14. การเริ่มต้น
ณ ความเวิ้งว้างดำมืดอันไร้จุดเริ่มต้นปราศจากจุดสิ้นสุด ที่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าตรงไหนสักแห่ง ปรากฏจุดพลังงานจุดหนึ่งที่มีขนาดเล็กเสียยิ่งกว่าขนาดของอะตอมถึงพันล้านเท่า
ทว่าน่าแปลกว่าจุดเล็กจิ๋วที่ว่านั้นกลับมีอุณหภูมิและความหนาแน่นเป็นอนันต์ อีกทั้งยังเป็นจุดซึ่งรวมแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์เข้ม และแรงนิวเคลียร์อ่อน ซึ่งเป็นแรงทั้งสี่ในธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อจุดซึ่งอยู่ในภาวะเอกฐานดังที่ว่ามา มีพลังงานและแรงอัดมหาศาลขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัวมันเองไม่สามารถคงสภาพเดิมต่อไปได้ไหว การขยายตัวจนกระทั่งเกิดการระเบิดออกอย่างรวดเร็วและรุนแรงจึงเกิดขึ้น
นั่นคือบิ๊กแบง จุดเริ่มต้นของเอกภพ สสาร พลังงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งอวกาศและกาลเวลา
เมื่ออุณหภูมิเริ่มลดต่ำลงจนถึงจุดที่เหมาะสม ความเย็นส่งผลให้บริเวณที่มีความหนาแน่นของมวลสารหดตัวจนเกิดสมดุลกับแรงโน้มถ่วง ในเวลานั้นกาแล็กซีก็ได้เริ่มต้นก่อร่างสร้างตัว
เวลาผ่านพ้นไป ก๊าซต่าง ๆ ในกาแล็กซีเริ่มหดตัวลงอีกครั้ง เหล่าบรรดาดวงดาวน้อยใหญ่ทั้งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ กำเนิดเกิดขึ้นพร้อมกับวงโคจรของพวกมัน จนในที่สุดแล้วพวกมันก็จะรวมกลุ่มและกลายเป็นระบบของหมู่ดาวในกาแล็กซีนั้น
หนึ่งจากกาแล็กซีซึ่งมีไม่น้อยกว่าแสนล้านกาแล็กซีในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ถูกขนานนามว่ากาแล็กซีทางช้างเผือก หนึ่งในระบบดวงดาวจากจำนวนซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วนในกาแล็กซีทางช้างเผือกได้ชื่อว่าระบบสุริยะ
หนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะที่เรียกว่าโลก หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความร้อนระอุ ก๊าซพิษ อุกกาบาตพุ่งชนมานานแสนนาน ในที่สุดมันก็ปรับสภาพตัวเองให้เย็นลง นั่นเองที่ช่วยให้บรรยากาศตลอดไปจนถึงผืนน้ำกว้างใหญ่ก่อกำเนิด
และที่ตรงจุดนั้น...ก็คือจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในมหายุคต่าง ๆ บนโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แบคทีเรีย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ถือกำเนิดและวิวัฒนาการไล่เรียงกันมา
เพราะสภาพอากาศที่ยังไม่เหมาะสมเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตบนพื้นโลก สัตว์น้ำมีกระดูกสันหลังและพืชใต้น้ำ ที่ยังคงต้องดำรงชีวิตอยู่แต่ภายในน้ำ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในลำดับถัดมา
เมื่อมีพืช...สิ่งที่ได้จากการสังเคราะห์แสงก็คือก๊าซออกซิเจน และเมื่อออกซิเจนในชั้นบรรยากาศและบนพื้นผิวโลกเริ่มหนาแน่นขึ้นจนเอื้อต่อการอยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตก็เริ่มวิวัฒนาการครั้งใหญ่อีกหนจนเกิดเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์มีกระดูกสันหลัง กลุ่มแมลง รวมไปถึงเหล่าพืชบก
และในที่สุดยุคที่สำคัญที่สุดยุคหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์โลก ยุคที่เหล่าบรรดาสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งได้ปกครองผืนโลก...ยุคไดโนเสาร์ก็ได้เดินทางมาถึง
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมถึงนกก็ถือกำเนิดและวิวัฒนาการในยุคนี้เช่นกัน เพียงแต่ด้วยเพราะขนาดที่แตกต่างกันมากเกินไป พวกมันเหล่านี้จึงไม่อาจจะทาบรัศมี หรือริอ่านตั้งตนเป็นผู้ท้าชิงแห่งยุคสมัยได้
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ภายใต้เงามืดที่ใช้กำบังหลบซ่อนตัว ให้พ้นจากคมเขี้ยวและกรงเล็บของผู้ปกครองร่างยักษ์ ระแวดระวัง เฝ้ารออย่างอดทน จนเมื่อนักล่าลดจำนวนและสิ้นสุดยุคไดโนเสาร์ลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงเริ่มก้าวพ้นจากเงา เพื่อออกมาหาแสงสว่างได้ในที่สุด
สัตว์ตระกูลไพรเมตเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พวกมันมีความพิเศษตรงที่มีสมองใหญ่ รวมไปถึงลักษณะทางกายภาพบางประการ ที่เอื้อต่อการใช้งานร่วมกับสมองให้เกิดประสิทธิภาพดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น
แม้จะปราศจากเขี้ยวเล็บหรือพละกำลังอันแข็งแกร่ง พวกมันก็ยังสามารถเอาชนะสัตว์อื่นได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่สภาพแวดล้อมมี และการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มอย่างมีระบบระเบียบขั้นตอน
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ผ่านพ้นทศวรรษ ล่วงเลยศตวรรษ กระทั่งยาวนานจนหลายศตวรรษ และแล้วการวิวัฒนาการทางสมองในระดับสุดยอด ก็อุบัติขึ้นจากหนึ่งในไพรเมตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์
จากจุดนั้น ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่โดดเด่นยิ่งใหญ่กว่ายุคไหน ๆ ได้ถูกเขียนขึ้น และมนุษย์ก็ได้กลายเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้ในที่สุด
ทว่า...ไม่มีอะไรที่ง่ายดายและได้อย่างใจไปเสียทั้งหมด สิ่งมีชีวิตล้วนต้องการวิวัฒนาการเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่ย่อมไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในจักรวาลที่สามารถมีวิวัฒนาการจนก้าวข้ามผ่านขอบเขตแห่งธรรมชาติไปได้
มนุษย์ซึ่งทะนงตนว่าคือสุดยอดแห่งวิวัฒนาการ ย่อมคิดริเริ่ม ต่อยอด สร้างสรรค์ ความรู้ความสามารถเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ทว่ามันดีกว่าจากมุมมองของใคร พวกเขากำลังหลงลืมและล้ำเส้นจนเกินขอบเขตไปอยู่หรือไม่
วิวัฒนาการทางสติปัญญาที่สูงเกินไปทำให้โลกถูกทำร้าย โลกซึ่งบอบช้ำสาหัสจะปลดปล่อยอารมณ์ ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา ในแบบของภัยธรรมชาติที่ถึ่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
ป่าไม้ถูกตัดถางทำลายจนแทบไม่เหลือ พลังงานฟอสซิลซึ่งควรถูกกลบฝังไว้อยู่อย่างนั้น กลับถูกขุดเพื่อนำมาใช้อย่างไม่เคยเพียงพอ การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากโดยปราศจากการควบคุม ทั้งหมดนั้นทำให้โลกร้อนขึ้น
ลมทะเลจะกระโชกแรงขึ้นด้วยความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิบนบกและที่ผิวน้ำ แผ่นดินไหวจะเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น จากปัจจัยทางอ้อมเรื่องการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก และการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
และเมื่อสภาพอากาศเดินทางมาจนถึงจุดวิกฤติ กระบวนการปรับตัวเองให้เย็นลงเพื่อกลับเข้าสู่สมดุลก็จะเริ่มทำงาน สายฝนจะกระหน่ำสาดซัดหนักและถี่มากขึ้น สายลมจะพัดรุนแรงจนกลายเป็นพายุลูกที่ใหญ่ขึ้นและเกิดบ่อยขึ้นกว่าเดิม
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องหวนคืนกลับสู่สมดุลแห่งธรรมชาติเสมอ และนี่ก็คือสิ่งที่โลกปรับเปลี่ยนและตอบโต้การกระทำของเรา
มีประกาศเตือนมาตั้งแต่เมื่อวันก่อน ว่าจะเกิดพายุฝนลูกใหญ่ขึ้นในพื้นที่ตอนช่วงบ่ายของวันนี้ ซึ่งพอผ่านพ้นเวลาเที่ยงวันมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี กลุ่มเมฆที่เริ่มก่อตัวตั้งเค้าให้ได้เห็นในทีแรกก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่น ก่อนที่จะแผ่ขยายลุกลามจนฟ้าทั้งฝืนทะมึนหม่นลงทันตาอย่างน่ากลัว
โรงเรียนรีบประกาศเสียงตามสายให้เลิกเรียนได้ก่อนเวลา รวมถึงโทรฯ ติดต่อไปหาเหล่าบรรดาผู้ปกครองของเด็กเล็ก เพื่อให้พวกเขาได้เดินทางมารับบุตรหลานของตน ให้ทันก่อนที่ฟ้าฝนจะเทถล่มลงมา
แสงสว่างวาบในม่านเมฆปรากฏขึ้นตรงนั้นทีตรงนี้ที เสียงครวญครางขู่คำรามดังกึกก้องไปทั่วผืนฟ้า อนุภาคฝุ่นทรายจากพื้นดินถูกพัดให้ตีม้วนล่องลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ กิ่งใบของต้นไม้น้อยใหญ่สะบัดลู่ไหวเอนอย่างไร้แรงต้านทาน สายลมกระโชกรุนแรงขึ้นและยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ
จนกระทั่งครู่หนึ่งเมื่อผู้ปกครองมารับเด็กนักเรียนคนสุดท้ายกลับบ้านไปเรียบร้อย พายุก็หอบพัดเอาสายฝนให้เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ครูซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโรงเรียนพร้อมใจช่วยกันคนละไม้ละมือ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไล่ปิดประตูหน้าต่างห้องเรียนให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เครื่องเรียนรวมไปถึงข้าวของที่เก็บไว้ภายในนั้นได้รับความเสียหาย
ใช้โอกาสนี้ในการตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง ว่าไม่มีเด็กคนไหนหลุดรอดสายตาไป ไม่มีนักเรียนเหลือตกค้างอยู่ในโรงเรียนแน่ ๆ จนเมื่อมั่นใจว่าทุกเรื่องถูกจัดการเรียบร้อยดีหมดแล้ว จึงค่อยพากันกลับมารวมตัวยังห้องพักครูบนชั้นสอง ด้วยสภาพผมเผ้าเนื้อตัวที่ยุ่งเหยิงเปียกปอนดูทรุดโทรมลงทันตากันเป็นแถว ๆ
ต่างคนต่างนั่งทำงาน เตรียมการเรียนการสอน ตรวจการบ้านหรือโจทย์คำถามในเวลาเรียน ไปจนถึงผลัดกันหาอะไรสัพเพเหระมาคุยเป็นระยะ เพื่อไม่ให้บรรยากาศหม่นมัวรู้สึกเงียบเชียบจนเกินไป
กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนตามปกติ แต่ฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสดใสขึ้น แถมยังไม่ได้รู้สึกว่าฝนจะซาเม็ดลงเลยสักนิด เหล่าบรรดาครูจึงตัดสินใจว่าจะยอมทนเปียกทนหนาวฝ่าสายฝนออกไป ดีกว่าต้องมานั่งทิ้งเวลาไปเปล่า ๆ แบบนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อใด
“ครูเจนเองก็อย่ากลับเย็นนักนะครับ ถ้ามืดแล้วฝนยังตกไม่หยุดอยู่แบบนี้จะกลับลำบากเอา แถมถนนยังลื่น มองทางก็ไม่ค่อยเห็น ยิ่งขี่มอเตอร์ไซด์ด้วยจะอันตรายหนักเข้าไปอีก”
“ขอบคุณค่ะ เตรียมการสอนกับตรวจงานกองนี้เสร็จ ถ้าฝนยังไม่ยอมหยุดเจนก็ว่าจะกลับเลยเหมือนกันค่ะ”
ต่างคนต่างร่ำลากันเรียบร้อย จนเมื่อเสียงของการพูดคุยและขยับเคลื่อนไหวสงบเงียบลงแล้ว เจนจิราจึงเริ่มก้มหน้าก้มตาเพื่อทำงานที่ค้างอยู่ต่ออีกครั้ง
เสียงตกกระทบสาดซัดของเม็ดฝน เสียงหวีดหวิวอื้ออึงของสายลม อากาศเย็นที่หอบเอาความชื้นหนัก ๆ มาด้วย ทุกอย่างรอบกายกลับชัดเจนขึ้น จนในหัวจินตนาการถึงสภาพที่เป็นอยู่ออกโดยไม่ต้องหันไปมอง
ชั่วแวบหนึ่ง...ภาพของใครบางคนเลื่อนไหลแทรกตัวผ่านเข้ามาให้ได้รู้สึกอยู่ในห้วงคะนึง เธอรีบสลัดความหวั่นไหวที่ผุดตามขึ้นมาทิ้งไป ด้วยเกรงว่าความฟุ้งซ่านจะทำให้ไม่เหลือสมาธิพอ กับสิ่งที่ควรต้องทำและต้องโฟกัสในเวลานี้
ใช้เวลาต่อไปอีกพอสมควรจนเมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย เงยหน้าขึ้นเพื่อตรวจสอบเวลาจากนาฬิกาติดผนัง ก่อนจะเหลียวมองต่อไปยังสภาพอากาศภายนอก
บนฟ้ายังมีเมฆซึ่งดูอิ่มฉ่ำไปด้วยมวลน้ำปกคลุมทั่วทั้งผืน กระแสลมที่กระโชกมาเป็นระลอกก็ยังดูค่อนข้างรุนแรงพอสมควร แต่สายฝนที่เคยโหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักดูจะซาเม็ดลงไปบ้างนิดหน่อยแล้ว
“เฮ้อ พรุ่งนี้จะต้องนอนซมเพราะไข้หวัดไหมเนี่ยเรา”
รำพึงรำพันกับตัวเองพร้อมถอนหายใจเบา ๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือจัดข้าวของบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ กวาดสายตาตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องให้แน่ใจอีกรอบ แล้วจึงคว้ากระเป๋าสะพายมาคล้องไว้ที่ไหล่ ไม่ลืมที่จะหยิบร่มติดมือมาด้วยก่อนจะทำการปิดประตูล็อกห้อง
สภาพอากาศที่ได้เห็นได้สัมผัสเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าอาคารเรียน ทำให้เธอลังเลจนต้องนึกชั่งใจอยู่หน่อยหนึ่ง เมื่อตัดสินใจได้แน่วแน่แล้วจึงกางร่มในมือ ก้าวเท้ายาว ๆ ฝ่าลมฝนเพื่อไปยังลานจอดรถที่จอดมอเตอร์ไซด์คู่ใจเอาไว้
ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านมานานแค่ไหนแต่ร่มก็ยังเป็นร่ม และร่มก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยในสภาพฟ้าฝนเช่นนี้ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยจะล่วงเลยผ่านไปก็ตาม
เมื่อมาถึงที่หมายเจนจิราพาดก้านร่มไว้บนบ่า เอียงคอหนีบยึดก้านร่มไว้แทนการจับถือ แล้วจึงใช้สองมือช่วยกันควานหากุญแจรถซึ่งเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย เพื่อที่จะไขเบาะรถนำเสื้อกันฝนมาสวมใส่
สายลมกระโชกรุนแรงจนร่มถูกพัดปลิวหลุดลอย ด้วยความตกใจครูสาวจึงชักมือออกจากกระเป๋าพร้อมเหยียดยื่นออกไปหมายจะไขว่คว้า โดยลืมคิดไปว่าในมือกำลังถือกำกุญแจรถอยู่
ร่มกลิ้งไถลตามพื้นไกลออกไปเรื่อย ๆ ส่วนกุญแจรถก็ตกจมอยู่ในน้ำขังตรงหลุมบ่อข้างหน้า มองทางนั้นทีทางนี้ทีก่อนจะเลือกก้มลงหยิบกุญแจก่อน ซึ่งนั่นก็กลับทำให้กระเป๋าสะพายรูดไหลจากบ่าลงมาตามแขน จนตกลงบนพื้นอันชื้นแฉะไปด้วยอีกชิ้น
คล้ายได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ภายในหัว สับสนลนลานจนลำดับเหตุการณ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนหลังดี ทุกอย่างรอบกายกลายเป็นขาวโพลนไปหมด คล้ายคนหมดความคิดสิ้นไร้เรี่ยวแรง...เธอนั่งนิ่งและปล่อยให้ตัวเองเปียกปอนอยู่ท่ามกลางสายฝนไปทั้ง ๆ อย่างนั้น
วันดับสูญ บทที่ 14 การเริ่มต้น
ณ ความเวิ้งว้างดำมืดอันไร้จุดเริ่มต้นปราศจากจุดสิ้นสุด ที่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าตรงไหนสักแห่ง ปรากฏจุดพลังงานจุดหนึ่งที่มีขนาดเล็กเสียยิ่งกว่าขนาดของอะตอมถึงพันล้านเท่า
ทว่าน่าแปลกว่าจุดเล็กจิ๋วที่ว่านั้นกลับมีอุณหภูมิและความหนาแน่นเป็นอนันต์ อีกทั้งยังเป็นจุดซึ่งรวมแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงนิวเคลียร์เข้ม และแรงนิวเคลียร์อ่อน ซึ่งเป็นแรงทั้งสี่ในธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน
เมื่อจุดซึ่งอยู่ในภาวะเอกฐานดังที่ว่ามา มีพลังงานและแรงอัดมหาศาลขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัวมันเองไม่สามารถคงสภาพเดิมต่อไปได้ไหว การขยายตัวจนกระทั่งเกิดการระเบิดออกอย่างรวดเร็วและรุนแรงจึงเกิดขึ้น
นั่นคือบิ๊กแบง จุดเริ่มต้นของเอกภพ สสาร พลังงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งอวกาศและกาลเวลา
เมื่ออุณหภูมิเริ่มลดต่ำลงจนถึงจุดที่เหมาะสม ความเย็นส่งผลให้บริเวณที่มีความหนาแน่นของมวลสารหดตัวจนเกิดสมดุลกับแรงโน้มถ่วง ในเวลานั้นกาแล็กซีก็ได้เริ่มต้นก่อร่างสร้างตัว
เวลาผ่านพ้นไป ก๊าซต่าง ๆ ในกาแล็กซีเริ่มหดตัวลงอีกครั้ง เหล่าบรรดาดวงดาวน้อยใหญ่ทั้งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ กำเนิดเกิดขึ้นพร้อมกับวงโคจรของพวกมัน จนในที่สุดแล้วพวกมันก็จะรวมกลุ่มและกลายเป็นระบบของหมู่ดาวในกาแล็กซีนั้น
หนึ่งจากกาแล็กซีซึ่งมีไม่น้อยกว่าแสนล้านกาแล็กซีในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ถูกขนานนามว่ากาแล็กซีทางช้างเผือก หนึ่งในระบบดวงดาวจากจำนวนซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วนในกาแล็กซีทางช้างเผือกได้ชื่อว่าระบบสุริยะ
หนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะที่เรียกว่าโลก หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความร้อนระอุ ก๊าซพิษ อุกกาบาตพุ่งชนมานานแสนนาน ในที่สุดมันก็ปรับสภาพตัวเองให้เย็นลง นั่นเองที่ช่วยให้บรรยากาศตลอดไปจนถึงผืนน้ำกว้างใหญ่ก่อกำเนิด
และที่ตรงจุดนั้น...ก็คือจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในมหายุคต่าง ๆ บนโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แบคทีเรีย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ถือกำเนิดและวิวัฒนาการไล่เรียงกันมา
เพราะสภาพอากาศที่ยังไม่เหมาะสมเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตบนพื้นโลก สัตว์น้ำมีกระดูกสันหลังและพืชใต้น้ำ ที่ยังคงต้องดำรงชีวิตอยู่แต่ภายในน้ำ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในลำดับถัดมา
เมื่อมีพืช...สิ่งที่ได้จากการสังเคราะห์แสงก็คือก๊าซออกซิเจน และเมื่อออกซิเจนในชั้นบรรยากาศและบนพื้นผิวโลกเริ่มหนาแน่นขึ้นจนเอื้อต่อการอยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตก็เริ่มวิวัฒนาการครั้งใหญ่อีกหนจนเกิดเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์มีกระดูกสันหลัง กลุ่มแมลง รวมไปถึงเหล่าพืชบก
และในที่สุดยุคที่สำคัญที่สุดยุคหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์โลก ยุคที่เหล่าบรรดาสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งได้ปกครองผืนโลก...ยุคไดโนเสาร์ก็ได้เดินทางมาถึง
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมถึงนกก็ถือกำเนิดและวิวัฒนาการในยุคนี้เช่นกัน เพียงแต่ด้วยเพราะขนาดที่แตกต่างกันมากเกินไป พวกมันเหล่านี้จึงไม่อาจจะทาบรัศมี หรือริอ่านตั้งตนเป็นผู้ท้าชิงแห่งยุคสมัยได้
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ภายใต้เงามืดที่ใช้กำบังหลบซ่อนตัว ให้พ้นจากคมเขี้ยวและกรงเล็บของผู้ปกครองร่างยักษ์ ระแวดระวัง เฝ้ารออย่างอดทน จนเมื่อนักล่าลดจำนวนและสิ้นสุดยุคไดโนเสาร์ลง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงเริ่มก้าวพ้นจากเงา เพื่อออกมาหาแสงสว่างได้ในที่สุด
สัตว์ตระกูลไพรเมตเป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พวกมันมีความพิเศษตรงที่มีสมองใหญ่ รวมไปถึงลักษณะทางกายภาพบางประการ ที่เอื้อต่อการใช้งานร่วมกับสมองให้เกิดประสิทธิภาพดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น
แม้จะปราศจากเขี้ยวเล็บหรือพละกำลังอันแข็งแกร่ง พวกมันก็ยังสามารถเอาชนะสัตว์อื่นได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่สภาพแวดล้อมมี และการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มอย่างมีระบบระเบียบขั้นตอน
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ผ่านพ้นทศวรรษ ล่วงเลยศตวรรษ กระทั่งยาวนานจนหลายศตวรรษ และแล้วการวิวัฒนาการทางสมองในระดับสุดยอด ก็อุบัติขึ้นจากหนึ่งในไพรเมตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์
จากจุดนั้น ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่โดดเด่นยิ่งใหญ่กว่ายุคไหน ๆ ได้ถูกเขียนขึ้น และมนุษย์ก็ได้กลายเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้ในที่สุด
ทว่า...ไม่มีอะไรที่ง่ายดายและได้อย่างใจไปเสียทั้งหมด สิ่งมีชีวิตล้วนต้องการวิวัฒนาการเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่ย่อมไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในจักรวาลที่สามารถมีวิวัฒนาการจนก้าวข้ามผ่านขอบเขตแห่งธรรมชาติไปได้
มนุษย์ซึ่งทะนงตนว่าคือสุดยอดแห่งวิวัฒนาการ ย่อมคิดริเริ่ม ต่อยอด สร้างสรรค์ ความรู้ความสามารถเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ทว่ามันดีกว่าจากมุมมองของใคร พวกเขากำลังหลงลืมและล้ำเส้นจนเกินขอบเขตไปอยู่หรือไม่
วิวัฒนาการทางสติปัญญาที่สูงเกินไปทำให้โลกถูกทำร้าย โลกซึ่งบอบช้ำสาหัสจะปลดปล่อยอารมณ์ ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา ในแบบของภัยธรรมชาติที่ถึ่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
ป่าไม้ถูกตัดถางทำลายจนแทบไม่เหลือ พลังงานฟอสซิลซึ่งควรถูกกลบฝังไว้อยู่อย่างนั้น กลับถูกขุดเพื่อนำมาใช้อย่างไม่เคยเพียงพอ การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากโดยปราศจากการควบคุม ทั้งหมดนั้นทำให้โลกร้อนขึ้น
ลมทะเลจะกระโชกแรงขึ้นด้วยความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิบนบกและที่ผิวน้ำ แผ่นดินไหวจะเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น จากปัจจัยทางอ้อมเรื่องการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก และการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
และเมื่อสภาพอากาศเดินทางมาจนถึงจุดวิกฤติ กระบวนการปรับตัวเองให้เย็นลงเพื่อกลับเข้าสู่สมดุลก็จะเริ่มทำงาน สายฝนจะกระหน่ำสาดซัดหนักและถี่มากขึ้น สายลมจะพัดรุนแรงจนกลายเป็นพายุลูกที่ใหญ่ขึ้นและเกิดบ่อยขึ้นกว่าเดิม
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องหวนคืนกลับสู่สมดุลแห่งธรรมชาติเสมอ และนี่ก็คือสิ่งที่โลกปรับเปลี่ยนและตอบโต้การกระทำของเรา
มีประกาศเตือนมาตั้งแต่เมื่อวันก่อน ว่าจะเกิดพายุฝนลูกใหญ่ขึ้นในพื้นที่ตอนช่วงบ่ายของวันนี้ ซึ่งพอผ่านพ้นเวลาเที่ยงวันมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี กลุ่มเมฆที่เริ่มก่อตัวตั้งเค้าให้ได้เห็นในทีแรกก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่น ก่อนที่จะแผ่ขยายลุกลามจนฟ้าทั้งฝืนทะมึนหม่นลงทันตาอย่างน่ากลัว
โรงเรียนรีบประกาศเสียงตามสายให้เลิกเรียนได้ก่อนเวลา รวมถึงโทรฯ ติดต่อไปหาเหล่าบรรดาผู้ปกครองของเด็กเล็ก เพื่อให้พวกเขาได้เดินทางมารับบุตรหลานของตน ให้ทันก่อนที่ฟ้าฝนจะเทถล่มลงมา
แสงสว่างวาบในม่านเมฆปรากฏขึ้นตรงนั้นทีตรงนี้ที เสียงครวญครางขู่คำรามดังกึกก้องไปทั่วผืนฟ้า อนุภาคฝุ่นทรายจากพื้นดินถูกพัดให้ตีม้วนล่องลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ กิ่งใบของต้นไม้น้อยใหญ่สะบัดลู่ไหวเอนอย่างไร้แรงต้านทาน สายลมกระโชกรุนแรงขึ้นและยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ
จนกระทั่งครู่หนึ่งเมื่อผู้ปกครองมารับเด็กนักเรียนคนสุดท้ายกลับบ้านไปเรียบร้อย พายุก็หอบพัดเอาสายฝนให้เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ครูซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโรงเรียนพร้อมใจช่วยกันคนละไม้ละมือ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไล่ปิดประตูหน้าต่างห้องเรียนให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เครื่องเรียนรวมไปถึงข้าวของที่เก็บไว้ภายในนั้นได้รับความเสียหาย
ใช้โอกาสนี้ในการตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง ว่าไม่มีเด็กคนไหนหลุดรอดสายตาไป ไม่มีนักเรียนเหลือตกค้างอยู่ในโรงเรียนแน่ ๆ จนเมื่อมั่นใจว่าทุกเรื่องถูกจัดการเรียบร้อยดีหมดแล้ว จึงค่อยพากันกลับมารวมตัวยังห้องพักครูบนชั้นสอง ด้วยสภาพผมเผ้าเนื้อตัวที่ยุ่งเหยิงเปียกปอนดูทรุดโทรมลงทันตากันเป็นแถว ๆ
ต่างคนต่างนั่งทำงาน เตรียมการเรียนการสอน ตรวจการบ้านหรือโจทย์คำถามในเวลาเรียน ไปจนถึงผลัดกันหาอะไรสัพเพเหระมาคุยเป็นระยะ เพื่อไม่ให้บรรยากาศหม่นมัวรู้สึกเงียบเชียบจนเกินไป
กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนตามปกติ แต่ฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสดใสขึ้น แถมยังไม่ได้รู้สึกว่าฝนจะซาเม็ดลงเลยสักนิด เหล่าบรรดาครูจึงตัดสินใจว่าจะยอมทนเปียกทนหนาวฝ่าสายฝนออกไป ดีกว่าต้องมานั่งทิ้งเวลาไปเปล่า ๆ แบบนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อใด
“ครูเจนเองก็อย่ากลับเย็นนักนะครับ ถ้ามืดแล้วฝนยังตกไม่หยุดอยู่แบบนี้จะกลับลำบากเอา แถมถนนยังลื่น มองทางก็ไม่ค่อยเห็น ยิ่งขี่มอเตอร์ไซด์ด้วยจะอันตรายหนักเข้าไปอีก”
“ขอบคุณค่ะ เตรียมการสอนกับตรวจงานกองนี้เสร็จ ถ้าฝนยังไม่ยอมหยุดเจนก็ว่าจะกลับเลยเหมือนกันค่ะ”
ต่างคนต่างร่ำลากันเรียบร้อย จนเมื่อเสียงของการพูดคุยและขยับเคลื่อนไหวสงบเงียบลงแล้ว เจนจิราจึงเริ่มก้มหน้าก้มตาเพื่อทำงานที่ค้างอยู่ต่ออีกครั้ง
เสียงตกกระทบสาดซัดของเม็ดฝน เสียงหวีดหวิวอื้ออึงของสายลม อากาศเย็นที่หอบเอาความชื้นหนัก ๆ มาด้วย ทุกอย่างรอบกายกลับชัดเจนขึ้น จนในหัวจินตนาการถึงสภาพที่เป็นอยู่ออกโดยไม่ต้องหันไปมอง
ชั่วแวบหนึ่ง...ภาพของใครบางคนเลื่อนไหลแทรกตัวผ่านเข้ามาให้ได้รู้สึกอยู่ในห้วงคะนึง เธอรีบสลัดความหวั่นไหวที่ผุดตามขึ้นมาทิ้งไป ด้วยเกรงว่าความฟุ้งซ่านจะทำให้ไม่เหลือสมาธิพอ กับสิ่งที่ควรต้องทำและต้องโฟกัสในเวลานี้
ใช้เวลาต่อไปอีกพอสมควรจนเมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย เงยหน้าขึ้นเพื่อตรวจสอบเวลาจากนาฬิกาติดผนัง ก่อนจะเหลียวมองต่อไปยังสภาพอากาศภายนอก
บนฟ้ายังมีเมฆซึ่งดูอิ่มฉ่ำไปด้วยมวลน้ำปกคลุมทั่วทั้งผืน กระแสลมที่กระโชกมาเป็นระลอกก็ยังดูค่อนข้างรุนแรงพอสมควร แต่สายฝนที่เคยโหมกระหน่ำลงมาอย่างหนักดูจะซาเม็ดลงไปบ้างนิดหน่อยแล้ว
“เฮ้อ พรุ่งนี้จะต้องนอนซมเพราะไข้หวัดไหมเนี่ยเรา”
รำพึงรำพันกับตัวเองพร้อมถอนหายใจเบา ๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือจัดข้าวของบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ กวาดสายตาตรวจสอบความเรียบร้อยในห้องให้แน่ใจอีกรอบ แล้วจึงคว้ากระเป๋าสะพายมาคล้องไว้ที่ไหล่ ไม่ลืมที่จะหยิบร่มติดมือมาด้วยก่อนจะทำการปิดประตูล็อกห้อง
สภาพอากาศที่ได้เห็นได้สัมผัสเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าอาคารเรียน ทำให้เธอลังเลจนต้องนึกชั่งใจอยู่หน่อยหนึ่ง เมื่อตัดสินใจได้แน่วแน่แล้วจึงกางร่มในมือ ก้าวเท้ายาว ๆ ฝ่าลมฝนเพื่อไปยังลานจอดรถที่จอดมอเตอร์ไซด์คู่ใจเอาไว้
ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านมานานแค่ไหนแต่ร่มก็ยังเป็นร่ม และร่มก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยในสภาพฟ้าฝนเช่นนี้ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยจะล่วงเลยผ่านไปก็ตาม
เมื่อมาถึงที่หมายเจนจิราพาดก้านร่มไว้บนบ่า เอียงคอหนีบยึดก้านร่มไว้แทนการจับถือ แล้วจึงใช้สองมือช่วยกันควานหากุญแจรถซึ่งเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย เพื่อที่จะไขเบาะรถนำเสื้อกันฝนมาสวมใส่
สายลมกระโชกรุนแรงจนร่มถูกพัดปลิวหลุดลอย ด้วยความตกใจครูสาวจึงชักมือออกจากกระเป๋าพร้อมเหยียดยื่นออกไปหมายจะไขว่คว้า โดยลืมคิดไปว่าในมือกำลังถือกำกุญแจรถอยู่
ร่มกลิ้งไถลตามพื้นไกลออกไปเรื่อย ๆ ส่วนกุญแจรถก็ตกจมอยู่ในน้ำขังตรงหลุมบ่อข้างหน้า มองทางนั้นทีทางนี้ทีก่อนจะเลือกก้มลงหยิบกุญแจก่อน ซึ่งนั่นก็กลับทำให้กระเป๋าสะพายรูดไหลจากบ่าลงมาตามแขน จนตกลงบนพื้นอันชื้นแฉะไปด้วยอีกชิ้น
คล้ายได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ภายในหัว สับสนลนลานจนลำดับเหตุการณ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนหลังดี ทุกอย่างรอบกายกลายเป็นขาวโพลนไปหมด คล้ายคนหมดความคิดสิ้นไร้เรี่ยวแรง...เธอนั่งนิ่งและปล่อยให้ตัวเองเปียกปอนอยู่ท่ามกลางสายฝนไปทั้ง ๆ อย่างนั้น