
ผมออกมานั่งอยู่บริเวณสวนมิยาชิตะ (Miyashita Park) สวนลอยฟ้าแห่งใหม่ในโตเกียว
เปิดฝาดื่มน้ำท่ามกลางผู้คนพลุกพล่าน คล้ายกับว่าทุกคนเพิ่งได้รับอิสระหลังถูกขังไว้ในตอนที่ฝนตก
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็กแจ้งเตือน เผื่อมีใครทักมาถามไถ่ว่าถึงญี่ปุ่นแล้วหรือยัง — แต่กลับว่างเปล่า
มีเพียงข่าวดีจากทางการโตเกียว ที่แชร์กันเกือบทุกเพจท่องเที่ยวว่า "ซากุระเริ่มบานแล้วในโตเกียว"
ผมลงมาจากสวนและเดินเล่นอยู่แถวชิบุย่าอีกครั้ง แอบไร้จุดหมาย แต่การปล่อยตัวปล่อยใจเดินไปพลางมองรอบเมืองใหญ่ไปรอบตัวก็รู้สึกดีเหมือนกัน ระหว่างเดินไปเรื่อยสายตาผมเหมือนเหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างที่เป็นสีชมพูเรียงรายทอดยาว ใช่หรือเปล่านะ ผมคิดในใจและเดินเข้าไปหามันเรื่อย ๆ ผมเงยหน้าสบตากับมันครั้งแรก
ซากุระ.. ในที่สุดผมก็ได้เห็นมันแล้ว

สีชมพูหวานเข้ม บางต้นมีแกมด้วยใบเขียวประปรายใกล้จะร่วงโรย ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ซากุระสายพันธุ์ Somei Yoshino ที่เป็นสายพันธุ์หลักในโตเกียวแต่เป็นสายพันธุ์ Kawazu ที่จะบานก่อนเพื่อนประมาณหนึ่งเดือน
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจจะมาเห็น แต่มันก็สวยจนสะกดสายตา
ผมเผลอยืนมองอยู่นาน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้อง
รอบข้างมีนักท่องเที่ยว ทั้งคู่รักและครอบครัว กำลังสนุกกับการผลัดกันถ่ายภาพคู่กับซากุระ
แม้ลำต้นและกิ่งก้านจะไม่ได้ใหญ่โต แต่มันก็ทอดยาวเป็นสีชมพูไปตามถนน
สีชมพูนั้นขนาบไปกับรถที่กำลังติด ดูแปลกตากว่าทุกครั้งที่ผมเคยมาญี่ปุ่น
เหล่าผึ้งตัวน้อยบินตอมดอกซากุระ ไม่มากพอจะทำให้กลัว แต่พอจะทำให้มองแล้วรู้สึกสงบ
สองชีวิต — ดอกไม้กับผึ้ง — กำลังพึ่งพาอาศัยกัน
ผมยืนมองและคิดในใจว่า พวกมันจะรู้ไหมว่า ตัวเองคือสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในโลก
เป็นผู้สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยผลิตอาหารให้กับมนุษย์
ผมอยากจะทั้งขอบคุณ... และขอโทษ
ขอโทษในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีส่วนทำให้เกิดโลกร้อน
ที่ทำให้ป่าลดลง รังผึ้งหายากขึ้น สารเคมีล้นโลก
ทั้งที่เรายังต้องพึ่งพากันอยู่ แต่เรากลับทำลายธรรมชาติอย่างช้า ๆ
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เราก็เห็นแก่ตัวเกินไป
หลังจากที่โบกมือลาซากุระแรกในชีวิต ผมเดินไปทักทายฮาจิโกะก่อนกลับขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุย่าเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่พักเพื่อทิ้งตัวลงนอนฟูกนุ่ม ๆ และอาบน้ำหลังจากร่างกายไม่ได้ถูกชำระล้างมาสองวัน พลางตกตะกอนกับตัวเองอีกครั้งระหว่างกำลังยืนเกาะราวจับรถไฟ
สุดท้ายแล้วสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลกนี้ก็คือธรรมชาติ ไม่ต้องมีเวทย์มนต์หรือพรวิเศษใด ๆ อีกแล้ว
ตะกอนโตเกียว ตอนที่6 "ผึ้งพา"
ผมออกมานั่งอยู่บริเวณสวนมิยาชิตะ (Miyashita Park) สวนลอยฟ้าแห่งใหม่ในโตเกียว
เปิดฝาดื่มน้ำท่ามกลางผู้คนพลุกพล่าน คล้ายกับว่าทุกคนเพิ่งได้รับอิสระหลังถูกขังไว้ในตอนที่ฝนตก
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็กแจ้งเตือน เผื่อมีใครทักมาถามไถ่ว่าถึงญี่ปุ่นแล้วหรือยัง — แต่กลับว่างเปล่า
มีเพียงข่าวดีจากทางการโตเกียว ที่แชร์กันเกือบทุกเพจท่องเที่ยวว่า "ซากุระเริ่มบานแล้วในโตเกียว"
ผมลงมาจากสวนและเดินเล่นอยู่แถวชิบุย่าอีกครั้ง แอบไร้จุดหมาย แต่การปล่อยตัวปล่อยใจเดินไปพลางมองรอบเมืองใหญ่ไปรอบตัวก็รู้สึกดีเหมือนกัน ระหว่างเดินไปเรื่อยสายตาผมเหมือนเหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างที่เป็นสีชมพูเรียงรายทอดยาว ใช่หรือเปล่านะ ผมคิดในใจและเดินเข้าไปหามันเรื่อย ๆ ผมเงยหน้าสบตากับมันครั้งแรก
ซากุระ.. ในที่สุดผมก็ได้เห็นมันแล้ว
สีชมพูหวานเข้ม บางต้นมีแกมด้วยใบเขียวประปรายใกล้จะร่วงโรย ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ซากุระสายพันธุ์ Somei Yoshino ที่เป็นสายพันธุ์หลักในโตเกียวแต่เป็นสายพันธุ์ Kawazu ที่จะบานก่อนเพื่อนประมาณหนึ่งเดือน
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจจะมาเห็น แต่มันก็สวยจนสะกดสายตา
ผมเผลอยืนมองอยู่นาน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้อง
รอบข้างมีนักท่องเที่ยว ทั้งคู่รักและครอบครัว กำลังสนุกกับการผลัดกันถ่ายภาพคู่กับซากุระ
แม้ลำต้นและกิ่งก้านจะไม่ได้ใหญ่โต แต่มันก็ทอดยาวเป็นสีชมพูไปตามถนน
สีชมพูนั้นขนาบไปกับรถที่กำลังติด ดูแปลกตากว่าทุกครั้งที่ผมเคยมาญี่ปุ่น
เหล่าผึ้งตัวน้อยบินตอมดอกซากุระ ไม่มากพอจะทำให้กลัว แต่พอจะทำให้มองแล้วรู้สึกสงบ
สองชีวิต — ดอกไม้กับผึ้ง — กำลังพึ่งพาอาศัยกัน
ผมยืนมองและคิดในใจว่า พวกมันจะรู้ไหมว่า ตัวเองคือสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในโลก
เป็นผู้สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยผลิตอาหารให้กับมนุษย์
ผมอยากจะทั้งขอบคุณ... และขอโทษ
ขอโทษในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีส่วนทำให้เกิดโลกร้อน
ที่ทำให้ป่าลดลง รังผึ้งหายากขึ้น สารเคมีล้นโลก
ทั้งที่เรายังต้องพึ่งพากันอยู่ แต่เรากลับทำลายธรรมชาติอย่างช้า ๆ
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่เราก็เห็นแก่ตัวเกินไป
หลังจากที่โบกมือลาซากุระแรกในชีวิต ผมเดินไปทักทายฮาจิโกะก่อนกลับขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุย่าเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่พักเพื่อทิ้งตัวลงนอนฟูกนุ่ม ๆ และอาบน้ำหลังจากร่างกายไม่ได้ถูกชำระล้างมาสองวัน พลางตกตะกอนกับตัวเองอีกครั้งระหว่างกำลังยืนเกาะราวจับรถไฟ
สุดท้ายแล้วสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลกนี้ก็คือธรรมชาติ ไม่ต้องมีเวทย์มนต์หรือพรวิเศษใด ๆ อีกแล้ว