เรื่องเล่าการเมืองกัมพูชา: ชาตินิยมกับไฟชายแดน
เรื่องของกัมพูชา ตั้งแต่สมัย สมเด็จสีหนุ จนมาถึงวันนี้ เหมือนมหากาพย์ที่มีทั้งเรื่องรุ่งเรืองและเรื่องเศร้าปนกันไปหมด ที่สำคัญคือมีเรื่อง ชาตินิยม กับ ความขัดแย้งชายแดน เป็นแกนหลักที่ผูกโยงทุกยุคเข้าด้วยกัน
ปัญหาชายแดนกับเพื่อนบ้านอย่างไทย ลาว เวียดนาม ไม่ใช่แค่เรื่องเส้นแบ่งเขตธรรมดา แต่มันคือการสู้เพื่อ ตัวตน และ ศักดิ์ศรีของชาติ ซึ่งพร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าผู้นำอยากจะหยิบมันมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ยุคสีหนุ: สร้างชาติด้วยชาตินิยม
พอได้เอกราชจากฝรั่งเศสในปี 1953 สีหนุ ก็ใช้ภาพความยิ่งใหญ่ของ อาณาจักรขอมโบราณ อย่างนครวัด มาปลุกใจให้คนกัมพูชาภูมิใจในชาติมาก ชาตินิยมยุคนี้ก็เน้นย้ำเรื่อง อธิปไตย ที่ได้คืนมาจากผู้รุกราน
เรื่องปราสาทพระวิหาร (1962): ตอนที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่เลย มันจุดไฟชาตินิยมให้ลุกโชน สะท้อนให้เห็นว่าชาติที่เพิ่งได้เอกราชอยากจะยืนยันอำนาจของตัวเองแค่ไหน
ยุคสงครามกลางเมืองกับเขมรแดง: ชาตินิยมแบบสุดโต่ง
พอสีหนุโดนโค่น อำนาจก็ตกไปอยู่ในมือของ เขมรแดง ปี 1975 ทีนี้แหละ ความขัดแย้งชายแดนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ชาตินิยมถูกบิดเบือนไปในทางที่บ้าคลั่ง ผสมกับแนวคิดคอมมิวนิสต์สุดโต่ง
บุกโจมตีชายแดนเวียดนาม (1978): เขมรแดงบุกถล่มหมู่บ้านในเวียดนามแบบโหดเหี้ยม เพื่อ "ทวงคืน" ดินแดนเก่า แล้วก็ "ชำระชาติ" การกระทำนี้ก็เลยทำให้เวียดนามทนไม่ไหว ต้องบุกกัมพูชาในปี 1979 เพื่อล้มล้างเขมรแดง ซึ่งคนกัมพูชาจำนวนไม่น้อยก็มองว่าเป็นการ "รุกราน" เข้าไปอีก แล้วมันก็ยิ่งไปจุดไฟชาตินิยมต่อต้านเวียดนามให้แรงขึ้นไปอีก
ยุคหลังเขมรแดง: ชายแดนกับการเมือง
มาถึงยุคของ สมเด็จฮุน เซน เรื่องราวของกัมพูชาคือโศกนาฏกรรมและความหวังที่ผสานกันอย่างลงตัว ชายแดนที่ร้อนระอุยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า อดีตไม่เคยจางหาย และชาตินิยมที่ทรงพลังอาจนำมาซึ่งทั้งความสามัคคีและหายนะในเวลาเดียวกัน ชาตินิยมก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อเรียกความนิยม และที่สำคัญอย่างยิ่ง ผลประโยขน์ประเทศชาติ การที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทางบกเพียงเล็กน้อย หรือการตีความแผนที่บริเวณ เกาะกูด ที่ต่างกัน ก็เป็น "จุดเริ่มต้น"ที่ลากเส้นไปจะส่งผลให้ พื้นที่ทางทะเลที่กัมพูชาจะอ้างสิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยหรือหลายพันตารางกิโลเมตร ได้ขุมทรัพย์ใต้ทะเลมหาศาล จะเป็นผลงานที่จารึกในประวัติศาสตร์ การที่ข้อพิพาทเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีผลประโยชน์และความสัมพันธ์ส่วนตัวของตระกูลผู้นำ ทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่าเบื้องหลังของความขัดแย้งนั้นมีปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจแอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่ แม้ว่าข้อพิพาทเรื่องเขตแดนจะมีอยู่จริงตามหลักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ แต่ปัจจัยเหล่านี้ก็มักจะถูกนำมาผสมโรงและทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีกครับ
ยิ่งมีนักการเมืองไทยใช้กัมพูชาเป็นแหล่งฟอกเงิน นี่คือปัจจัยสำคัญและร้ายแรงอย่างยิ่งที่จะทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาต่อรองกับกัมพูชาอย่างมหาศาล
กัมพูชา"มหากาพย์ชาตินิยมและไฟชายแดนไม่รู้จบ"
เรื่องเล่าการเมืองกัมพูชา: ชาตินิยมกับไฟชายแดน
เรื่องของกัมพูชา ตั้งแต่สมัย สมเด็จสีหนุ จนมาถึงวันนี้ เหมือนมหากาพย์ที่มีทั้งเรื่องรุ่งเรืองและเรื่องเศร้าปนกันไปหมด ที่สำคัญคือมีเรื่อง ชาตินิยม กับ ความขัดแย้งชายแดน เป็นแกนหลักที่ผูกโยงทุกยุคเข้าด้วยกัน
ปัญหาชายแดนกับเพื่อนบ้านอย่างไทย ลาว เวียดนาม ไม่ใช่แค่เรื่องเส้นแบ่งเขตธรรมดา แต่มันคือการสู้เพื่อ ตัวตน และ ศักดิ์ศรีของชาติ ซึ่งพร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ถ้าผู้นำอยากจะหยิบมันมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ยุคสีหนุ: สร้างชาติด้วยชาตินิยม
พอได้เอกราชจากฝรั่งเศสในปี 1953 สีหนุ ก็ใช้ภาพความยิ่งใหญ่ของ อาณาจักรขอมโบราณ อย่างนครวัด มาปลุกใจให้คนกัมพูชาภูมิใจในชาติมาก ชาตินิยมยุคนี้ก็เน้นย้ำเรื่อง อธิปไตย ที่ได้คืนมาจากผู้รุกราน
เรื่องปราสาทพระวิหาร (1962): ตอนที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่เลย มันจุดไฟชาตินิยมให้ลุกโชน สะท้อนให้เห็นว่าชาติที่เพิ่งได้เอกราชอยากจะยืนยันอำนาจของตัวเองแค่ไหน
ยุคสงครามกลางเมืองกับเขมรแดง: ชาตินิยมแบบสุดโต่ง
พอสีหนุโดนโค่น อำนาจก็ตกไปอยู่ในมือของ เขมรแดง ปี 1975 ทีนี้แหละ ความขัดแย้งชายแดนก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ชาตินิยมถูกบิดเบือนไปในทางที่บ้าคลั่ง ผสมกับแนวคิดคอมมิวนิสต์สุดโต่ง
บุกโจมตีชายแดนเวียดนาม (1978): เขมรแดงบุกถล่มหมู่บ้านในเวียดนามแบบโหดเหี้ยม เพื่อ "ทวงคืน" ดินแดนเก่า แล้วก็ "ชำระชาติ" การกระทำนี้ก็เลยทำให้เวียดนามทนไม่ไหว ต้องบุกกัมพูชาในปี 1979 เพื่อล้มล้างเขมรแดง ซึ่งคนกัมพูชาจำนวนไม่น้อยก็มองว่าเป็นการ "รุกราน" เข้าไปอีก แล้วมันก็ยิ่งไปจุดไฟชาตินิยมต่อต้านเวียดนามให้แรงขึ้นไปอีก
ยุคหลังเขมรแดง: ชายแดนกับการเมือง
มาถึงยุคของ สมเด็จฮุน เซน เรื่องราวของกัมพูชาคือโศกนาฏกรรมและความหวังที่ผสานกันอย่างลงตัว ชายแดนที่ร้อนระอุยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า อดีตไม่เคยจางหาย และชาตินิยมที่ทรงพลังอาจนำมาซึ่งทั้งความสามัคคีและหายนะในเวลาเดียวกัน ชาตินิยมก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อเรียกความนิยม และที่สำคัญอย่างยิ่ง ผลประโยขน์ประเทศชาติ การที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทางบกเพียงเล็กน้อย หรือการตีความแผนที่บริเวณ เกาะกูด ที่ต่างกัน ก็เป็น "จุดเริ่มต้น"ที่ลากเส้นไปจะส่งผลให้ พื้นที่ทางทะเลที่กัมพูชาจะอ้างสิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยหรือหลายพันตารางกิโลเมตร ได้ขุมทรัพย์ใต้ทะเลมหาศาล จะเป็นผลงานที่จารึกในประวัติศาสตร์ การที่ข้อพิพาทเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีผลประโยชน์และความสัมพันธ์ส่วนตัวของตระกูลผู้นำ ทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่าเบื้องหลังของความขัดแย้งนั้นมีปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจแอบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่ แม้ว่าข้อพิพาทเรื่องเขตแดนจะมีอยู่จริงตามหลักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ แต่ปัจจัยเหล่านี้ก็มักจะถูกนำมาผสมโรงและทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีกครับ
ยิ่งมีนักการเมืองไทยใช้กัมพูชาเป็นแหล่งฟอกเงิน นี่คือปัจจัยสำคัญและร้ายแรงอย่างยิ่งที่จะทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาต่อรองกับกัมพูชาอย่างมหาศาล