธรรมดา แต่เป็น เส้นทางเชื่อมโยงอนาคต ที่จะเปลี่ยนโฉมการเดินทางและการค้าขายของภาคอีสานให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เส้นทางนี้เริ่มจาก ชุมทางบ้านหนองแวงไร่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ผ่าน 6 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, มุกดาหาร และสิ้นสุดที่ สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 จ.นครพนม ซึ่งเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว
ทำไมมันถึงสำคัญ
การเดินทางและการท่องเที่ยว รถไฟทางคู่จะช่วยให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเดินทางได้สะดวกขึ้น ลดเวลาและค่าใช้จ่าย
การขนส่งสินค้า รองรับการค้าชายแดนและการส่งออกไปยังลาว เวียดนาม และจีน ช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์
เศรษฐกิจและการจ้างงาน สร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นการลงทุนในพื้นที่
เชื่อมโยงภูมิภาค เป็นส่วนหนึ่งของ East-West Economic Corridor ที่เชื่อมโยงการค้าจากพม่า ไทย ลาว ไปจนถึงเวียดนาม
เรียกได้ว่าเป็นโปรเจกต์ที่ เปลี่ยนเกม ให้กับภาคอีสานเลยล่ะ แต่ปัญหาคือ ตอนนี้มันกำลังสะดุดขาตัวเองจนล่าช้าไปถึง 35% จากแผนงาน
ทำไมถึงล่าช้า?ปัญหาคืออะไร
จากข้อมูลเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 จาก ThaiPBS และแหล่งอื่น ๆ ปัญหาความล่าช้ามาจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนมาก มาดูกันทีละประเด็นเลย
1. ปัญหาการเวนคืนที่ดิน (ปวดหัวสุด ๆ)
โครงการนี้ต้องเวนคืนที่ดินถึง 17,499 ไร่ รวม 8,760 แปลง ใน 6 จังหวัด ด้วยงบประมาณกว่า 10,080 ล้านบาท แต่ปัญหาคือ
-
ที่ดินทับซ้อน : บางแปลงเป็นที่ดินของรัฐหรือที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งมีขั้นตอนการโอนย้ายที่ซับซ้อน
-
การประเมินราคาไม่ลงตัว : ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกว่าได้ค่าชดเชยไม่เป็นธรรม เพราะการประเมินราคาที่ดินใช้เกณฑ์ของกรมที่ดินซึ่งอาจต่ำกว่าราคาตลาด
-
ความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ ยังมีพื้นที่ราว 30% ที่ยังส่งมอบให้ผู้รับเหมาไม่ได้ ทำให้การก่อสร้างในบางช่วงชะงัก
มีการรายงานว่าในบางพื้นที่ เช่น มุกดาหาร ชาวบ้านอยากได้ราคาที่สูงกว่า และบางแปลงยังเป็นป่าที่ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนว่าเป็นของใคร เรื่องนี้ทำให้เกิดความล่าช้าสะสมมานานถึง 2 ปี แล้ว!
2. ปัญหาการบริหารจัดการและประสานงาน
อีกหนึ่งดราม่าคือการ ขาดความชัดเจนในการจัดการที่ดิน ระหว่างหน่วยงานราชการ มีการระบุว่าแต่ละหน่วยงานไม่มี
วันแมพ (One Map) หรือแผนที่ที่ชัดเจน ทำให้ไม่รู้ว่าแปลงที่ดินบางส่วนเป็นของหน่วยงานไหน ต้องรอการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังมีคอมเมนต์แซ่บ ๆ ว่า
“รอเหล็กจากจีน” และ
“อีก 3 แปลงยังไม่รู้เป็นของใคร” เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าในระบบราชการที่ต้องปรับปรุงด่วน
3. ผู้รับเหมาทำงานช้า
โครงการนี้แบ่งเป็น 2 สัญญา
- สัญญาที่ 1 (บ้านไผ่-หนองพอก) ระยะทาง 177.5 กม. ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า เอเอส-ช.ทวี ความคืบหน้า 19.29% ล่าช้า 26%
-
สัญญาที่ 2 (
หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3) ระยะทาง 177.28 กม. ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า ยูนิค ความคืบหน้าแค่ 0.64% ล่าช้า 35%
ปัญหาคือ จำนวนคนงานและเครื่องจักรไม่เพียงพอ แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเวนคืน ผู้รับเหมาก็ไม่ได้เร่งงานเท่าที่ควร ทำให้ความคืบหน้าช้ากว่าที่วางไว้เยอะ
4 ความกังวลของชาวบ้าน
การก่อสร้างรางรถไฟทำให้ที่ดินของชาวบ้านถูกแบ่งแยก ส่งผลต่อ การสัญจรที่ยากลำบาก และ วิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น การทำเกษตรกรรมหรือเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกว่าความเจริญที่มาพร้อมรถไฟอาจไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของพวกเขา และบางคนถึงกับเสนอว่า
ถ้าจะลงทุนขนาดนี้ ทำไมไม่สร้างเป็น รถไฟความเร็วสูง ไปเลยล่ะ?
ผลกระทบจากความล่าช้า ชาวบ้านและเศรษฐกิจเจออะไรบ้าง
ความล่าช้า 35% ไม่ได้แค่ทำให้แผนงานสะดุด แต่ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้ง ประชาชน และ เศรษฐกิจ ในพื้นที่
-
ชาวบ้าน การเวนคืนที่ดินทำให้บางครอบครัวต้องย้ายที่อยู่อาศัยหรือเสียที่ทำกิน บางคนรู้สึกว่าค่าชดเชยไม่เพียงพอต่อการเริ่มต้นใหม่ นอกจากนี้ การก่อสร้างที่ยืดเยื้อทำให้ถนนหนทางในพื้นที่ถูกปิดกั้น สร้างความลำบากในการเดินทาง
-
เศรษฐกิจ ความล่าช้าทำให้โอกาสในการพัฒนาการค้าและการท่องเที่ยวในพื้นที่ต้องเลื่อนออกไป การลงทุนจากภาคเอกชนอาจชะลอตัวเพราะความไม่แน่นอน
-
ความน่าเชื่อถือของโครงการ การที่งานล่าช้าถึง 35% ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้รับเหมา มีการเรียกร้องให้ปรับเงินผู้รับเหมาและหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบมากขึ้น
ทางออกและความหวังข้างหน้า
ถึงแม้จะมีปัญหาเพียบ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกระทรวงคมนาคมกำลังเร่งแก้ไขปัญหาดังนี้
-
เร่งรัดการเวนคืนที่ดิน รฟท.ตั้งเป้าส่งมอบพื้นที่ 100% ภายในสิ้นปี 2568 หรือต้นปี 2569 เพื่อให้ผู้รับเหมาสามารถทำงานได้เต็มที่
-
ปรับแผนงาน กระทรวงคมนาคม โดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าและสั่งให้ปรับแผนงานให้ชัดเจน พร้อมกำชับไม่ให้ล่าช้าเพิ่ม
-
เพิ่มแรงงานและเครื่องจักร สั่งให้ผู้รับเหมาเร่งระดมคนงานและเครื่องจักรเพื่อให้งานคืบหน้าเร็วขึ้น 3-4% ต่อเดือน มิฉะนั้นจะถูกปรับวันละ 27-28 ล้านบาท
-
ดูแลชาวบ้าน มีการเรียกร้องให้หน่วยงานดูแลผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เช่น สร้าง สะพานลอย หรือ ทางลอด เพื่อแก้ปัญหาการสัญจร
นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนวนอกกรอบ เช่น การทำ ทางยกระดับ ในพื้นที่ที่มีปัญหาการเวนคืน เพื่อลดความขัดแย้งและเร่งงานให้เร็วขึ้น
มองอนาคต โครงการนี้จะเปลี่ยนอีสานได้จริงไหม
ถ้าโครงการนี้สำเร็จตามแผนในปี 2570 คาดว่าจะ
- รองรับผู้โดยสารกว่า 3.8 ล้านคนต่อปี
- ขนส่งสินค้าได้ถึง 700,000 ตันต่อปี
- ช่วยยกระดับ มุกดาหารและนครพนม ให้เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดน
- สร้างงานและโอกาสทางเศรษฐกิจในพื้นที่
แต่...ก็ต้องยอมรับว่ามีเสียงจากชาวบ้านบางส่วน เช่น นายธนวรรธน์ กุลตังวัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรม จ.มุกดาหาร ที่มองว่ารถไฟทางคู่อาจไม่ได้ตอบโจทย์คนทั่วไปที่นิยมเดินทางด้วยรถทัวร์หรือเครื่องบินมากกว่า และถ้าจะลงทุนขนาดนี้
ทำไมไม่ไปให้สุดด้วย รถไฟความเร็วสูง?
มุมมองเพิ่มเติม ปัญหานี้สะท้อนอะไรในระบบ
ระบบราชการที่ยัง “เห่าคนละภาษา”
จากที่เห็นในบทความและคอมเมนต์แซ่บ ๆ เช่น
“รอเหล็กจากจีน” หรือ “อีก 3 แปลงยังไม่รู้เป็นของใคร” มันชี้ให้เห็นชัดเลยว่าระบบราชการของเรายังมีปัญหาการ ประสานงานที่ไม่ลงตัว การไม่มี One Map หรือแผนที่ที่ชัดเจนสำหรับที่ดินของรัฐ ทำให้ทุกอย่างช้าลงไปอีก นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของโปรเจกต์นี้ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เราเห็นในหลาย ๆ โครงการใหญ่ของไทย ถ้าจะให้เร็ว ต้องมี ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่รวมข้อมูลที่ดินทุกหน่วยงานให้ชัดเจน ไม่ต้องมานั่งเล่นเกมเดาว่าแปลงนี้ของใคร
ผู้รับเหมาและการบริหารงาน ถึงเวลาปรับจริงจัง
ความล่าช้า 35% ส่วนหนึ่งมาจาก ผู้รับเหมาที่ทำงานช้า และ ขาดแคลนแรงงานกับเครื่องจักร คำถามคือ ทำไมถึงปล่อยให้งานคืบหน้าได้แค่ 0.64% ในบางสัญญา การที่ผู้รับเหมาบ่นว่า
“คนงานไม่พอ” หรือ “เครื่องจักรน้อย” มันฟังดูเหมือนข้ออ้างที่ซ้ำซาก ถ้าเอกชนทำงานแบบนี้ คงโดนยกเลิกสัญญาไปนานแล้ว ถึงเวลาไหมที่ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะ เข้มงวดกว่านี้ เช่น ปรับเงินหนัก ๆ หรือเปลี่ยนผู้รับเหมาถ้าไม่ไหวจริง ๆ ไม่งั้นเงินภาษี 66,000 ล้านบาทของเราจะลอยไปกับสายลม
ชาวบ้านต้องมาก่อน ความเจริญไม่ควรแลกด้วยน้ำตา
อ่านคอมเมนต์จากบทความแล้วสะเทือนใจตรงที่ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกว่า ความเจริญที่มาพร้อมรถไฟ มันมากับราคาที่แพงเกินไป เช่น ที่ดินถูกแบ่งแยก การสัญจรลำบาก หรือวิถีชีวิตเกษตรกรรมที่เปลี่ยนไป ถ้าจะสร้างความเจริญ หน่วยงานต้อง รับฟังชาวบ้านมากกว่านี้ สร้างสะพานลอย ทางลอด หรือแม้แต่ชดเชยให้เป็นธรรมกว่านี้ มิฉะนั้น โครงการที่ควรเป็นความหวังอาจกลายเป็นฝันร้ายของคนในพื้นที่
รถไฟทางคู่ vs รถไฟความเร็วสูง ลงทุนให้สุดไปเลยดีไหม
มีเสียงจากชาวบ้านและนักธุรกิจในพื้นที่ เช่น รองประธานสภาอุตสาหกรรมมุกดาหาร ที่ตั้งคำถามว่า รถไฟทางคู่จะตอบโจทย์จริงหรือ? ในเมื่อคนส่วนใหญ่เลือกเดินทางด้วยรถทัวร์หรือเครื่องบิน ถ้าจะลงทุนขนาดนี้ ทำไมไม่ไปให้สุดด้วย รถไฟความเร็วสูง มันอาจจะแพงกว่า แต่ถ้ามองระยะยาว มันจะเปลี่ยนเกมการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ได้มากกว่า มุมนี้ชวนให้คิดว่า บางทีเราควรกล้าฝันให้ใหญ่กว่านี้ไหม?
แซ่บ ๆ จากโซเชียล เสียงประชาชนบอกอะไรเรา
จากคอมเมนต์ในโซเซียล เห็นเลยว่าคนในพื้นที่และประชาชนทั่วไปเริ่ม หมดศรัทธากับความล่าช้า
มีคนแซวว่า “ถ้าเป็นเอกชน สร้างช้าขนาดนี้เจ๊งไปแล้ว” ซึ่งก็จริงนะ ถ้าเอกชนทำสำนักงานหรือโรงงานช้าแบบนี้ คงโดนยกเลิกสัญญาไปนานแล้ว
คอมเมนต์สุดแซ่บที่ว่า “ล้อมรั้ว ประกาศขาย เดี๋ยวเจ้าของก็โผล่มา” ชี้ให้เห็นว่าการตรวจสอบที่ดินมันไม่ควรยากขนาดนี้ในยุคดิจิทัล
และที่สำคัญคือเสียงจากชาวบ้านที่บอกว่า อย่าลืมดูแลวิถีชีวิต เพราะถ้าความเจริญมากับการสูญเสียที่ทำกินหรือความสะดวกในชีวิตประจำวัน มันอาจไม่คุ้มค่า
บทสรุป ความหวังที่ต้องเร่งมือ
โครงการรถไฟทางคู่ บ้านไผ่-นครพนม เป็นเหมือนความฝันของชาวอีสานที่กำลังจะเป็นจริง แต่ตอนนี้มันกำลังเจอ พายุแห่งความล่าช้า จากปัญหาการเวนคืนที่ดิน การบริหารจัดการที่ไม่ลงตัว และการทำงานที่เชื่องช้าของผู้รับเหมา แต่ด้วยความพยายามของ รฟท. และกระทรวงคมนาคมที่กำลังเร่งแก้ไข รวมถึงเสียงเรียกร้องจากประชาชนที่อยากเห็นความคืบหน้า โครงการนี้ยังมีความหวัง
สิ่งสำคัญคือ หน่วยงานต้อง โปร่งใส และ รับฟังชาวบ้าน มากขึ้น เพื่อให้ความเจริญที่มาพร้อมรถไฟทางคู่ไม่ต้องแลกมาด้วยความลำบากของคนในพื้นที่ และถ้าจะให้ดี อยากเห็นการเพิ่มเครื่องจักร คนงาน และการประสานงานที่รวดเร็วกว่านี้ เพื่อให้โปรเจกต์นี้ถึงเส้นชัยตามกำหนดในปี 2570
ทุกคนคิดยังไงกับโปรเจกต์นี้ คิดว่ามันจะเปลี่ยนอีสานได้แค่ไหน หรือมีปัญหาอะไรที่อยากให้แก้ไขด่วน ๆ มาคอมเมนต์คุยกันได้เลยนะ
ที่มา:
ThaiPBS, 27 มิ.ย. 2568
Daily News
Thansettakij, 30 เม.ย. 2568
Prachachat, 9 ม.ค. 2568
รถไฟทางคู่บ้านไผ่-นครพนม งบฯ 66,000 ล้านกับความล่าช้า 35% ปัญหาอยู่ที่ดิน หรือ “ระบบ” ทับซ้อนกันมั่ว
โครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน ช่วง บ้านไผ่-นครพนม เป็นหนึ่งในโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานที่ถูกจับตามองมากที่สุดในตอนนี้ เพราะมันไม่ได้เป็นแค่รางรถไฟธรรมดา แต่เป็น เส้นทางเชื่อมโยงอนาคต ที่จะเปลี่ยนโฉมการเดินทางและการค้าขายของภาคอีสานให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เส้นทางนี้เริ่มจาก ชุมทางบ้านหนองแวงไร่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ผ่าน 6 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, มุกดาหาร และสิ้นสุดที่ สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 จ.นครพนม ซึ่งเชื่อมต่อกับ สปป.ลาว
ทำไมมันถึงสำคัญ
เรียกได้ว่าเป็นโปรเจกต์ที่ เปลี่ยนเกม ให้กับภาคอีสานเลยล่ะ แต่ปัญหาคือ ตอนนี้มันกำลังสะดุดขาตัวเองจนล่าช้าไปถึง 35% จากแผนงาน
จากข้อมูลเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2568 จาก ThaiPBS และแหล่งอื่น ๆ ปัญหาความล่าช้ามาจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนมาก มาดูกันทีละประเด็นเลย
โครงการนี้ต้องเวนคืนที่ดินถึง 17,499 ไร่ รวม 8,760 แปลง ใน 6 จังหวัด ด้วยงบประมาณกว่า 10,080 ล้านบาท แต่ปัญหาคือ
- ที่ดินทับซ้อน : บางแปลงเป็นที่ดินของรัฐหรือที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งมีขั้นตอนการโอนย้ายที่ซับซ้อน
- การประเมินราคาไม่ลงตัว : ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกว่าได้ค่าชดเชยไม่เป็นธรรม เพราะการประเมินราคาที่ดินใช้เกณฑ์ของกรมที่ดินซึ่งอาจต่ำกว่าราคาตลาด
- ความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่ ยังมีพื้นที่ราว 30% ที่ยังส่งมอบให้ผู้รับเหมาไม่ได้ ทำให้การก่อสร้างในบางช่วงชะงัก
มีการรายงานว่าในบางพื้นที่ เช่น มุกดาหาร ชาวบ้านอยากได้ราคาที่สูงกว่า และบางแปลงยังเป็นป่าที่ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนว่าเป็นของใคร เรื่องนี้ทำให้เกิดความล่าช้าสะสมมานานถึง 2 ปี แล้ว!
อีกหนึ่งดราม่าคือการ ขาดความชัดเจนในการจัดการที่ดิน ระหว่างหน่วยงานราชการ มีการระบุว่าแต่ละหน่วยงานไม่มี วันแมพ (One Map) หรือแผนที่ที่ชัดเจน ทำให้ไม่รู้ว่าแปลงที่ดินบางส่วนเป็นของหน่วยงานไหน ต้องรอการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังมีคอมเมนต์แซ่บ ๆ ว่า “รอเหล็กจากจีน” และ “อีก 3 แปลงยังไม่รู้เป็นของใคร” เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าในระบบราชการที่ต้องปรับปรุงด่วน
โครงการนี้แบ่งเป็น 2 สัญญา
- สัญญาที่ 1 (บ้านไผ่-หนองพอก) ระยะทาง 177.5 กม. ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า เอเอส-ช.ทวี ความคืบหน้า 19.29% ล่าช้า 26%
- สัญญาที่ 2 (หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3) ระยะทาง 177.28 กม. ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า ยูนิค ความคืบหน้าแค่ 0.64% ล่าช้า 35%
ปัญหาคือ จำนวนคนงานและเครื่องจักรไม่เพียงพอ แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเวนคืน ผู้รับเหมาก็ไม่ได้เร่งงานเท่าที่ควร ทำให้ความคืบหน้าช้ากว่าที่วางไว้เยอะ
การก่อสร้างรางรถไฟทำให้ที่ดินของชาวบ้านถูกแบ่งแยก ส่งผลต่อ การสัญจรที่ยากลำบาก และ วิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น การทำเกษตรกรรมหรือเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกว่าความเจริญที่มาพร้อมรถไฟอาจไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของพวกเขา และบางคนถึงกับเสนอว่า ถ้าจะลงทุนขนาดนี้ ทำไมไม่สร้างเป็น รถไฟความเร็วสูง ไปเลยล่ะ?
ความล่าช้า 35% ไม่ได้แค่ทำให้แผนงานสะดุด แต่ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้ง ประชาชน และ เศรษฐกิจ ในพื้นที่
- ชาวบ้าน การเวนคืนที่ดินทำให้บางครอบครัวต้องย้ายที่อยู่อาศัยหรือเสียที่ทำกิน บางคนรู้สึกว่าค่าชดเชยไม่เพียงพอต่อการเริ่มต้นใหม่ นอกจากนี้ การก่อสร้างที่ยืดเยื้อทำให้ถนนหนทางในพื้นที่ถูกปิดกั้น สร้างความลำบากในการเดินทาง
- เศรษฐกิจ ความล่าช้าทำให้โอกาสในการพัฒนาการค้าและการท่องเที่ยวในพื้นที่ต้องเลื่อนออกไป การลงทุนจากภาคเอกชนอาจชะลอตัวเพราะความไม่แน่นอน
- ความน่าเชื่อถือของโครงการ การที่งานล่าช้าถึง 35% ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้รับเหมา มีการเรียกร้องให้ปรับเงินผู้รับเหมาและหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบมากขึ้น
ถึงแม้จะมีปัญหาเพียบ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกระทรวงคมนาคมกำลังเร่งแก้ไขปัญหาดังนี้
- เร่งรัดการเวนคืนที่ดิน รฟท.ตั้งเป้าส่งมอบพื้นที่ 100% ภายในสิ้นปี 2568 หรือต้นปี 2569 เพื่อให้ผู้รับเหมาสามารถทำงานได้เต็มที่
- ปรับแผนงาน กระทรวงคมนาคม โดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าและสั่งให้ปรับแผนงานให้ชัดเจน พร้อมกำชับไม่ให้ล่าช้าเพิ่ม
- เพิ่มแรงงานและเครื่องจักร สั่งให้ผู้รับเหมาเร่งระดมคนงานและเครื่องจักรเพื่อให้งานคืบหน้าเร็วขึ้น 3-4% ต่อเดือน มิฉะนั้นจะถูกปรับวันละ 27-28 ล้านบาท
- ดูแลชาวบ้าน มีการเรียกร้องให้หน่วยงานดูแลผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เช่น สร้าง สะพานลอย หรือ ทางลอด เพื่อแก้ปัญหาการสัญจร
นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนวนอกกรอบ เช่น การทำ ทางยกระดับ ในพื้นที่ที่มีปัญหาการเวนคืน เพื่อลดความขัดแย้งและเร่งงานให้เร็วขึ้น
ถ้าโครงการนี้สำเร็จตามแผนในปี 2570 คาดว่าจะ
- รองรับผู้โดยสารกว่า 3.8 ล้านคนต่อปี
- ขนส่งสินค้าได้ถึง 700,000 ตันต่อปี
- ช่วยยกระดับ มุกดาหารและนครพนม ให้เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดน
- สร้างงานและโอกาสทางเศรษฐกิจในพื้นที่
แต่...ก็ต้องยอมรับว่ามีเสียงจากชาวบ้านบางส่วน เช่น นายธนวรรธน์ กุลตังวัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรม จ.มุกดาหาร ที่มองว่ารถไฟทางคู่อาจไม่ได้ตอบโจทย์คนทั่วไปที่นิยมเดินทางด้วยรถทัวร์หรือเครื่องบินมากกว่า และถ้าจะลงทุนขนาดนี้ ทำไมไม่ไปให้สุดด้วย รถไฟความเร็วสูง?
ระบบราชการที่ยัง “เห่าคนละภาษา”
จากที่เห็นในบทความและคอมเมนต์แซ่บ ๆ เช่น “รอเหล็กจากจีน” หรือ “อีก 3 แปลงยังไม่รู้เป็นของใคร” มันชี้ให้เห็นชัดเลยว่าระบบราชการของเรายังมีปัญหาการ ประสานงานที่ไม่ลงตัว การไม่มี One Map หรือแผนที่ที่ชัดเจนสำหรับที่ดินของรัฐ ทำให้ทุกอย่างช้าลงไปอีก นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของโปรเจกต์นี้ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เราเห็นในหลาย ๆ โครงการใหญ่ของไทย ถ้าจะให้เร็ว ต้องมี ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่รวมข้อมูลที่ดินทุกหน่วยงานให้ชัดเจน ไม่ต้องมานั่งเล่นเกมเดาว่าแปลงนี้ของใคร
ผู้รับเหมาและการบริหารงาน ถึงเวลาปรับจริงจัง
ความล่าช้า 35% ส่วนหนึ่งมาจาก ผู้รับเหมาที่ทำงานช้า และ ขาดแคลนแรงงานกับเครื่องจักร คำถามคือ ทำไมถึงปล่อยให้งานคืบหน้าได้แค่ 0.64% ในบางสัญญา การที่ผู้รับเหมาบ่นว่า “คนงานไม่พอ” หรือ “เครื่องจักรน้อย” มันฟังดูเหมือนข้ออ้างที่ซ้ำซาก ถ้าเอกชนทำงานแบบนี้ คงโดนยกเลิกสัญญาไปนานแล้ว ถึงเวลาไหมที่ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะ เข้มงวดกว่านี้ เช่น ปรับเงินหนัก ๆ หรือเปลี่ยนผู้รับเหมาถ้าไม่ไหวจริง ๆ ไม่งั้นเงินภาษี 66,000 ล้านบาทของเราจะลอยไปกับสายลม
ชาวบ้านต้องมาก่อน ความเจริญไม่ควรแลกด้วยน้ำตา
อ่านคอมเมนต์จากบทความแล้วสะเทือนใจตรงที่ชาวบ้านบางส่วนรู้สึกว่า ความเจริญที่มาพร้อมรถไฟ มันมากับราคาที่แพงเกินไป เช่น ที่ดินถูกแบ่งแยก การสัญจรลำบาก หรือวิถีชีวิตเกษตรกรรมที่เปลี่ยนไป ถ้าจะสร้างความเจริญ หน่วยงานต้อง รับฟังชาวบ้านมากกว่านี้ สร้างสะพานลอย ทางลอด หรือแม้แต่ชดเชยให้เป็นธรรมกว่านี้ มิฉะนั้น โครงการที่ควรเป็นความหวังอาจกลายเป็นฝันร้ายของคนในพื้นที่
รถไฟทางคู่ vs รถไฟความเร็วสูง ลงทุนให้สุดไปเลยดีไหม
มีเสียงจากชาวบ้านและนักธุรกิจในพื้นที่ เช่น รองประธานสภาอุตสาหกรรมมุกดาหาร ที่ตั้งคำถามว่า รถไฟทางคู่จะตอบโจทย์จริงหรือ? ในเมื่อคนส่วนใหญ่เลือกเดินทางด้วยรถทัวร์หรือเครื่องบิน ถ้าจะลงทุนขนาดนี้ ทำไมไม่ไปให้สุดด้วย รถไฟความเร็วสูง มันอาจจะแพงกว่า แต่ถ้ามองระยะยาว มันจะเปลี่ยนเกมการท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ได้มากกว่า มุมนี้ชวนให้คิดว่า บางทีเราควรกล้าฝันให้ใหญ่กว่านี้ไหม?
จากคอมเมนต์ในโซเซียล เห็นเลยว่าคนในพื้นที่และประชาชนทั่วไปเริ่ม หมดศรัทธากับความล่าช้า
มีคนแซวว่า “ถ้าเป็นเอกชน สร้างช้าขนาดนี้เจ๊งไปแล้ว” ซึ่งก็จริงนะ ถ้าเอกชนทำสำนักงานหรือโรงงานช้าแบบนี้ คงโดนยกเลิกสัญญาไปนานแล้ว
คอมเมนต์สุดแซ่บที่ว่า “ล้อมรั้ว ประกาศขาย เดี๋ยวเจ้าของก็โผล่มา” ชี้ให้เห็นว่าการตรวจสอบที่ดินมันไม่ควรยากขนาดนี้ในยุคดิจิทัล
และที่สำคัญคือเสียงจากชาวบ้านที่บอกว่า อย่าลืมดูแลวิถีชีวิต เพราะถ้าความเจริญมากับการสูญเสียที่ทำกินหรือความสะดวกในชีวิตประจำวัน มันอาจไม่คุ้มค่า
โครงการรถไฟทางคู่ บ้านไผ่-นครพนม เป็นเหมือนความฝันของชาวอีสานที่กำลังจะเป็นจริง แต่ตอนนี้มันกำลังเจอ พายุแห่งความล่าช้า จากปัญหาการเวนคืนที่ดิน การบริหารจัดการที่ไม่ลงตัว และการทำงานที่เชื่องช้าของผู้รับเหมา แต่ด้วยความพยายามของ รฟท. และกระทรวงคมนาคมที่กำลังเร่งแก้ไข รวมถึงเสียงเรียกร้องจากประชาชนที่อยากเห็นความคืบหน้า โครงการนี้ยังมีความหวัง
สิ่งสำคัญคือ หน่วยงานต้อง โปร่งใส และ รับฟังชาวบ้าน มากขึ้น เพื่อให้ความเจริญที่มาพร้อมรถไฟทางคู่ไม่ต้องแลกมาด้วยความลำบากของคนในพื้นที่ และถ้าจะให้ดี อยากเห็นการเพิ่มเครื่องจักร คนงาน และการประสานงานที่รวดเร็วกว่านี้ เพื่อให้โปรเจกต์นี้ถึงเส้นชัยตามกำหนดในปี 2570
ทุกคนคิดยังไงกับโปรเจกต์นี้ คิดว่ามันจะเปลี่ยนอีสานได้แค่ไหน หรือมีปัญหาอะไรที่อยากให้แก้ไขด่วน ๆ มาคอมเมนต์คุยกันได้เลยนะ
ที่มา:
ThaiPBS, 27 มิ.ย. 2568
Daily News
Thansettakij, 30 เม.ย. 2568
Prachachat, 9 ม.ค. 2568