วัยเด็ก วัยทำงาน วัยชรา ต่างมีบทบาทหน้าที่ การหาความสุข แตกต่างกัน
แต่ก็มีบ้างที่ยังหลงวัย โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุที่ไม่หลุดพ้นจากวิธีคิดแบบวัยทำงาน
ไขว่คว้าหาลาภ ยศ สรรเสริญ จนมองไม่เห็นความสุขที่อยู่ตรงหน้า
การก้าวพ้นวัยทำงานอย่างราบรื่น ต้องมีวิธีคิดอย่างไรบ้าง มาดูกัน...
1. จิตที่ปล่อยวาง ย่อมพบความเบาสบาย
แม้เราจะจากไป แต่โลกก็ยังคงหมุน ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามารับผิดชอบ
ความอยากได้ อยากมี เกินกว่าชีวิตที่เหลือจะใช้ได้หมด เท่ากับ การต่อสู้กับกิเลส แต่ไม่ใช่การต่อสู้กับความตาย
ก่อความเครียด พะวงกับหน้าที่ความรับผิดชอบ เพียงเพราะอยากเป็นที่จดจำ หรือ อยากเป็นคนสำคัญ
ผู้สูงอายุควรลด ละ เลิกรับผิดชอบงานส่วนรวม แม้ตั้งใจจริง แต่หากเกินกำลัง
อาจก่อความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้ เช่น ไม่สามารถไปถึงตรงเวลานัด
หลับในที่ประชุม หลงลืมหลักฐาน ประมวลตัวเลขผิดพลาด
จนอาจเกิดปัญหาที่ต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนมาก
ควรใช้เวลา กำลัง ทรัพย์สิน บำรุงสุขภาพ รักษาโรค พักผ่อนหย่อนใจ
ทำงานที่ให้ความสุขมากกว่าความกดดัน
ไม่ควรก่อสร้างหนี้จำนวนมาก ต้องพูดจากับลูกหลานให้เข้าใจตรงกันว่า
เขาจะรับช่วงต่อกิจการของคุณหรือไม่ เพราะลูกหลานอาจไม่ชอบ หรือไม่มีองค์ความรู้สานต่อ
หากลงทุนสูง จะกลายเป็นมรดกหนี้ถึงลูกหลานได้
2. ฝึกการเป็นผู้รับ แต่จัดสรรทรัพย์ไว้ดูแลตน
ผู้สูงอายุเป็นผู้ให้มาเกินครึ่งหนึ่งชีวิต จึงไม่ควรรู้สึกผิดเมื่อถึงวัยแห่งการเป็นผู้รับ
ผู้ให้ในวันนี้ ก็คือ คนที่เคยเป็นผู้รับจากคุณมาก่อน
และควรจัดสรรทรัพย์สินให้สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองด้วย
แม้ลูกหลานจะดูแลเรา แต่มีทรัพย์สินของตนเอง นั้นคล่องตัวกว่า
ในบางช่วง ผู้ที่เข้ามาดูแลคุณอาจไม่ใช่ลูกหลาน
อาจเป็นคนอื่นที่ต้องมอบสินน้ำใจหรือค่าจ้าง
รวมถึงได้จับจ่ายปรนเปรอจิตใจจากการซื้อหาสิ่งที่ชอบ โดยไม่อึดอัด
ไม่ควรมุ่งช่วยลูกหลานอย่างทุ่มเท
แต่ควรฝึกให้เขาแก้ปัญหาที่ท้าทายจนบรรลุการเติบโต
บางครั้ง แทนที่จะช่วยเหลือ ควรปล่อยให้เขาเผชิญความลำบาก
แล้วแก้ปัญหาด้วยตนเองเช่นเดียวกับที่คุณเคยฝ่าฟัน
เพื่อให้เขาเข้าถึงการแข่งขัน ดิ้นรนต่อสู้ ใช้กลยุทธ์
ซึ่งล้วนเป็นทักษะการอยู่รอดในสังคมมนุษย์
เปลี่ยนมุมมองจาก “กลัวความผิดพลาด” เป็นส่งเสริมความกล้า
เมื่อทำสิ่งที่เสี่ยง ย่อมมีโอกาสล้มเหลว เนื่องจากเป็นวิธีใหม่ ที่ไม่เคยทำมาก่อน
แต่หลายคนก็เลือกที่จะเสี่ยงเพราะผลตอบแทนที่มากกว่า
ความต่างคือหากกลัวความล้มเหลวจะหยุดทำ หากไม่กลัว จะพัฒนาต่อไป
เหมือนเด็กที่ล้ม แล้วกล้าลุกเดินต่อ กับ เด็กที่ล้มแล้วไม่กล้าออกจากบ้านอีกเลย
การมุ่งแก้ปัญหาให้ลูกหลานไปเสียทุกอย่าง
ส่งผลให้เขาไม่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีสังคมที่คับแคบ เพราะยึดติดกับพ่อแม่ที่สั่งการ
3. ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเปิดใจ
เปิดใจรับฟัง ไม่ตัดสินผู้อื่นจากมาตรฐานในอดีต
เพราะสังคมปัจจุบันซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้สูงอายุจะเข้าใจได้ทั้งหมด
เน้นให้กำลังใจแต่ไม่สร้างกฏเกณฑ์ควบคุม ไม่นำบุตรหลานไปเปรียบเทียบกับใคร
เพราะแต่ละคนมีจุดแข็งจุดอ่อนแตกต่างกัน
ปรับมุมมองให้เห็นข้อดีที่แตกต่างในแต่ละคน
พูดคุยกับพวกเขาอย่างเพลิดเพลิน
ยิ่งคุณเป็นที่ยอมรับในสายตาคนรุ่นใหม่ พวกเขาจะดูแลคุณด้วยความสุขใจ
ยิ่งอยากพาคุณไปไหนมาไหน อย่างคนใกล้ตัวที่คุยสนุกได้
ไม่กังวลกับปัญหาของผู้อื่น เพราะสิ่งที่คุณมองว่าเป็นปัญหา อาจไม่ใช่ปัญหาของเขา
เช่น ปีนเขาพร้อมเป้ 1 ใบ หรือ ใช้เอไอในโทรศัพท์มือถือ อาจเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับคุณ
แต่หาใช่เรื่องยากสำหรับคนรุ่นใหม่
4. ตอบแทนความกตัญญูด้วยความยุติธรรม
แบ่งทรัพย์สิน 2 ส่วน ส่วนที่แบ่งให้ในฐานะลูก/หลาน และส่วนที่แบ่งให้ “ตามบทบาทและพฤติกรรม”
ทรัพย์สินส่วนแรก คือ ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน หากความประพฤติของเขาไม่เลวร้าย
ส่วนที่สอง เก็บไว้จ่ายให้กับผู้ดูแล ความสุขสบายของคุณในวัยที่ร่างกายอ่อนแอกลับสู่ความเป็นเด็ก
ต้องไม่ลืมว่า ลูกหลานอุทิศเวลา กำลังกาย กำลังทรัพย์ เพื่อคุณ ไม่เท่ากันในทางปฎิบัติ
แม้พวกเขาคือสายเลือดของคุณเหมือนๆกัน
ตัวอย่างกรณี ยกมรดกให้หลานชายที่พูดจาถูกใจ
แต่ลืมไปว่าบ้านที่อยู่อาศัย ลูกอีกคนเป็นผู้กู้เงินและลงมือก่อสร้าง
แม้ทั้งสองคนจะเสียสละ ด้วยวิธีการที่ต่างกัน หลานชาย สละเวลามาคุยบ่อยๆ
ส่วนลูกชายไปทำงานหาเงินมาสร้างบ้านให้ ผู้สูงอายุ จึงควรคิดอย่างรอบคอบ
มิให้เกิดกรณีซ้ำรอย ลุงฆ่าหลาน เพราะน้อยใจ ที่แม่ยกสมบัติให้หลานชาย
ในช่วงที่มีสติ ประมวลความคิดถึงคนที่ทำงานเบื้องหน้า เบื้องหลัง ผ่านระยะเวลา
ควรเขียนให้ตนเองจดจำ แบ่งปันทรัพย์สินให้อย่างเหมาะสม
ซึ่งนั่นจะเป็นการให้ยุติธรรมในภาวะที่มีกำลังปัญญา สติสัมปชัญญะครบถ้วน
ไม่ใช่ทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ในวันที่น้อยใจ โกรธเคือง หรือสุขใจจากคนใดเป็นพิเศษ
5. มองคนรุ่นใหม่ว่าพวกเขาเก่งกว่าตน
ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ศักยภาพของมนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่าง ขี่ม้า กับ ขับรถ ขับรถย่อมเดินทางได้ไกลกว่า นั่นคือ มนุษย์รุ่นใหม่มีศักยภาพเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อน
ผู้สูงวัยมีแนวโน้มต้องพึ่งพาลูกหลานมากขึ้น และลูกหลานที่ฉลาดมักไม่ตกอยู่ภายใต้คำสั่ง
การควบคุมและสั่งการจะไม่สามารถเอาชนะจิตใจของลูกหลานที่เฉลียวฉลาดได้เลย
เพราะคนฉลาดจะยิ่งเคารพคนที่เห็นคุณค่าในผลงานและความมุ่งมั่นของเขา
การครองใจคนฉลาด จึงต้องใช้ศิลปะ ยอมรับในข้อถกเถียง มุมมองที่แตกต่างของพวกเขา
การพูดจาให้ผู้อื่นร่วมรับทราบถึงพันธกิจ เป็นการกระจายอำนาจความรับผิดชอบสู่ลูกหลาน
เลือกคนที่ไว้ใจได้ ไม่มีประวัติคดโกง ซื่อสัตย์เสมอต้นเสมอปลาย
หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่คุณอยู่ในสถานการณ์คับขัน
คนเหล่านั้นสามารถแก้ปัญหาให้ได้ทันที เช่น หาคนมาทำแทน ลดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
หากคุณอยู่ในภาวะสติครบถ้วน การเขียนบันทึกแบ่งหน้าที่ไว้
ช่วยลดปัญหาความหลงลืมในอนาคต การมอบให้ลูกหลานบริหารทรัพยย์สิน
หากประเมินคนได้ถูก มีโอกาสที่ทรัพย์สินในส่วนการลงทุน ยิ่งขยายผลเติบโตได้
ความสุขอีกระดับของชีวิต คือ หยุดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ไว้วางใจให้ค่าผู้อื่น
เชื่อว่า พวกเขาจะจัดการทุกอย่างได้ ด้วยวิธีการที่ต่างจากคุณ
เพราะคุณไม่ได้ดูแลบุตรหลานเพียงให้อาหาร แต่คุณให้การศึกษาและทักษะชีวิตแก่เขา
ความแข็งแกร่งของพวกเขา จะเกื้อกูล ให้คุณมีความมั่นคง
พบความสบายใจ รู้วิธีให้คุณค่ากับเวลาที่เหลือ
วัย 70+... ปรัชญาชีวิตและทัศนะคติต่อลูกหลาน
ความอยากได้ อยากมี เกินกว่าชีวิตที่เหลือจะใช้ได้หมด เท่ากับ การต่อสู้กับกิเลส แต่ไม่ใช่การต่อสู้กับความตาย
ก่อความเครียด พะวงกับหน้าที่ความรับผิดชอบ เพียงเพราะอยากเป็นที่จดจำ หรือ อยากเป็นคนสำคัญ
ผู้สูงอายุควรลด ละ เลิกรับผิดชอบงานส่วนรวม แม้ตั้งใจจริง แต่หากเกินกำลัง
อาจก่อความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้ เช่น ไม่สามารถไปถึงตรงเวลานัด
หลับในที่ประชุม หลงลืมหลักฐาน ประมวลตัวเลขผิดพลาด
จนอาจเกิดปัญหาที่ต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนมาก
ควรใช้เวลา กำลัง ทรัพย์สิน บำรุงสุขภาพ รักษาโรค พักผ่อนหย่อนใจ
ทำงานที่ให้ความสุขมากกว่าความกดดัน
ไม่ควรก่อสร้างหนี้จำนวนมาก ต้องพูดจากับลูกหลานให้เข้าใจตรงกันว่า
เขาจะรับช่วงต่อกิจการของคุณหรือไม่ เพราะลูกหลานอาจไม่ชอบ หรือไม่มีองค์ความรู้สานต่อ
หากลงทุนสูง จะกลายเป็นมรดกหนี้ถึงลูกหลานได้
ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ศักยภาพของมนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่าง ขี่ม้า กับ ขับรถ ขับรถย่อมเดินทางได้ไกลกว่า นั่นคือ มนุษย์รุ่นใหม่มีศักยภาพเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อน
ผู้สูงวัยมีแนวโน้มต้องพึ่งพาลูกหลานมากขึ้น และลูกหลานที่ฉลาดมักไม่ตกอยู่ภายใต้คำสั่ง
การควบคุมและสั่งการจะไม่สามารถเอาชนะจิตใจของลูกหลานที่เฉลียวฉลาดได้เลย
เพราะคนฉลาดจะยิ่งเคารพคนที่เห็นคุณค่าในผลงานและความมุ่งมั่นของเขา
การครองใจคนฉลาด จึงต้องใช้ศิลปะ ยอมรับในข้อถกเถียง มุมมองที่แตกต่างของพวกเขา