แนะรัฐปรับการสื่อสาร เหตุบรรยากาศ ‘ไทย-กัมพูชา’ เข้าข่ายวิกฤตแล้ว แต่ยังให้ข่าวช้า-ไร้เอกภาพ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5217171
.
.
นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้สถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย – กัมพูชา รัฐบาลต้องยกระดับการสื่อสารเป็น “การสื่อสารในภาวะวิกฤต” ได้แล้ว แนะกำหนดผู้ที่จะทำหน้าที่ “พูดในนามรัฐบาล” ให้ชัด ป้องกันความสับสน-ข้อมูลไร้ทิศทาง ระบุที่ผ่านมายังสื่อสารช้าเกินไป-ส่งผลให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น เสี่ยงต่อการเกิด Fake news และท้ายที่สุดจะถูกขยายผลกลายเป็นปัญหาการเมืองภายใน จี้เร่งแสดงท่าทีต่อแถลงการณ์กัมพูชาไม่ร่วม JBC
.
ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ล่าสุดทางการกัมพูชาได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่นำประเด็น 4 พื้นที่พิพาท เข้าหารือในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 พร้อมเดินหน้ายื่นเรื่องพิพาทสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ซึ่งท่าทีดังกล่าวจะทำให้ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งระดับรัฐบาลและประชาชน เพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ขณะนี้เข้าสู่บรรยากาศหรือสิ่งที่เรียกว่าภาวะวิกฤตแล้ว
.
ดังนั้น รัฐบาลควรปรับวิธีการสื่อสารภายในประเทศ ทั้งการสื่อสารกับประชาชน รวมถึงการสื่อสารกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยต้องยกระดับให้เป็นการสื่อสารในภาวะวิกฤต เพื่อป้องกันความสับสนของข้อมูล และตอบสนองต่อสถานการณ์และประเด็นข่าวได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งจะช่วยให้บริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะความรวดเร็วและความชัดเจนในการสื่อสารจะสัมพันธ์กับความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีให้ผู้นำและรัฐบาล หากล่าช้าจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะขาดความเชื่อมั่นที่ประชาชนจะมีต่อรัฐบาล และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการนำประเด็นระหว่างประเทศมาขยายปมความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลดีกับใคร
.
ดร.ปุรวิชญ์ กล่าวว่า เพื่อลดความสับสนของข้อมูลและทำให้การสื่อสารมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น รัฐบาลควรกำหนดบุคคลให้แน่ชัดเลยว่า ใครคือคนหลักหรือผู้ที่จะทำหน้าที่สื่อสารในนามรัฐบาล อาจจะเป็นตัวของนายกรัฐมนตรีเองหรือใครก็ได้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้ ในสถานการณ์ภาวะวิกฤตไม่ควรปล่อยให้มีการให้ข่าวที่กระจัดกระจายไร้ทิศทาง
.
“อย่างกรณีที่สื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ รมว.การต่างประเทศ กลับได้รับคำตอบคนละมุมกับการไปสัมภาษณ์รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ดังนั้นต้องกำหนดให้ชัดว่าใครจะเป็นคนพูด และที่สำคัญคือต้องสื่อสารออกมาด้วยความรวดเร็ว ทันท่วงที และชัดเจน เช่น การที่กัมพูชาประกาศยกเลิกประชุม JBC รัฐบาลควรมีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการออกมา” ดร.ปุรวิชญ์ กล่าว
.
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีความล่าช้าและขาดความชัดเจนในการสื่อสารอย่างมาก ยกตัวอย่างแถลงการณ์ที่รัฐบาลเพิ่งเผยแพร่ออกมา ซึ่งในเชิงหลักการที่ควรจะเป็นแล้ว รัฐบาลต้องสื่อสารออกมาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีสถานการณ์จะช่วยป้องกันไม่ให้ความรู้สึกของประชาชนเลยเถิดจนยากที่จะควบคุม ดังนั้นการสื่อสารในภาวะวิกฤตนี้ หากล่าช้าไปเพียงนาทีเดียวก็จะเกิดความสับสน มากไปกว่านั้นอาจทำให้เกิดความความเข้าใจผิด และมีการนำความเข้าใจผิดเหล่านั้นเผยแพร่ออกไปทางโซเชียลมีเดียต่างๆ จนนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะต้องรับภารกิจในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศอย่างเดียว ก็จะยิ่งเพิ่มมิติความซับซ้อนให้รัฐบาลกลับต้องมาแก้ไขปัญหาทางการเมืองภายในประเทศด้วย
.
“เหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรีให้แถลงข่าวเมื่อวาน จริงๆ แล้วเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะสื่อสารและสร้างความกระจ่างแจ้งให้กับประชาชนในมิติต่างๆ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีทหารกัมพูชาเริ่มรุกคืบเข้ามาในพื้นที่ชายแดนไทย 200 เมตร นายกฯ ก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการอธิบาย นี่จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ ที่ประเด็นเหล่านี้หล่นหายไป และพื้นที่สื่อถูกกลบไปด้วยท่าทีของนายกฯ ที่มีต่อผู้สื่อข่าว ดังนั้นหลังจากนี้รัฐบาลควรจะต้องยกระดับการสื่อสารให้เป็นลักษณะการสื่อสารในภาวะวิกฤตได้แล้ว เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากความสับสนอีกหลังจากนี้” ดร.ปุรวิชญ์ กล่าว
.
.
"กัณวีร์" จี้ รัฐบาลวางโรดแมพคุย “กัมพูชา” ให้ชัดเจน ติงท่าทีตอบโต้ยังเบาไป
https://siamrath.co.th/n/627167
.
วันที่ 6 มิ.ย.2568 ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า ตอนนี้ต้องดูการตอบสนองของทางกัมพูชา เพราะตอนแรกเรารับทราบว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการเจรจาในกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ แต่เขาก็เปลี่ยนใจเข้าร่วม แต่จะไม่พูดหรือหารือ เรื่องข้อพิพาทตรงช่องบก เพราะสภาของเขาได้มีการตัดสินใจยื่นฟ้องศาลโลก จึงต้องรู้ว่าทางการไทยจะมีการเตรียมความพร้อม ในการประชุม JBC จะไปพูดอะไรกับเขา และมีการเตรียมความพร้อมในเรื่อง 30 จุดที่เป็นกรณีข้อพิพาทชายแดนไทยมากน้อยแค่ไหน
.
เมื่อถามว่าทางกัมพูชาจะยอมอ่อนข้อให้ไทยหรือไม่หลังการพูดคุย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ถ้าดูการจัดการในฝ่ายบริหารและทางสภานิติบัญญัติค่อนข้างจะแรงพอสมควร ซึ่งครั้งนี้น่าแปลกใจ สำหรับตนที่ติดตามงานชายแดนมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าครั้งนี้กัมพูชาให้ความสำคัญมากๆ เร่งรัดกระบวนการค่อนข้างจะรวดเร็ว แล้วไปถึงศาลโลกโดยทันทีทั้งที่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับไทย และใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ทำให้สถานการณ์ขึ้นจากระดับ 0 ไปถึง 80, 90 ดังนั้นจึงมองว่าน่าจะมีประเด็นบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลกัมพูชาด้วย รวมไปถึงการเมืองภายใน หรืออาจจะใช้ประเด็นนี้เรียกร้องความนิยม และอย่าลืมว่านายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต คือผบ.ทบ.ในสมัยที่มีข้อพิพาทเขาพระวิหาร และเป็นคนนำยิงต่อสู้กับฝั่งไทย ตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อาจจะใช้ประเด็นนี้ดึงความสนใจการเมืองภายในกัมพูชา ดังนั้นประเทศไทยต้องวางจุดยืนให้ชัดเจนว่าเราจะยอมหรือไม่หรือไม่ ยอมได้แค่ไหน
.
“หากดูท่าทีของรัฐบาลไทยการตั้งการ์ดน่าจะหลวมตั้งแต่แรก แล้วถ้าเปรียบเทียบกับรัฐบาลฝั่งกัมพูชา ค่อนข้างจะเบากว่าเขาเยอะ แต่ในทางข้อมูลตนมั่นใจว่ากระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) น่าจะมีข้อมูลเยอะอยู่แล้ว แต่การแสดงออกของฝ่ายบริหารค่อนข้างที่จะเบาๆ ทั้งที่น่าจะเข้มแข็งมากกว่านี้ รวมทั้งควรจะชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร และหลังจากการพูดคุยจะทำอย่างไรต่อไป ต้องเตรียมพร้อมให้เสร็จ เพราะเสร็จจาก JBC แล้วจะไป คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา (GBC)ในวันที่ 16 - 20 มิ.ย.นี้ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีโรดแมพให้ชัด” นายกัณวีร์กล่าว
.
เมื่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตรกับสมเด็จฮุน เซน มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้หรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า ยอมรับว่าความสัมพันธ์ของระหว่างสองตระกูลนี้มีส่วนกับสถานการณ์แน่นอน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะต้องเริ่มจากโครงสร้างระบบความสัมพันธ์ ทางด้านการทูตทั้ง 2 ประเทศ แต่ขณะนี้ที่เราเห็นกลายเป็นพีระมิดกับหัว นำความสัมพันธ์ส่วนตัวของครอบครัวมาเป็นการนำ แม้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกชัดเจนว่ามีการพูดคุยกันเป็นประจำ แต่การพูดคุยกันเป็นประจำไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากยิ่งขึ้น และความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองครอบครัวอาจจะทำให้เราลืมความสัมพันธ์ในบริบทเชิงโครงสร้าง
.
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้มีหลายคนวิเคราะห์เรื่อง ของคดีความของนายทักษิณที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ทำให้ท่าทีของรัฐบาลตอนนี้ดูเหมือนยอมเหลือเกิน ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็รุกเร้าตีกลองรบ แต่ฝั่งเราดูเงียบๆ จึงมีการประเมินกันไปต่างๆนานา แต่ในมุมมองของตนมองเรื่องของความพร้อมในการพูดคุยของฝั่งไทยมากกว่าที่เรายังมีความพร้อมไม่เต็มร้อย ฝั่งกัมพูชารุกคืบเข้ามาแล้ว ในโซนโนแมนแลนด์ จุดยืนของไทยจะทำอย่างไรในการที่เขาเข้ามารุกคืบ แล้วจะทำอย่างไรให้ทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ตนมองในประเด็นนี้มากกว่า
.
"ในการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองก็อาจจะมองว่าเป็นไปได้ที่คุณทักษิณกังวล ว่าถ้าเกิดทำอะไรออกไปแล้ว อาจจะทำให้ฝั่งกัมพูชาโดยเฉพาะฮุนเซน ฮุนมาเน็ต ไม่พอใจ อาจจะทำให้ไม่สามารถเดินข้ามไปฝั่งกัมพูชาได้ หากมีอะไรก็ตามเกิดขี้น นี่เป็นการประเมินของนักวิเคราะห์ทางการเมืองไป ถามว่ามีความเป็นไปได้ไหม ก็อาจเป็นความเป็นไปได้ แต่จะร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ผมว่ายังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์" นายกันวีร์กล่าว
.
เมื่อถามย้ำว่าท่าทีรัฐบาลไม่ได้หมายถึงว่าเรายอมกัมพูชาใช่หรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า ดูจากท่าทีของรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขายอม นายกฯก็มาร้องเพลงชาติไทยเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ยอมทางฝั่งกัมพูชาอย่างแน่นอน แต่มันก็มีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมข้อมูลในการเจรจา
.
.
ม็อบบุกศธ. คัดค้านหลักสูตรใหม่ ชี้ตัดวิชาคุณธรรม-ไร้เวทีฟังความเห็น.
https://www.matichon.co.th/local/education/news_5217322
.
ม็อบบุกศธ. คัดค้านหลักสูตรใหม่ ชี้ตัดวิชาคุณธรรม-ไร้เวทีฟังความเห็น
.
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายธนกฤต ศรีบุญเอียด ประธานสำนักความปลอดภัยและร้องทุกข์เพื่อการสอบสวน พร้อมผู้ปกครองและนักเรียน เดินทางยื่นหนังสือถึงว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เรื่องขอคัดค้านการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2568 โดยมีตัวแทนจากสำนักวิชาการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
.
นายธนกฤต กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง นักเรียน และครูถึงการปรับหลักสูตรใหม่ เนื่องจากการปรับหลักสูตรใหม่นั้นไม่ได้มีวิชาคุณธรรมและจริยธรรม โดยอยากให้มีการคงหลักสูตร 8 กลุ่มสาระวิชาการเรียนรู้เอาไว้ ซึ่งคิดว่าการจะปรับเปลี่ยนหลักสูตรใหม่จะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ และศธ.ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากครูและนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และภาคธุรกิจสายอาชีพอย่างทั่วถึง ใช้เวทีทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ เวิร์กช็อป และฟังเสียงจากโรงเรียนทุกประเภท
.
นายธนกฤต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบ โดยศธ.จะต้องมีการศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละข้อจะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรต่อคุณภาพผู้เรียน ความพร้อมของครู และโครงสร้างงบประมาณของรัฐ ขณะเดียวกันจะต้องมีการนำร่องก่อนใช้จริงทั่วประเทศควรทดลองใช้หลักสูตรใหม่ในบางพื้นที่ก่อน เพื่อวัดผล ปรับปรุง และวิเคราะห์ความพร้อมก่อนประกาศใช้ในวงกว้าง ทั้งนี้จะต้องอิงข้อมูลการวิจัยและมาตรฐานสากลหลักสูตรควรอ้างอิงแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ The Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ยูเนสโก และประเทศที่มีระบบการศึกษาดี เช่น ประเทศฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย และที่สำคัญต้องเตรียมระบบสนับสนุนก่อนประกาศใช้ซึ่งครูต้องได้รับการอบรมล่วงหน้าด้วย
JJNY : เข้าข่ายวิกฤต แต่ยังให้ข่าวช้า-ไร้เอกภาพ│"กัณวีร์" ติงท่าทียังเบาไป│ม็อบบุกศธ. ค้านหลักสูตรใหม่│เยอรมนีตั้งรับภัย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5217171
.
.
.
ม็อบบุกศธ. คัดค้านหลักสูตรใหม่ ชี้ตัดวิชาคุณธรรม-ไร้เวทีฟังความเห็น.
https://www.matichon.co.th/local/education/news_5217322
.