กาแฟพันธุ์ไทย: เบื้องหลังความร้อนแรงที่หุ้นไม่เล่นด้วย – การเติบโตแบบมีมิติที่ตลาดมองข้าม หรือแค่ "โตเร็วเกินไป" ?

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา "กาแฟพันธุ์ไทย" ได้กลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาทางธุรกิจที่น่าสนใจอย่างยิ่งในตลาดร้านกาแฟไทย จากร้านกาแฟท้องถิ่นที่เริ่มตั้งไข่ในปี 2563 ด้วยจำนวน 274 สาขา และรายได้ 405 ล้านบาท แบรนด์นี้ได้พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปี 2567 รายได้ทะลุ 3,049 ล้านบาท และมีจำนวนสาขามากถึง 1,347 สาขา คิดเป็นการเติบโตของสาขามากกว่า 390% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ "น่าทึ่ง" ในเชิงของการขยายตัว
แต่ในขณะที่ตัวเลขบนกระดาษดูราวกับความสำเร็จอันงดงาม ตลาดหุ้นกลับสะท้อนภาพที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หุ้นของบริษัทแม่อย่าง PTG Energy (ผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและพลังงาน) กลับมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องถึง -26.74% ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา สวนทางกับความร้อนแรงและตัวเลขการเติบโตของแบรนด์ลูกในมืออย่างกาแฟพันธุ์ไทย
คำถามสำคัญที่นักลงทุนและผู้บริโภคกำลังตั้งคำถามคือ: "ทำไมตลาดไม่เชื่อมั่นในความโตครั้งนี้?"
การที่รายได้และจำนวนสาขาเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ราคาหุ้นกลับไม่สะท้อนถึงการเติบโตดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึง "มิติ" ที่ซับซ้อนกว่าแค่ตัวเลขยอดขาย นักลงทุนผู้เชี่ยวชาญไม่ได้มองแค่รายได้ แต่ลงลึกถึง "คุณภาพ" ของการเติบโต และ "ความสามารถในการทำกำไรที่ยั่งยืน"
ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนและผู้บริโภคต้องตั้งคำถามอย่างจริงจัง:
สาขาเพิ่มเร็วเกินไป มีการบริหารคุณภาพและทำเลเพียงพอหรือไม่? การขยายสาขาจาก 274 เป็น 1,347 แห่งในเวลาเพียง 4 ปี เป็นการเติบโตที่รวดเร็วจนน่าตกใจ คำถามคือ การบริหารจัดการคุณภาพของสินค้าและบริการในแต่ละสาขาทำได้ทั่วถึงหรือไม่? พนักงานใหม่ได้รับการอบรมเพียงพอหรือไม่? และที่สำคัญคือ "ทำเล" ของสาขาใหม่ๆ นั้นเป็นทำเลทองที่สร้างกำไรได้จริง หรือเพียงแค่ขยายเพื่อให้ได้ "จำนวน" เพื่อสร้างภาพลักษณ์? หากควบคุมคุณภาพไม่ได้ ประสบการณ์ที่ไม่ดีของลูกค้าจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ทำลายแบรนด์ในระยะยาว
กำไรโตช้ากว่ารายได้ หมายความว่ายังต้องพึ่งพาเงินลงทุนอีกนาน?
แม้รายได้จะพุ่งสูง แต่กำไรสุทธิกลับไม่ได้เติบโตในอัตราเดียวกัน จากขาดทุน 91 ล้านบาทในปี 2563 มาเป็นกำไร 291 ล้านบาทในปี 2567 ซึ่งถือเป็นกำไรที่ "บางมาก" เมื่อเทียบกับรายได้ที่สูงถึง 3,049 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิที่ต่ำสะท้อนให้เห็นว่า "ต้นทุน" ในการดำเนินงานและขยายสาขานั้นสูงมาก การที่บริษัทยังต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อรักษาวงจรการเติบโตนี้ อาจทำให้นักลงทุนกังวลว่า "ผลตอบแทน" ที่แท้จริงจะคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาวหรือไม่ และจะถึงจุดคุ้มทุนที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างยั่งยืนเมื่อไหร่?
แฟรนไชส์บางสาขาอาจขาดทุนซ้ำซาก แต่ใช้เป็นเครื่องมือขยายภาพลักษณ์? โมเดลการขยายสาขาที่รวดเร็ว มักมาพร้อมกับรูปแบบแฟรนไชส์ หากเงื่อนไขการดำเนินธุรกิจของแฟรนไชส์เอื้อต่อการขยายจำนวนสาขามากกว่าความสามารถในการทำกำไรของแต่ละสาขา นักลงทุนอาจมองว่าการเติบโตนี้เป็นเพียงการ "สร้างภาพ" ให้แบรนด์ดูใหญ่และครอบคลุม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาระและต้นทุนแฝงอาจตกอยู่กับผู้ประกอบการแฟรนไชส์รายย่อย ซึ่งสุดท้ายอาจส่งผลกระทบกลับมายังชื่อเสียงของแบรนด์โดยรวม
PTG กำลังแบกรับต้นทุนอะไรที่ตลาดยังไม่เห็นหรือไม่? ในฐานะบริษัทแม่ PTG Energy อาจกำลังแบกรับภาระต้นทุนในการสนับสนุนการขยายตัวของกาแฟพันธุ์ไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การตลาด หรือแม้กระทั่งการจัดการความเสี่ยงต่างๆ ที่มาพร้อมกับการเติบโตที่รวดเร็ว หากต้นทุนเหล่านี้ยังไม่สามารถแปลงเป็นกำไรที่ชัดเจนได้ นักลงทุนย่อมมองว่าการลงทุนในกาแฟพันธุ์ไทยอาจเป็น "ภาระ" มากกว่า "โอกาส" ในระยะสั้น
บทสรุป: การเติบโตที่ไร้มิติ ไม่ได้สร้างมูลค่าที่แท้จริง
กาแฟพันธุ์ไทยกำลังอยู่ในช่วงการเติบโตที่น่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่ตลาดและนักลงทุนถามหาไม่ใช่แค่ "ยอดขาย" หรือ "จำนวนสาขา" ที่ดูอลังการ แต่คือ "ความยั่งยืนและมูลค่าที่แท้จริง" ของธุรกิจ หากการขยายตัวยังคง "พึ่งภาพ" มากกว่า "ประสิทธิภาพ" ในการสร้างกำไร การบริหารจัดการต้นทุน และการควบคุมคุณภาพในระยะยาว ก็ยากที่ราคาหุ้นจะสะท้อนถึงสิ่งที่แบรนด์พยายามสื่อสารได้จริง
นี่คือบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตแบบ "ตัวเลขสวย" ไม่ได้หมายถึง "ความสำเร็จ" เสมอไป โดยเฉพาะในสายตานักลงทุนที่ต้องการ "กำไรที่ยั่งยืน" และ "มูลค่าที่แท้จริง" ซึ่งกาแฟพันธุ์ไทยยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักหน่วงต่อไปว่า การขยายตัวอันร้อนแรงนี้ จะสามารถแปลงเป็นผลกำไรที่จับต้องได้และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดได้อย่างไรในอนาคต
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่